“งั้นขอถามหน่อยค่ะว่าอยู่ในงานวันนี้หรือเปล่าคะ?” พวกนักข่าวตั้งคำถามกันออกมา ดาราหญิงในวันนี้ นอกจากแช่ถิงถิงที่โด่งดังที่สุดแล้ว ยังมี emily และดาราท่านอื่นๆ นอกนั้นก็ไม่มีใครแล้ว รักใหม่ที่สามารถทำให้บริษัทเย่ซื่อลงทุน 30 ล้านกับภาพยนตร์คือใครกันแน่?
“ขอให้ทุกคนติดตามภาพยนตร์ด้วยครับ จะสามารถพบคำตอบได้ในภาพยนตร์ครับ” เย่เนี่ยนโม่ตอบกลับอย่างละเอียดครบถ้วน ดึงความสนใจไปยังภาพยนตร์อีกครั้ง
พวกนักข่าวเห็นว่าถามอะไรไม่ได้เลย ทุกคนต่างก็หันกลับไปยังซุปเปอร์สตาร์อันหรัน ต้องรู้ว่าซุปเปอร์สตาร์อันหรันคือแรงกระตุ้นในการปรากฏตัวของพวกเขาในสองสามวันนี้ หากไม่ใช่เพราะข่าวของเย่เนี่ยนโม่มีค่ามาก พวกเขาคงเริ่มวิจารณ์เขาแล้ว
อันหรันนั่งอย่างสบาย อ้อมค้อมกับนักข่าวไปมา กวาดสายตาไปยังติงยียีที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นเย่เนี่ยโม่แล้วเขาจึงจะนึกขึ้นว่าติงยียีก็คือเด็กผู้หญิงในเมืองเหยาหนานคนนั้น แววตาของเย่เนี่ยนโม่ที่ปกป้องเธอในตอนนั้นไม่เหมือนกันเลยนะ
แพนด้านั่งอยู่ข้างหน้าของติงยียีอย่างเงียบสงบ อันหรันมองออกในแวบแรกเลยว่าสุนัขตัวนั้นไม่ใช่สุนัขที่คนปกติจะซื้อไหว และเริ่มสงสัยกับสถานะของติงยียี คิดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดามาโดยตลอด พอตอนนี้ดูแล้วฐานะทางบ้านก็คงจะร่ำรวย
ติงยียียืนอย่างเฉยชาอยู่ข้างๆ อ้าวเสว่เดินมาทางเธอ ยิ้มโค้งแล้วพูดขึ้นว่า “เนี่ยนโม่กลัวว่าฉันเอาแต่ทำงานอารมณ์จะไม่ดี ดังนั้นจึงพาฉันออกมาผ่อนคลายโดยเฉพาะ”
“อ๋อ” ติงยียีตอบกลับอย่างเฉยชา นัยน์ตาหยุดอยู่บนตัวของอันหรัน พูดคุยกับอ้าวเสว่สู้มองอันหรันยังดีกว่า
เย่เนี่ยนโม่ที่มองเขาอยู่ตลอดเวลาขมวดคิ้วแน่น แอบคิดในใจว่าจะเอาเถ้ากระดูกของอันหรันมาทำลาย!
อันหรันรู้สึกว่าน่าสนใจ ยิ้มอย่างอ่อนโยนไปทางติงยียี เธอตะลึงงัน หลบตาอย่างเขินอาย เย่เนี่ยนโม่ทำหน้าเข้ม คนในงานต่างก็มองด้วยความแปลกประหลาด คุณชายเย่ที่ดูเป็นมิตรในตอนแรกจู่ๆ ก็เย็นชาลง คนในงานต่างก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น
“ได้ข่าวว่าครั้งนี้ผู้กำกับหวูได้เชิญนักแสดงน้อยที่พิเศษมาท่านหนึ่ง?” แช่ถิงถิงอยู่ในวงการบันเทิงมานานขนาดนี้ เห็นสถานการณ์ดูเยือกเย็น ก็รีบออกมาสร้างสีสันให้กับบรรยากาศ
ผู้กำกับหวูรีบตอบกลับ “ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้วครับใช่แล้วครับ ไม่ใช่นักแสดงน้อยนะครับ” เขาพูดไปด้วยพลางโบกมือไปทางผู้ช่วยด้วย
ผู้ช่วยคือหญิงสาวคนหนึ่ง เธอรีบวิ่งมาทางติงยียี หยุดลงตรงหน้าของติงยียีที่ห่างกันประมาณสามสี่ก้าว มองแพนด้าด้วยความกลัว
ติงยียียื่นเชือกให้กับเธอ ผู้ช่วยทำสีหน้าเศร้าใจ สุนัขที่อยู่ข้างหน้านี้น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่ถูกนัยน์ตาของมันจ้อง รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เธอยื่นมือออกไปรับเชือกด้วยความฝืน แพนด้าที่นอนอยู่ก็รีบลุกขึ้น ทำเอาเธอตกใจจนโยนเชือกออกไป
“คุณติง คุณช่วยจูงไปได้ไหมคะ? ” หญิงสาวมองดูติงยียี ในแววตามีความร้องขอ
แพนด้ากัดเชือกของตัวเองแล้วเดินกลับไปยังข้างกายของติงยียีอย่างเฉิดฉาย นำเชือกส่งต่อไปยังมือของเธอ ติงยียีหยักหน้า จูงแพนด้าแล้วเดินขึ้นไป
“มามามา ถ่ายรูปกัน!” ช่างถ่ายรูปแบกกล้องให้ทุกคนมารวมถ่ายรูป คนในงานต่างก็ทำอะไรชักช้ามาก
แช่ถิงถิง และ emily ต่างก็หลบอยู่ที่ไกลเพราะกลัวสุนัข ดาราที่เหลือมีบางคนที่รู้ว่าเป็นสุนัขพันธ์ทิเบตันมาสทิฟฟ์ ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ ติงยียีอยู่ศูนย์กลางในงาน ในช่วงระยะห่างสิบก้าวไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย
“มาทางฉันเลย” เย่เนี่ยนโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดอย่างสุขุม ดาราที่อยู่ในงานต่างก็แอบชื่นชมเขากันขึ้นมา มีเพียงแต่อันหรันและผู้กำกับหวูเผยนัยน์ตาที่คิดไว้แล้วจะเป็นแบบนี้
ติงยียีจูงแพนด้าเดินไปยังข้างกายของเขา ระหว่างไหล่ทั้งสองห่างกันประมาณหนึ่งกำหมัด ช่างถ่ายรูปตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนขยับติดกันหน่อยครับ ดูสิครับ emilyจะตกเฟรมแล้วครับ !”
ติงยียีจึงต้องขยับไปข้างๆ จนกระทั่งไหล่ของเขาไปชนโดนแขนข้างหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครเหยียบหางของแพนด้า มันเห่าขึ้นมา ดาราน้อยคนหนึ่งที่สวมรองเท้าส้นสูงสะดุดไปทีหนึ่ง มือของเธอผลักไปยังข้างหน้าอัตโนมัติเพื่อรักษาความสมดุลของร่างกาย
ติงยียีถูกเธอผลักออก จะล้มลงโดยไม่ทันตั้งตัว ข้างๆ มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจับไว้ แสงไฟในงานต่างก็สว่างขึ้น
อันหรันประคองติงยียีแล้วก็รีบวางมือลง เธอตกใจมาก พูดขอบคุณพร้อมใบหน้าที่ค่อนข้างแดง
เย่เนี่ยนโม่เก็บมือที่อยากจะไปประคองติงยียี สีหน้าไม่เปลี่ยน ทำเอาบรรยากาศดูกดดันไปหมด ผู้กำกับหวูหนาวยะเยือกไปที
หลังจากถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว เย่เนี่ยนโม่จากไปก่อน ติงยียีมองดูภาพข้างหลังของเขา นัยน์ตามีความมืดมน วันนี้ไม่พูดเลยสักคำ หรือว่าเขาไม่อยากอธิบายเลยหรอว่าทำไมถึงไล่ตัวเองออกจากบริษัทหลินซื่อ?
ณ บ้านตระกูลเย่
เซี่ยชีหรั่นกำลังฝึกเล่นหมากล้อมกับเย่เชินหลิน เธอเล่นหมากล้อมไม่ค่อยเก่ง นั่งนึกคิดอยู่ที่เดิมนานมาก ขมวดคิ้วแน่น ระหว่างนิ้วกำลังลังเลกับหมากสีดำอยู่ว่าจะลงยังไงดี
เย่เชินหลินลูบไปที่แหวนบนนิ้วเบาๆ พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ เดินขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า “คุณนาง เมื่อกี้เหมือนผมจะเห็นแมวตัวหนึ่งกำลังแทะดอกไม้ของคุณอยู่นะครับ”
“ใช่หรอ? !” เซี่ยชีหรั่นรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางสวน ช่วงนี้เธอกำลังปลูกดอกโรซ่ามัลติฟลอร่า คิดไว้ว่าจะรอผลิบานในปีหน้า ทว่ามีลูกแมวซุกซนกลุ่มหนึ่งที่ชอบทำลายดอกโรซ่ามัลติฟลอร่าที่เธอปลูกไว้เสมอ!
เย่เชินหลินมองดูเธอเดินจากไป นิ้วที่เรียวยาวขยับไปมาบนกระดานหมากล้อม เล่นไปเพียงแค่ไม่กี่รอบถึงแม้ว่าจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่หมากสีดำกลับมีทางรอดเยอะมาก
“น่าแปลก ไม่มีแมวน้อยนิ!” เซี่ยชีหรั่นกลับไปยังที่นั่งเหมือนเดิม มองกระดานหมักล้อมแล้วรู้สึกแปลกใจ ในใจรู้สึกว่าตำแหน่งของหมากไม่เหมือนเดิมหรือเปล่า ทว่าพอเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าที่กำลังเครียดของเย่เชินหลินอยู่ ก็แอบบอกในใจว่าตัวเองคิดมากไป
“อ้า!ฉันหาเจอแล้ว!” เธอรีบวางหมากลง จับกินหมากขาวไปหลายหมากเลย อารมณ์ดีจนร้องเพลงขึ้นมา เย่เชินหลินวางหมากลงช้าๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“คุณน้าเซี่ย คุณลุงเย่” อ้าวเสว่ตามอยู่ข้างกายของเย่เนี่ยนโม่ เห็นเย่เชินหลินทักทายฝ่ายตรงข้ามอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ซุกไปยังข้างกายของเซี่ยชีหรั่นอย่างเป็นมิตร
“นายเข้าไปในห้องหนังสือไปฉัน” เย่เชินหลินลุกขึ้น พ่อบ้านรีบไปเก็บกระดานหมากล้อม เซี่ยชีหรั่นตบหลังของอ้าวเสว่เบาๆ พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ออกไปผ่อนคลายวันนี้สนุกไหม?”
“อื้ม สนุกค่ะ คุณน้ารักหนูที่สุดแล้ว” อ้าวเสว่ควงแขนของเธออย่างสนิทสนมเซี่ยชีหรั่นมองเธอด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่รู้ว่าเธอคือลูกสาวของพี่สวีแล้ว ก็ไม่สามารถใจร้ายกับเธอได้อีก อีกอย่างตอนนี้เธอก็ยังป่วย พอนึกถึงจุดนี้ ในใจของเธอก็ยิ่งสงสารอ้าวเสว่ไปใหญ่
ในห้องหนังสือ เย่เชินหลินพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องราวสืบได้ยังไงบ้าง?”
“อ้าวเสว่มีเป้าหมายที่จะเข้าใกล้ตระกูลเย่จริงๆหรือเปล่าตอนนี้ยังไม่รู้ครับ แต่สืบเจอว่าก่อนหน้านี้เธอเคยพบเจอกับผู้ชายคนหนึ่งหลายรอบ ผู้ชายคนนั้นยังสืบไม่เจอครับ”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องสะพานลอยขึ้นเขาก็เริ่มสงสัยอ้าวเสว่และแม่ของเธอว่ามีแผนการอะไรหรือเปล่า แผนการนั้นจะเป็นแผนการที่ต่อต้านลุงสวีและยียีหรือเปล่า?
พอนึกถึงติงยียี เขาก็ถอนหายใจเบาๆ เย่เชินหลินเดินไปยังข้างหน้าต่าง สิ่งที่เขาคิดลึกซึ้งยิ่งกว่าเย่เนี่ยนโม่ เย่เนี่ยนโม่รู้สึกเพียงแค่ว่าอ้าวเสว่อาจจะมีเรื่องปิดบังสวีเห้าเซิง แต่ว่าหลังจากที่เขาได้ยินชื่อของซือซือแล้ว ในสมองก็มีผู้หญิงที่หายไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนลอยขึ้นมา
“ออกไปเถอะ” เย่เชินหลินหันหลังกับเขา เย่เนี่ยนโม่ตอบกลับไปคำหนึ่งแล้วหันหลังจากไป พึ่งเปิดประตูออกข้างหลังก็มีเสียงที่เคร่งขรึมดังขึ้นว่า “ระวังความปลอดภัยด้วย”
“อื้ม” เขาไม่ได้หันหลัง ในห้องโถงใหญ่อ้าวเสว่กำลังพูดคุยกับคุณแม่อยู่ เขายืนเงียบๆ มองไปสักพัก จึงจะหันหลังแล้วจากไป
ภายในห้อง เย่เนี่ยนโม่ดึงเนกไทออก ปลดกระดุมออก แล้วพิงอยู่ที่ประตูอย่างขี้เกียจ แมวหูพับตัวหนึ่งเดินออกมาจากข้างแจกันอย่างระมัดระวัง สิ่งที่เห็นคือมันอ้าปากหาว ค่อยๆ เดินมายังข้างกายของเขา แล้วเลียไปที่หลังมือของเขา
“เนี่ยนยี เดี๋ยวอีกสองสามวันพาเธอไปเยี่ยมแม่ของเธอดีไหม?” เย่เนี่ยนโม่เล่นกับมันเบาๆ อุ้งเท้าหน้าของแมวหูพับแตะไปที่จุดเหอกู่ของเขาแล้วดิ้นเล่น
“เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่เคาะประตูแล้วเสิร์ฟผลไม้จานหนึ่งเข้ามา ยิ้มแฉ่งแล้วนั่งลงบนพื้น “เนี่ยนยีก็อยู่หรอ”
เธอยื่นมืออยากจะลูบหัวมัน เนี่ยนยียกอุ้งเท้าขึ้นข่วน ทำเอาเธอตกใจจนถอยหลัง บนหลังมือมีรอยแผลแดงๆ เส้นหนึ่งแล้ว
“เนี่ยนยีย่าซน” เย่เนี่ยนโม่จับเนี่ยนยีวางไว้บนไหล่แล้วเดินออกไป อ้าวเสว่นั่งลงบนพื้น ในดวงตามีของเหลวคลอ เนี่ยนยีเนี่ยนยี ก็เพราะเขายังคิดถึงติงยียีล่ะสิ? ตัวเองมีตรงไหนกันที่ไม่ดี!
อีกทางหนึ่ง
《เวทมนตร์》เริ่มถ่ายทำ ติงยียีพาแพนด้าออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ไห่โจ๋ซวนรออยู่ที่นอกประตูแล้ว เธอมีความแปลกใจเล็กน้อย สองสามวันนี้เขาเหมือนจะดูแลตัวเองเป็นพิเศษ
“โจ๋ซวน ขอบคุณนะ แต่ว่าฉันนั่งรถเมล์ไปคนเดียวก็ได้แล้ว” ติงยียีไม่ค่อยอยากรบกวนเขา
ไห่โจ๋ซวนเปิดประตูรถให้เธออย่างไม่สนใจ ชี้ไปทางแพนด้า ติงยียีจึงจะนึกขึ้นว่า ประเภทของแพนด้าน่าจะไม่สามารถขึ้นรถรถเมล์ได้ ในใจจึงรู้สึกซึ้งใจในความละเอียดใส่ใจของไห่โจ๋ซวน
บนรถ ไห่โจ๋ซวนพูดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ได้ข่าวว่าคุณน้าเซี่ยชอบอ้าวเสว่มาก” ติงยียีตอบอึมอัมกลับไป หันศีรษะแล้วออกไปดูวิวนอกหน้าต่าง
ไห่โจ๋ซวนยิ้มโค้งที่มุมปาก เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา “ผมรู้จักร้านอาหารที่โด่งดังร้านหนึ่ง หลังเลิกงานแล้วไปทานด้วยกันไหม?”
“ขอบคุณนะโจ๋ซวน แต่ว่าช่วงนี้ผู้กำกับหวูบอกว่าฉากของแพนด้าค่อนข้างที่จะสำคัญ ไม่รู้ว่าจะถ่ายถึงกี่โมง” ติงยียีพูดเท็จทันที ไม่ว่ายังไงแล้วชูฉิงและเมิ่นเจ๋ต่างก็รู้สึกดีกับเขา เธอไม่อยากให้พวกเธอเสียใจ
ไห่โจ๋ซวนไม่ได้ยืนหยัดต่อไป หลังจากส่งเธอไปถึงกองถ่ายแล้วก็จากไปเลย ตรงที่เลี้ยว เขาหยุดรถแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา “เมิ่นเจ๋ใช่ไหม? ว่างไหม ช่วงนี้มีร้านอาหารเปิดใหม่ คุณอยากลองไปชิมไหม?”
สถานที่ถ่ายทำอยู่ที่จุดชมวิวของชานเมืองตงเจียง ติงยียีพึ่งมาถึงกองถ่าย หญิงสาวผู้ช่วยที่เป็นมิตรก่อนหน้านี้ก็โบกมือมาทางเธอ เธอมองดูรอบๆ ข้างๆวางเก้าอี้อยู่สามตัว จึงเลือกมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
“นั่นให้พี่ถิงถิง พี่อันหรันและฉันนั่งค่ะ” โม่ซวนหลินพึ่งแต่งหน้าเสร็จพอดี เห็นเธอนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองก็พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
“ขอโทษค่ะ” ติงยียีรีบลุกขึ้น อันหรันก็เดินมาพอดี เห็นสถานการณ์นี้แล้วก็ดินไปยังตรงหน้าของติงยียีโดยไม่พูดไม่กล่าว กดไหล่ของเธอลง ติงยียีนั่งกลับไปโดยไม่ได้ตั้งตัว
“วันนี้ผมมีฉากต่อสู้พอดี ผมจะวอร์มกล้ามเนื้อและกระดูก คุณนั่งเถอะ” อันหรันยิ้มไปทางติงยียี ถอดเสื้อคลุมออกแล้ววอร์มตัว