สิบนาทีต่อมา ซือซือเดินออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือดคุณหมอตามมาพูดว่า “เธอมีภาวะโลหิตจาง เลือดมีไม่เพียงพอ จำเป็นต้องหาคนที่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกันมาอีกคน”
ติงยียีมองทั้งสองคนที่ร้อนรนกระวนกระวายตรงหน้า เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองโปร่งแสงไร้ตัวตน ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขามาก่อน
ทันใดนั้นสายตาของซือซือก็มองมาที่เธอ พูดขึ้นมาว่า “เธอก็เป็นลูกสาวของฉัน เขาเป็นพี่สาวของเธอ ช่วยเขาด้วย!”
ติงยียียืนอยู่ตรงนั้นไม่ตอบโต้อะไร จู่ๆก็รู้สึกเหนื่อยมาก ทำไมเธอต้องมารู้จ้กพวกเขา ตามหาสิ่งที่ตนเองคิดว่าคือความอบอุ่น
สวีเห้าเซิงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาเขากลับเผยให้เห็นถึงการอ้อนวอนขอร้อง คุณหมอที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้สาเหตุ คิดว่าติงยียีไม่ยอมให้เลือด พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “เร็วหน่อย เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ถ้าไม่ยอมให้เลือดก็จะสายไปแล้ว!”
พอซือซือได้ยินก็ร้อนใจ ก้าวมาข้างหน้าดึงข้อมือติงยียีเอาไว้ ติงยียีปล่อยให้เธอดึง ตัวชาอยู่ด้านหลังคุณหมอ เธอไม่อยากดิ้นรนขัดขืน เธอเหนื่อยมาก
สิบนาทีต่อมา ติงยียีเดินออกมาสีหน้าที่ปิดบังไว้ขาวซีดเล็กน้อย สวีเห้าเซิงรีบก้าวไปพยุงเธอไว้ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “ยียี ไม่เป็นไรนะ!”
เธอพยักหน้า ทรุดนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกว่าตัวเองเวียนศีรษะเล็กน้อย ไม่นาน คุณหมอก็เดินมาจากด้านในห้อง
“คนไข้ตื่นแล้วค่ะ!” พยาบาลผลักประตูเปิดพลางเอ่ย ติงยียีมองสวีเห้าเซิงและซือซือพุ่งพรวดเข้าไปในห้องผู้ป่วย ที่ทางเดินเหลือเธอเพียงคนเดียว เธอหัวเราะเยาะ พยายามลุกขึ้นเดินตามเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ภายในห้องผู้ป่วย อ้าวเสว่นอนอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง หลังจากมองเห็นติงยียีก็ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ไปให้พ้น! ฉันไม่อยากเห็นเธอ! รีบให้เธอไปเลย!”
สวีเห้าเซิงแม้จะสงสาร แต่ก็ลงเสียงหนัก “อ้าวเสว่ เธอเป็นน้องสาวของลูกนะ!”
“ฉันไม่อยากได้น้องสาวที่แย่งแฟนของพี่สาวแบบนี้ พ่อให้มันไปเลยนะ!” อ้าวเสว่คิดจะดึงเข็มที่อยู่บนหลังมือออก ซือซือรีบหันไปตะคอกทางติงยียีว่า “เธอไปก่อนเถอะ ไม่เห็นหรือว่าพี่สาวเธอตอนนี้อารมณ์ไม่ดี!”
ติงยียียิ้ม แล้วหมุนตัวเดินจากไป สวีเห้าเซิงอยากจะเรียกเธอเอาไว้ อ้าปาก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ดวงตาคู่นั้นของเผยให้เห็นรอยยิ้ม ลากสวีเห้าเซิงต่อพลางพูดว่า “หนูอยากเจอเนี่ยนโม่ ไม่เห็นเขา! หนูจะตายจริงๆ!”
ติงยียีขดตัวอยู่บนเก้าอี้เย็นๆตรงระเบียงทางเดินโรงพยาบาล โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นไม่หยุด เธอควักโทรศัพท์มือถือออกมา ในดวงตามีรอยยิ้มแฝงอยู่เล็กน้อย
ในสาย เสียงเย่เนี่ยนโม่แฝงด้วยความร้อนใจ “คุณอยู่ที่ไหน”
“เนี่ยนโม่ ฉันคิดถึงคุณมากเลยค่ะ” ติงยียีจับโทรศัพท์แน่น รู้สึกสบายใจอย่างที่สุด
เสียงในโทรศัพท์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ เธอได้ยินคนที่เธอรักก็พูดกับเธอชัดเจนว่า “ผมเองก็คิดถึงคุณมาก”
ในระเบียงทางเดิน น้ำยาฆ่าเชื้อก็ยังแสบจมูก ทุกคนที่เดินผ่าน ด้วยใบหน้าที่เย็นชาและเหนื่อยล้า บางครั้งมีคนบางครั้งมีคนรีบเดินผ่านเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข จากนั้นก็รีบจากไป
วางสายโทรศัพท์แล้ว ติงยียีก็ลุกขึ้นมา เธอไม่ใช่คนของที่นี่ คนในครอบครัวที่ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอเดินตามมา เธอหมุนตัวไป มองไปยังสวีเห้าเซิงและซือซือที่ตามตนเองมา
“ยียี!” สวีเห้าเซิงเรียกเธอเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร ซือซือที่อยู่ข้างๆดึงแขนของเขา
“มีเรื่องอะไรก็บอกมาตามตรงเถอะค่ะ” ติงยียีมองทั้งสองคน ในใจเจ็บจนชาไปหมดแล้ว
“อารมณ์ของเสี่ยวเสว่แปรปรวนมาก ลูกช่วยให้เนี่ยนโม่มาพี่เขาหน่อยได้มั้ย” สวีเห้าเซิงพยายามหลบสายตาเธอ เขารู้สึกผิดต่อลูกสาวคนนี้อย่างที่สุด
ติงยียีไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เธอมองซือซือทันใดนั้นก็พูดว่า “ฉันขอพูดอะไรกับพวกคุณหน่อยได้มั้ยคะ”
ในระเบียงทางเดิน ซือซือรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อย เธอลูบคลำกำไลบนข้อมือด้วยความเคยชิน ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้รีบปล่อยมือทันที
ติงยียีมองเห็นทั้งหมด แต่ไม่ขัดจังหวะ เธอมองการแต่งหน้าอย่างสวยงามบนใบหน้าของผู้หญิงที่อาจจะเป็นแม่ของตนเอง นี่คือความสวยงามที่แม่ผู้เลี้ยงดูเธอตั้งแต่เด็กไม่เคยมี
“เป็นลูกสาวคุณเหมือนกัน ทำไมคุณกลับดีกับเธอได้ขนาดนั้น” ติงยียีถามเบาๆ มีเพียงข้อนี้ข้อเดียวที่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก
ซือซืออึ้ง แต่ไม่นานก็ตั้งสติกลับมาได้ “พูดกันตรงๆเลยนะ ตอนแรกฉันไม่ได้ต้องการเธอ เธอเป็นส่วนเกินที่ไม่คาดฝัน พี่สาวของเธอมีคุณค่าให้ฉันใช้ประโยชน์มากกว่า”
ติงยียีพยักหน้าด้วยความเข้าใจทันที “ดังนั้นคุณจึงไม่ได้เห็นฉันเป็นลูกสาวถูกมั้ย”
ภายในใจซือซืออ่อนไหวเล็กน้อย แต่กลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น ติงยียียิ้ม แม่แท้ๆของตนเองไม่อยากยอมรับตนเอง แต่ตนเองกลับไม่สามารถที่จะไม่ยอมรับว่าเธอเป็นญาติของตนเองได้
“คำถามสุดท้าย คุณชื่ออะไรคะ” ติงยียีเริ่มหยิบโทรศัพท์ออกมา
“ซือซือเธอเรียกฉันว่าน้าซือซือก็ได้” ซือซือพูด
“น้าซือซือเหรอ” ติงยียีพูดซ้ำไปมาหลายครั้ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเย่เนี่ยนโม่ต่อหน้าเธอ
เย่เนี่ยนโม่รีบมาที่โรงพยาบาล มองเห็นติงยียีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบดึงเธอขึ้นมา “ไม่สบายตรงไหน ทำไมถึงมาที่โรงพยาบาล!”
ติงยียีส่ายหน้า สายตาทอดมองไปยังห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าซือซือไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอกลับไม่ได้สังเกต
“เนี่ยนโม่” สวีเห้าเซิงเปิดประตูเรียกเขา พูดว่า “อ้าวเสว่ฆ่าตัวตายอีกแล้ว เธอโวยวายว่าต้องการพบคุณ”
แววตาเย่เนี่ยนโม่มองห้องผู้ป่วยที่ปิดประตูหน้าต่างอยู่นั้น ด้วยแววตาสับสน ขมวดคิ้วพูดว่า “ลุงสวี อ้าวเสว่เป็นแบบนี้ไม่สามารถปล่อยให้เธอหายเองได้ ต้องส่งไปรักษาที่แผนกจิตเวชนะครับ ผมเจอเธออีก จะมีแต่ยิ่งทำให้อาการป่วยของเธอหนักขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อเธอเลย”
เขาพูดจบ ก็ลากติงยียีขึ้นมาเดินไปด้านนอก สวีเห้าเซิงไม่ได้ตามไป ภายในประตูที่ปิดอยู่อ้าวเสว่มองสองคนเดินไปไกลไปด้วยความโกรธ เห็นชัดว่าในใจกำลังคิดแผนร้ายที่สุดอยู่ น้ำตากลับไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ลมหนาวนอกโรงพยาบาลทำให้ติงยียีรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที เดินมาถึงลานจอดรถ เธอกำลังจะเปิดประตู แต่กลับถูกแขนสองข้างของเย่เนี่ยนโม่ขวางไว้
“ติงยียี ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องฟังอะไรทั้งนั้น แต่เชื่อผมก็พอแล้ว”
“แต่ว่าฉันต่างหากที่เป็นมือที่สาม ฉันควรจะเป็นคนที่ถูกปฏิเสธไม่ใช่เหรอ” ติงยียีอยากจะหลบสายตาเขา แต่กลับถูกสองมือของเย่เนี่ยนโม่ยึดเอาไว้
เย่เนี่ยนโม่ยึดแก้มสองข้างของเธอไว้ มองดวงตาเธอ พูดทีละคำว่า “คุณไม่ใช่มือที่สาม ตอนแรกผมแค่รับปากว่าจะดูแลอยู่เป็นเพื่อนเธอจนกระทั่งเธอกลับมาแข็งแรง คุณเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่ง ผมคิดไม่ถึงว่าผมจะยอมขัดขืนความประสงค์ของลุงสวีเพื่อคุณ”
“อย่างนั้นก็ให้จุดเปลี่ยนอย่างฉันนี่หายสาบสูญไปเลยก็ได้!” ทันใดนั้นติงยียีก็ออกแรงดิ้นขัดขืนขึ้นมา สำหรับพ่อแม่แท้ๆตนเองก็เป็นจุดเปลี่ยนสินะ!สำหรับเย่เนี่ยนโม่ตนเองก็เป็นจุดเปลี่ยนนะ!เช่นนั้นก็ให้ตนเองหายสาบสูญไปเลยก็ดี
เย่เนี่ยนโม่ใช่การกระทำแบบสากลเพื่อบอกเธอว่าตนเองรักจัดเปลี่ยนอย่างเธอนี้มากแค่ไหน กลางดึก ติงยียีค่อยๆตื่นขึ้นมา คนที่อยู่ข้างๆกลับไม่อยู่ ผ้าปูที่นอนยังอุ่นอยู่ เธอลุกขึ้นเอาเสื้อคลุมมาคลุมสวมรองเท้าแตะเดินไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือประตูปิดอยู่ ไฟสีเหลืองนวลลอดออกมาจากด้านในห้อง เย่เนี่ยนโม่ยืนโทรศัพท์อยู่ข้างเตียง
“ลุงสวี ผมหวังว่าต่อไปคุณลุงจะไม่เอาเรื่องมารบกวนยียี คุณลุงกับเธอต่างก็มีความสำคัญกับผมมาก”
เสียงที่เหลือค่อยๆเบาลง เธอแนบติดผนังอย่างเงียบๆฟังเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนในห้อง ในใจถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกปลอดภัย ในเมื่อพ่อแท้ๆของตนเองมีความสำคัญกับเย่เนี่ยนโม่ขนาดนั้น อย่างนั้นเรื่องที่ตนเองเป็นลูกของสวีเห้าเซิงเธอตัดสินใจว่าจะปิดเป็นความลับให้ถึงที่สุด
ถ้าเรื่องภายในใจหายไปหมดสิ้นได้หลังจากนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา อย่างนั้นจะดีแค่ไหนนะ ท้องฟ้านอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่สว่างจ้า ติงยียีมองเพดานพลางเบิกตาโต
เธอลุกขึ้น ขาข้างหนึ่งเหยียบของเล่นเป็ดที่ชอบเล่นเป็นประจำ ของเล่นส่งเสียงปี๊บๆออกมา เธอตกใจจนเอาขาข้างหนึ่งเตะของเล่นไปไกล
เย่ป๋อที่สวมผ้ากันเปื้อนได้ยินเสียงก็รีบมา หลังจากมองเห็นว่าติงยียีไม่เป็นอะไรจึงถอนหายใจ “คุณติง จะตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าหรืออาหารกลางวัน”
“เรียกฉันว่ายียีก็ได้” เธอเขินเล็กน้อย ที่ตนเองนอนหลับนานเหมือนหมูอย่างนั้น
บนโต๊ะอาหารมีอาหารสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างวางไว้อย่างสวยงามน่ากิน ติงยียีคีบหน่อไม่ฝรั่งขึ้นมาหนึ่งชิ้นขึ้นมา พูดชื่นชมว่า “เย่ป๋อคุณนี่เก่งจริงๆ อาหารนี้ทำออกมาได้เหมือนกับพ่อครัวที่ร้านอาหารจำรส”
“ก็คืออาหารที่ร้านอาหารจำรสทำครับ” เย่ป๋อส่งข้าวสวย ให้เธอ ติงยียีถามอย่างแปลกๆว่า “งั้นนายใส่ผ้ากันเปื้อนทำไม”
เขาชี้ไปที่หม้อข้าว “หุงข้าว!” บนโต๊ะอาหาร ทั้งสองคนไม่พูดอะไร กินเสร็จติงยียีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเย่ป๋อห้ามว่า “คุณติงครับ อ้อไม่ใช่ คุณยียี คุณชายบอกว่าวันนี้หลังเลิกงานจะรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่ไปทำงานเท่านั้น” ติงยียีหยิบกระเป๋าเตรียมใส่รองเท้าเอกสารวิ่งไปที่ประตู
“คุณยียีครับพวกเราไปช้อปปิ้งที่ห้างกันเถอะครับ!” เย่ป๋อรีบจนลนลาน เขาอยู่ในกองทัพตั้งแต่เด็ก แทบไม่รู้เลยว่าจะเอาใจผู้หญิงอย่างไร
ติงยียียืนนิ่งหันมามองเขา พูดเบาๆว่า พูดเบาๆว่า “ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”
เย่ป๋อเห็นว่าไม่สามารถปิดบังความจริงได้ จึงได้แต่พูดความจริงว่า “คุณชายบอกว่าวันนี้คุณอ้าวเสว่จะไปทำงานที่บริษัทหลินซื่อ”
“ดังนั้นตอนนี้แม้แต่จะทำงานก็ไปไม่ได้เหรอ” ติงยียีพูดอย่างสมเพช
“ไม่ใช่ครับ” เย่ป๋อโต้แย้งด้วยเสียงดัง เขาไม่อาจทนเห็นคุณยียีเข้าใจคุณชายผิดได้ “คุณชายเป็นห่วงว่าคุณอ้าวเสว่จะบีบบังคับให้คุณทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เขากำลังปกป้องคุณอยู่นะครับ!”
ติงยีนิ่งเงียบ พักใหญ่จึงฉีกยิ้มได้อีกครั้งพลางเอ่ยว่า “งั้นฉันไปดูว่าบ้านฉันซ่อมแซมไปถึงไหนแล้ว”
เย่ป๋อพยักหน้าอย่างดีใจส่งเธอออกไปด้วยความยินดี ในใจภาคภูมิใจเล็กน้อย ที่ทำตามความประสงค์ของคุณชายได้สำเร็จ บ้านของพวกเธอก็ยังซ่อมไม่เสร็จมาสามปีห้าปีแล้ว!
ไปบ้านตระกูลติงแล้ว ติงยียีก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมเอากุญแจมา เย่ป๋อก็น่าจะไปแล้ว เธอจึงได้แต่ไปหาเย่เนี่ยนโม่ที่บริษัทเย่ซื่อ
เพิ่งมาถึงชั้นล่างของบริษัทเย่ซื่อ ก็มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังของเธอ “ติงยียี!”
เธอหันหน้าไป เธอก็ถูกราดน้ำร้อนใส่ทั้งตัวอย่างไม่ทันได้ระวังตัว อ้าวเสว่ยืนอยู่ข้างๆถือกล่องเปล่ายิ้มอย่างสะใจ เธอมาหาเย่เนี่ยนโม่ คิดไม่ถึงว่าประชาสัมพันธ์บอกเธอว่าผู้จัดการไม่ต้องการพบเธอ ตอนออกจากประตูก็มาพบติงยียีอีก ความโกรธในใจเธอจะทำอย่างไรก็ไม่หายไปได้เลย!
ติงยียีรู้สึกว่าบนตัวเธอทั้งมันเยิ้มทั้งร้อน เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น ยกมือขึ้นมาตบหน้าอ้าวเสว่อย่างรุนแรงโดยไม่ทันตั้งตัว
####บทที่ 1486 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1386
“นี่แกกล้าตบฉันเหรอ!” อ้าวเสว่ดวงตาสองข้างเบิกโพลงอย่างเหลือเชื่อ
“ฉันรู้สึกละอายใจในการอบรมเลี้ยงดูของเธอ!” ติงยียีเอาชิ้นไก่ที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าออก หมุนตัวเดินจากไป
เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ติงยียีก็ร้องเบาๆด้วยความเจ็บอ้าวเสว่จับผมของเธอแล้วดึงไปข้างๆเธอ รอบๆยังมีคนสองสามคนมุงดูอยู่
ติงยียีโมโหแล้ว กระทืบเท้าบนรองเท้าส้นสูงของอ้าวเสว่ อ้าวเสว่ร้องด้วยความเจ็บ รีบปล่อยมือ ที่ทั้งสองถือตรงปลายคนละด้าน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้น
“เสี่ยวเสว่!” ซือซือเดินเข้ามาพอดี มองเห็นฉากนี้ ก็ไปยืนข้างหน้าอ้าวเสว่โดยสัญชาตญาณ
“เธอเป็นพี่สาวของลูกนะ! ทำไมรังแกพี่เขาอย่างนี้ พี่ยังป่วยอยู่นะ!” ซือซือทำเหมือนกับติงยียีไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเลย ดังนั้นน้ำเสียงที่พูดก็หนักด้วย
ติงยียีหัวเราะเยาะ “คุณไม่ได้บอกให้ฉันเรียกคุณว่าคุณน้าหรอกเหรอคะ ทำไมเธอถึงได้กลายมาเป็นพี่สาวฉันได้อีก”
ซือซือถูกเธอทำให้สำลักจนพูดไม่ออก ทันใดนั้นอ้าวเสว่ก็ปรี่มาจากด้านข้างเงื้อมือขึ้นมาตบหน้าติงยียีหนึ่งฉาด พูดอย่างสะใจว่า “นี่คือรางวัลของแก!”
ติงยียีรู้สึกเวียนศีรษะ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นด้านหลัง “ใครกล้ารังแกลูกสาวฉัน!”
เธอเตรียมที่หันกลับไปด้วยความประหลาดใจ แต่ถูกอ้าวเสว่ลากออกไป ชายผู้หนึ่งเขย่งด้วยขาข้างเดียวพลางเอาไม้เท้าโบกไปทางสองคนนั้น
อ้าวเสว่และซือซือหลบหนีอย่างเหน็ดเหนื่อย ซือซือด่าอย่างโมโหว่า “แกเป็นใคร!”
“นังผู้หญิงปากร้ายนี่ กล้ารังแกลูกสาวฉัน!” ติงต้าเฉินจ้องมองทั้งสองคนอย่างดุร้าย ติงยียีรีบวิ่งไป “พ่อ!”
“ลูกไม่ต้องกลัว! ตระกูลติงของพวกเราแม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อยกว่าคนอื่นเด็ดขาด พวกเราไปแจ้งตำรวจกัน!” ติงต้าเฉินมองแก้มที่เป็นรอยแดงของติงยียีด้วยความสงสาร ดึงมือของเธอเดินไปข้างนอก ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เขามาที่เมืองตงเจียง ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะมาพูดคุยกับเย่เนี่ยนโม่ที่บริษัทเย่ซื่อ เขาก็คงไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองถูกรังแกถึงขั้นนี้
ติงยียีถูกมือใหญ่ที่หยาบกร้านของเขาจูงอยู่ ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดจางสลายหายไป เธอพยักหน้า หยิบกำไลอันหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าติงต้าเฉินมองเธอย่างแปลกประหลาดใจ
ติงยียีถือกำไลเดินไปตรงหน้าซือซือ ส่งกำไลให้เธอ “ขอบคุณที่คลอดฉันออกมา และขอบคุณที่ตัดสินใจไม่ยอมรับฉัน”
ดวงตาติงยียีมองตรงๆไปที่ซือซือหรือว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่แท้ๆของลูกตนเอง เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ยียี คนนี้คือ”
ติงยียีเห็นเธอไม่ยอมรับกำไลของตนเอง ก็ย่อตัวลงเอากำไลวางไว้บนพื้น แล้วลุกขึ้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “คนคนนี้ไม่ได้เป็นใครทั้งนั้นค่ะ”
“คุณติงยียีคะ” สาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์วิ่งออกมาดู หลังจากมองเห็นติงยียีก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ฉันต้องไปเรียกผู้จัดการใหญ่มั้ยคะ”
อ้าวเสว่จ้องไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เมื่อครู่เธอบอกว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่พบตนเอง ตอนนี้เพื่อติงยียีกลับจะไปหาเย่เนี่ยนโม่ เธอไม่ยอม
สาวประชาสัมพันธ์ถูกสายตาเธอมองจนขนลุก ค่อยๆถอยหลังไปสองสามก้าว ติงยียีก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างเงียบๆ เห็นอ้าวเสว่เงื้อฝ่ามือขึ้น เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยสาวประชาสัมพันธ์ที่ช่วยพูดแทนตนเองคนนั้น
มือของอ้าวเสว่ที่โบกไปทางสาวประชาสัมพันธ์ในตอนแรกจู่ๆก็เปลี่ยนทิศทางกลางคันหันมาทางติงยียีแทน ติงยียีหลบไม่ทัน ได้แต่หลับตาตามสัญชาตญาณ
ความเจ็บปวดที่คาดเดาเอาไว้ไม่ได้มาถึง ปลายจมูกได้กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายที่คุ้นจมูก เธอลืมตา มองไปตามแววตาที่แปลกประหลาดใจของอ้าวเสว่ที่มองไปยังเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ข้างติงยียี ยึดมือของอ้าวเสว่ที่กำลังฟาดไปทางติงยียี สายตาเหลือบไปเห็นหน้าติงยียี และเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะ แววตาเยือกเย็น
“เนี่ยนโม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ เมื่อกี้ฉันอารมณ์แปรปรวนอย่างมาก เธอก็มาตบฉันอีก” อ้าวเสว่รีบพูดขึ้นมา
เย่เนี่ยนโม่ปล่อยเธอ หันหน้าไปทางซือซือ “คุณคือคุณแม่ของอ้าวเสว่ ผมคิดว่าพวกเราคุยกันได้”
“พวกเราไม่มีอะไรจะคุยด้วย!” ซือซือเผชิญหน้ากับใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเย่เชินหลินรู้สึกขาดความมั่นใจอย่างประหลาด
เย่เนี่ยนโม่มองเห็นทุกอย่าง อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆรู้ว่าแม่เกลียดตระกูลเย่มาก คาดว่าระหว่างแม่กับตระกูลเย่ต้องมีความแค้นต่อกันแน่นอนถ้าให้ตระกูลเย่รู้ถึงการมีตัวตนของแม่ ตนเองก็ไม่มีอะไรสนุกๆแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆอ้าวเสว่ก็กุมศีรษะทรุดตัวลงร้องโหนหวนว่า “แม่ เนี่ยนโม่ ฉันปวดหัวมากเลย!”
ซือซือดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วไปพยุงอ้าวเสว่ เย่เนี่ยนโม่ก้มลงมอง อ้าวเสว่มองเขา ในตามีน้ำตาคลอ เรียกเบาๆว่า “เนี่ยนโม่!”
เย่เนี่ยนโม่ก้าวไปทางเธอสองก้าว อ้าวเสว่รีบยื่นมือออกมามองไปทางเขาอย่างวิงวอนขอร้อง
“ปล่อยมือเถอะอ้าวเสว่” เขาพูดจบก็หมุนตัวไปโดยไร้เยื่อใย “เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่เรียกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ พอเห็นเย่เนี่ยนโม่ชะงักฝีเท้า ในดวงตาเธอก็เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมาอีก
“ช่วยเรียกรถพยาบาลให้เธอด้วย” เย่เนี่ยนโม่พูดกับหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เบาๆ เดินไปตรงหน้าติงยียี เขาขมวดคิ้ว “สกปรกจังเลย”
ติงยียีก้มหน้าอย่างเขินๆ เธอรู้ว่าตอนนี้หมดสภาพดูไม่ได้อย่างมาก ไม่พูดอะไรสกปรกเลอะเทอะไปทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ายังบวมด้วย
เธอกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเอง กระทั่งมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกจูงขึ้นมา เธอเดินตามเย่เนี่ยนโม่เข้าไปในบริษัทเย่ซื่ออย่างงงๆๆ
ติงต้าเฉินมองซือซือยังลังเลว่าจะก้าวไปข้างหน้าดีหรือไม่เล็กน้อย ในเมื่อนี่คือแม่แท้ๆของลูก เย่ป๋อประคองเขาอย่างมีน้ำใจ กึ่งดึงกึ่งลากเขาเข้าไปในบริษัทเย่ซื่อ
อ้าวเสว่ทรุดตัวอยู่บนพื้นอย่างอึ้งๆ มองพวกของเนี่ยนโม่เดินหายลับไปตรงที่เดิม น้ำตาไหลลงมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ร้องๆๆๆ! แม้แต่ผู้ชายคนหนึ่งยังรั้งเอาไว้ไม่ได้เลย!” ซือซือมองด้านหลังของติงยียีอย่างไม่พอใจ ถ้ารู้แต่แรกว่าเธอไม่ควรจะเอาเดิมพันทั้งหมดมาไว้ที่ตัวอ้าวเสว่ เอาไว้ที่ตัวติงยียีอาจจะมีอัตราความสำเร็จสูงกว่า!
บริษัทเย่ซื่อ
เย่เนี่ยนโม่ถือทิงเจอร์ไอโอดีนและสำลีก้านด้วยใบหน้าเย็นชาล้างแผลให้ติงยียี พลางพูดว่า “รู้จักที่จะทะเลาะตบตีกันแล้วเหรอ”
“เจ็บๆๆๆ!” ติงยียีเงยหน้าหลบไปด้านหลัง เย่เนี่ยนโม่ถือยาอยู่ตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว นานพักใหญ่ เธอจึงยอมแพ้โน้มตัวเข้ามาใกล้ให้เขาทายา
มีความรู้สึกเย็นเล็กน้อยมาจากบาดแผล เธอเบิกตาโตอย่างแปลกใจ เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆเป่าที่แผลเธอเบาๆ “ดีขึ้นบ้างมั้ย”
“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย” เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ เขาขมวดคิ้วขยับไปข้างหน้าตนเองอีก ใบหน้าที่เย็นชาแก้มสองข้างที่ค่อยๆป่องขึ้นมาเป่าไปที่แผลเธอ
ประตูถูกเคาะ เย่ป๋อเดินเข้ามาส่งเสื้อผ้าที่ไปซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าให้ติงยียี จากนั้นก็ปิดประตูออกไปเอง
ติงยียีถือเสื้อผ้าเอาไว้ มองเย่เนี่ยนโม่อย่างอึดอัดใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้ว “ห้องทำงานไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ!”
เธอเขินอาย จากหน้าต่างห้องทำงานมองออกไปก็ยังมองเห็นคนด้านนอกเดินไปเดินมา แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าคนข้างนอกมองไม่เห็นด้านใน แต่ยังไงก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดี
ผ่านไปนานพักใหญ่ กระดุมที่หน้าอกไม่ได้แกะเลยสักเม็ด เธอกระวนกระวายจนเหงื่อโชก เย่เนี่ยนโม่มองดูด้วยความสนุก ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ
เธอถอยกรูด หลังติดผนัง มองเขายื่นมือมาทางตนเอง มือเลื่อนผ่านหูตนเอง จากนั้นก็เลื่อนลงแนบกับแผ่นหลังของตนเอง
“ตอนนี้เป็นตอนกลางวันนะคะ!” ติงยียีส่งเสียงพูดเบาๆ มีเสียงดังแก๊กดังมาข้างหู เธอหันไปมองอย่างแปลกใจ ที่แท้ที่ตนเองพิงอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่ผนัง แต่เป็นบานประตู
เย่เนี่ยนโม่ดึงมือกลับ มองเธออย่างไร้เดียงสา “ผมก็แค่จะช่วยคุณเปิดประตูเท่านั้นเอง” ติงยียีมองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา ก็โกรธมากกำหมัดโบกไปทางเขาแล้วหมุนตัวปิดประตูดังปัง
ติงยียีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมา เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร หยิบกุญแจรถยนต์ขึ้นโบกไม้โบกมือไปทางเธอ
“ไปไหนคะ” เธอเดินตามหลังเขาด้วยความอยากรู้ ออกจากบริษัทเย่ซื่อ รถยนต์ขับเคลื่อนบนถนน จนกระทั่งมาจอดที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตงเจียง
ติงยียีลงรถ แวบแรกก็มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่มหึมาข้างๆห้างสรรพสินค้า นี่กำลังจะกลายเป็นศูนย์การค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตงเจียง ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว และเจ้าของธุรกิจการค้าที่ยิ่งใหญ่นี้ ตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอ
เย่เนี่ยนโม่ดึงติงยียีตรงเข้าไปที่แผนกเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้า หัวหน้าพนักงานขายเห็นผู้คนมากมายแล้ว แน่นอนว่าย่อมมองออกถึงสถานะของผู้ชายที่สวมชุดสูทอาร์มานีที่อยู่ตรงหน้า ก็ดึงติงยียีมาตรงหน้าราวเสื้อผ้าอย่างกระตือรือร้นเอามือทำท่าทำทาง
ติงยียีรู้ว่าเขาอยากจะซื้อเสื้อผ้าให้ตนเอง เสื้อผ้าครึ่งหนึ่งของเธออยู่ที่บ้านตระกูลติง เอามาเพียงแค่ไม่กี่ชุดเท่านั้น
เธอปล่อยให้สาวหัวหน้าพนักงานขายแนะนำอย่างไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย ไม่นาน ภายใต้การแนะนำอย่างเต็มที่ของพนักงานขายเธอก็สวมชุดกระโปรงสีชมพูออกมา
ตอนอยู่ในห้องลองชุดเธออยากจะดูป้ายราคา แต่กลับพบว่าบนชุดนอกจากป้ายยี่ห้อแล้ว ไม่มีป้ายราคาอยู่เลย ตอนเดินออกมาจากห้องลองชุด สบตาเข้ากับเย่เนี่ยนโม่ “สวยมั้ยคะ” เธอถาม
เย่เนี่ยนโม่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเห็นชุดกระโปรงคอวีลึกก็ขมวดคิ้วโดยไม่ส่งเสียงอะไร เขาลุกขึ้นเดินมาข้างหน้าราวผ้า นิ้วเรียวยาวค่อยๆรูดไปตามราวผ้า จากนั้นเลือกชุดกระโปรงผ้าลินินสีขาวใส่ในมือเธอ
ติงยียีออกมาจากห้องลองชุด ชุดกระโปรงยาวผ้าลินินที่มีเนื้อผ้าดีอย่างยิ่งทำให้รูปร่างของเธอได้สัดส่วนสวยงาม
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง บนเคาน์เตอร์ก็มีถุงเล็กถุงใหญ่วางเรียงกันสิบกว่าถุงแล้ว พนักงานเก็บเงินยิ้มพลางหยิบบัตรเติมน้ำมันออกมาหนึ่งใบพูดว่า “สวัสดีค่ะ เนื่องจากคุณได้ทำการซื้อสินค้าไปแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงจำนวนที่เรากำหนดไว้ในแคมเปญ นี่คือบัตรเติมน้ำมันหนึ่งพันบาท กรุณารับไว้ด้วยนะคะ”
ออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว เย่ป๋อก็รีบมารอรับ รับถุงของคุณชายไป และเปลี่ยนกุญแจรถยนต์กับเขา
จนกระทั่งเสียงGPSนำทางไปที่โรงแรมตี้เหาดังขึ้นติงยียีจึงรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่จะไปรับพ่อที่โรงแรม แต่ตอนนี้ร่างกายเดินทางไม่ค่อยสะดวก มีเพียงรถออฟโรดเท่านั้นที่มีพื้นที่ใหญ่พอ
ขณะที่รถยนต์แล่นอยู่บนสะพานต่างระดับ ติงยียีสะลึมสะลืออยากนอน ทันใดนั้นรถยนต์ก็เบี่ยงหักไปทางขวาอย่างกะทันหัน เธอตกใจตื่นทันที
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วและเม้มปากแน่น ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งกันไว้ด้านหน้าติงยียี เนื่องจากการพันธนาการของเข็มขัดนิรภัย ติงยียีจึงได้แต่เอาครึ่งท่อนบนพิงไปทางเขา
รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันหนึ่งขับแซงมาจากด้านข้าง หัวรถค่อยๆพุ่งมาทางรถของเย่เนี่ยนโม่ รถทั้งสองพุ่งชนกัน เกิดเสียงดังบาดหู
เย่เนี่ยนโม่เหยียบเบรก ทิ้งระยะห่างจากรถอีกคัน ลงจากสะพานต่างระดับแล้ว รถเก๋งสีดำสองคันที่ขับออกมาจากบนถนน หลังจากรถเก๋งสองคันขับผ่านรถของเย่เนี่ยนโม่ก็หยุดลงตรงหน้ารถเขาทันที ปิดกั้นทางไปของรถบีเอ็มดับเบิลยู