ความเย็นชาของเธอเหนือความคาดหมายของสวีเห้าเซิง เขาพูดต่อออกไปด้วยความรู้สึกประหม่า: “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เรื่องนี้ฉันสามารถช่วยคุณแก้ไขได้”
“ไม่ต้อง!”ติงยียีปฏิเสธจากจิตใต้สำนึก รู้สึกได้ถึงการหายใจของทางต้นสายนั้นมีอาการติดขัด เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงต้องค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อน: “อ้าวเสว่ตอนนี้ยังคงป่วยอยู่ ถึงคุณจะดีกับฉันเท่าไหร่ก็ตามก็คงไม่ได้ช่วยอะไรกับอาการป่วยของเธอ พวกเรารักษาระยะห่างกันหน่อยเถอะ”
คำพูดอธิบายของเธอทำให้สวีเห้าเซิงโล่งอก ในใจยิ่งรู้สึกอับอาย ระหว่างคนสองคนยังมีความรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ติงยียีเริ่มเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ฉันมีธุระอื่นอีก ฉันวางสายก่อนนะ”
พอวางสายไป ไห่โจ๋ซวนพูดอย่างสงบเยือกเย็น: “คุณตัดสินใจว่าอย่างไร? อยากให้ฉันช่วยไหม?”ติงยียีมองเขาอย่างซาบซึ้ง น้ำเสียงแน่วแน่ “ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้นคุณช่วย ให้ส่งฉันที่กองถ่ายได้รึเปล่า วันนี้น่าจะมีถ่ายที่ชานเมือง”
“คุณแน่ใจ?”ไห่โจ๋ซวนถึงจะใช้ประโยชน์จากเธอ ฟังเธอพูดแบบนี้เองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม
ติงยียีพยักหน้ายืนยัน ดูจากรูปถ่ายและเนื้อหาแล้วนั้น คนที่ปล่อยข่าวออกไปน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวในกองถ่ายเป็นอย่างดี ถ้าคิดดูดีๆแล้ว คนก่อเหตุเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนในกองถ่าย!
คาดเดามาตลอดทาง รถยนต์ก็มาจอดที่นอกชานเมือง เห็นเลือนรางว่ามีเงาคนเดินไปรอบๆไม่ไกลนัก
ติงยียีลงจากรถ ขณะที่กำลังอยากจะพูดกับไห่โจ๋ซวนนั้นเอง ผู้หญิงหลายคนที่อยู่ด้านข้างเป็นหย่อมๆก็เข้ามาล้อมตัวเธอและรถเอาไว้
“คุณไม่คู่ควรกับอันหรัน! ไสหัวออกไปจากเขาซะ!”ผู้หญิงหลายสิบคนยกป้ายที่เขียนชื่ออันหรัน ด้วยท่าทางขุ่นเคืองโกรธแค้นเธอ ติงยียีอยากจะพูดตอบโต้ แต่เสียงนั้นได้ถูกกลืนหายไปกับเสียงฝูงชนอย่างรวดเร็ว
“พอได้แล้ว! มีอะไรก็พูดกันดีๆก็ได้ นี่มันเข้าท่าที่ไหนกัน!”ไห่โจ๋ซวนลงจากรถ กระแทกปิดประตูรถอย่างแรงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แฟนคลับของอันหรันที่อยู่บริเวณรอบๆถูกท่าทางและน้ำเสียงของเขาทำให้ตกใจกลัว บรรยากาศรอบๆเกิดการหยุดชะงักในทันใด ทุกคนเอาแต่มองกันไปมา
“ทุกคนหลักทางหน่อย ให้ฉันสั่งสอนเธอเอง!”ด้านนอกกลุ่มคนมีร่างคนหนึ่งคนวิ่งเข้ามา ในมือถือขวดน้ำแร่ที่บรรจุของเหลวสีแดงมีกลิ่นคาวเหม็นตรงเข้ามาสาดใส่ติงยียี เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่คาดคิด เธอทำได้เพียงรีบร้อนหมุนตัวกลับ
เหตุการณ์ที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้เกิดขึ้น ไห่โจ๋ซวนนั้นเข้าไปบังเธอเอาไว้ตอนที่เธอหมุนตัวกลับในทันที ใช้หลังช่วยกันของเหลวส่วนใหญ่เอาไว้ได้
“เป็นเลือดสุนัข”
“โคตรเหม็นเลย!”
แฟนคลับที่อยู่บริเวณรอบๆหลีกทางให้อย่างพะอืดพะอม ไม่มีคนโหวกเหวกโวยวายอีก เห็นได้ชัดว่าถูกเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตกใจ และผู้หญิงที่สาดเลือดสุนัขนั้นก็ใช้ความโกลาหลนี้รีบหนีออกไปอย่างเงียบๆ
“โจ๋ซวนคุณไม่เป็นไรนะ!” ติงยียีหันตัวมาโอบกอดเขาไว้ นักข่าวที่มาร่วมงานอยู่บริเวณรอบๆก็รีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพอย่างฉับพลัน
“ยียี!” ผู้กำกับหวูพาคนมาจำนวนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา นักข่าวพอเห็นผู้กำกับหวูก็รีบกรูเข้าไปทันที
“ขอสัมภาษณ์หน่อยนะครับผู้หญิงคนนี้ใช่คนที่คุณอันหรันเตรียมการสำหรับกองถ่ายเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ มีความเป็นไปได้หรือเปล่าครับที่ผู้หญิงคนนี้จะเข้าสู่วงการบันเทิง? ในเรื่องเธอรับบทแสดงเป็นตัวละครอะไรเหรอครับ?”
“ได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้มีสุนัขพันธุ์Tibetan Mastiffที่แสนล้ำค่าและโด่งดังอยู่หนึ่งตัว สามารถเปิดเผยได้ไหมครับว่าเธอคือสตรีคนไหน?”
พวกนักข่าวที่กำลังถือเครื่องอัดเสียงแย่งกันถามคำถาม ผู้กำกับหวูรีบคว้าปากกาอัดเสียงที่กำลังจะแหย่เข้าจมูกอยู่แล้วนั้นไว้ พูดด้วยรอยยิ้ม: “ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจความคืบหน้าของกองถ่าย《เวทมนตร์》นั้นถ่ายทำใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลานั้นคงจะต้องรบกวนทุกท่านช่วยโปรโมทอีก!”
ผู้กำกับหวูหลังจากรับมือกับนักข่าวเสร็จเรียบร้อยจึงกลับมาที่กองถ่าย ไห่โจ๋ซวนที่ด้านบนเปลือยเปล่า บนศีรษะและร่างกายครึ่งล่างนั้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสุนัข กลิ่นเหม็นคาวแพร่กระจายไปทั่วกองถ่าย
“ขอโทษนะ โจ๋ซวน”ติงยียีก้มศีรษะลงด้วยความละอายใจอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้ เธอหวังว่าจะย้อนเวลากลับไปได้ แล้วให้คนที่ถูกเลือดสุนัขสาดนั้นเป็นเธอ เธอจะรับไว้เอง
“ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณเลย”คิ้วของไห่โจ๋ซวนขมวดแน่น สีหน้าก็ไม่ดีเช่นกัน
ผู้กำกับหวูเดินมาถึงหน้าคนทั้งสอง พูด: “นักข่าวตอนนี้ยังคงอยู่ด้านนอก ฉันรู้ว่ามีเส้นทางอีกทาง ฉันจะพาพวกคุณออกไปทางอื่นก่อน”
ไห่โจ๋ซวนพยักหน้า ผู้กำกับหวูและติงยียีขึ้นรถไปด้วยกัน ผู้ช่วยที่ปกติแล้วสนิทสนมกับติงยียีเป็นกังวลว่าระหว่างทางอาจจะยังมีพวกแฟนคลับอยู่ จึงตามไปด้วยเช่นกัน
รถที่แล่นไปตามเส้นทางบนภูเขาที่คดเคี้ยว ติงยียีมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างที่ผ่านไป ปล่อยความคิดล่องลอยออกไป ถ้าเมื่อกี้เธอไม่ได้มองผิดไปละก็ ผู้กำกับหวูมาถึงตั้งนานแล้ว แต่ตัวเขานั้นไม่ได้ออกหน้าออกมาหยุดยั้งเอาไว้ หรือว่าผู้กำกับหวูก็คือคนบงการอยู่เบื้องหลัง?
ขณะที่เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ แขนเสื้อก็ถูกกระตุก ผู้ช่วยเอนตัวมาด้านหน้าของเธอกระซิบหน้าแดงท่าทางเขินอาย “ยียี จู่ๆฉันก็อยากจะเข้าห้องน้ำขึ้นมา”
รีบเร่งหยุดรถ ผู้หญิงสองคนเดินตรงไปในดงตังโอ๋ที่สูงเท่าเอว ผู้ช่วยนั่งยองลงไปเพื่อปลดทุกข์ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องดังขึ้นมา รีบร้อนลุกขึ้นถอยออกมา
ไห่โจ๋ซวนและผู้กำกับหวูที่อยู่ไม่ไกลรีบก็รีบตรงเข้ามาปกป้องหญิงสาวทั้งสองด้านข้าง “มีบางอย่าง ตรงนั้นมีอะไรบางอย่าง!”
ผู้ช่วยหลบอยู่ในอ้อมกอดของติงยียีด้วยตัวสั่นเทา ไห่โจ๋ซวนก้าวไปด้านหน้าแหวกดงตังโอ๋ออก สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในพุ่มไม้นั้นมีหนูตัวหนึ่งนอนอยู่ ตัวเต็มไปด้วยเลือด อุ้งเท้าทั้งหน้าและหลังถูกมัดเอาไว้ บริเวณหน้าอกนั้นกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ หายใจรวยรินอย่างยากลำบาก
“เกิดอะไรขึ้น! บริเวณใกล้ๆนี้มีแต่คนของกองถ่ายเท่านั้น”ผู้กำกับหวูพูดอย่างประหลาดใจ สิ้นเสียงพูดก็เห็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์มีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม
มีแค่คนของกองถ่ายนั่นก็หมายความว่าคนที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้อยู่ในกองถ่าย เป็นคนที่พวกเขาพบเจออยู่ตลอดเป็นปกติ!
ทุกคนสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกด้านหลัง รีบร้อนออกจากตรงนั้น ส่งไห่โจ๋ซวนเสร็จเรียบร้อย ติงยียีก็ตามผู้กำกับหวูกลับกองถ่าย
“ผู้กำกับหวูคุณไปไหนมา!” โม่ซวนหลินที่ถือแก้วน้ำอุ่นอยู่ในมือเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างก็พูดเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอให้ฟังอีกรอบแม้ว่าในใจยังคงหวาดผวาอยู่ก็ตาม
โม่ซวนหลินฟังจบก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก สีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ติงยียีและผู้กำกับหวูมองกันไปมา เห็นได้ถึงสายตาที่กำลังเกิดความสงสัยของอีกฝ่าย โม่ซวนหลินเหมือนว่าจะกลัวเกินเหตุ เหมือนกับกำลังแสดงอยู่เลย
ตั้งแต่กลับมาที่กองถ่าย ติงยียีจิตใจสับสน คิดวกวนไปมา พาแพนด้าไปตระกูลติง เพิ่งเข้าปากซอยมาก็คนฝูงชนกลุ่มหนึ่งอยู่บริเวณหน้าประตูบ้านตัวเอง
ฝูงชนที่แออัดอยู่หน้าประตูไม่หยุดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ คนจำนวนไม่น้อยถือป้ายที่เขียนชื่ออันหรันอยู่
ติงยียีถอนหายใจ หลังจากที่ตกใจทำอะไรไม่ถูกในตอนแรก เธอในตอนนี้อยากที่จะรีบแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด!
พอเข้ามาในชุมชน ติงยียีรู้สึกว่าด้านหลังนั้นมีคนชุดดำสองคนตามตัวเองมา เธอก็รีบดึงแพนด้าเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ว่าคนด้านหลังเริ่มใกล้เข้ามาทุกที เธอหันหัวกลับทันทีและตะโกนเสียงดัง“แพนด้า!”
แพนด้าคำรามเสียงต่ำอยู่เบื้องหน้า มองสองคนนั้นอย่างพร้อมที่จะขย้ำเหยื่อ “คุณหนูติง พวกเราเป็นคนที่คุณไห่ส่งให้มาคุ้มครองคุณครับ!”
ผู้ชายคนหนึ่งในนั้นมองสุนัขตัวใหญ่แสนดุร้ายอย่างสุขุมพร้อมกับปลอบติงยียีไปด้วย ติงยียีถามคำถามไปอีกหลายคำถามอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว
“ขอโทษด้วย ตอนแรกฉันคิดว่าต้องเป็นแฟนคลับของอันหรัน” ติงยียีพูดแสดงความเสียใจ ขอโทษสองคนนั้น
“คุณหนูติง พวกเราคิดว่าช่วงนี้คุณอย่าเพิ่งออกไปไหนจะดีกว่า จะสะดวกกับการคุ้มครองของพวกเรา”บอดี้การ์ดสอดส่องมองบริเวณรอบๆอย่างสุขุมพร้อมกับคุ้มครองเธอไปส่งถึงประตูบ้าน
มองตามจนเธอเข้าประตูบ้านไป บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา “คุณชายเย่ คุณหนูติงกลับบ้านเรียบร้อยแล้วครับ พวกเราจะดำเนินการคุ้มครองต่อไปครับ ”
เย่เนี่ยนโม่วางสายโทรศัพท์ ท่าทางเคร่งขรึม ในแววตาเต็มไปด้วยความดุร้ายที่อัดแน่นอดกลั้นอยู่ น้ำเสียงเยือกเย็น “สืบหาเจอหรือยังว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว?”
เย่ป๋อไถแท็บเล็ตอย่างรวดเร็ว กรองข้อมูลที่มีประโยชน์ออกมา “จากระยะห่างของภาพและเนื้อหาน่าจะเป็นคนในกองถ่ายที่เป็นคนทำครับ และผมยังสงสัยว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากทีเดียวที่จะเกี่ยวข้องกับราชาภาพยนตร์คนนั้น”
เย่เนี่ยนโม่ยกคิ้วขึ้น: “พูดมาให้ฟังซิ”
เย่ป๋อนำเอกสารที่อยู่ในมือวางกางไว้ตรงหน้าของเขา “นี่คือราชาภาพยนตร์อันหรัน ถึงแม้ว่าเป็นพนักงานที่ดีมาก แต่ว่านอกจากผู้จัดการของเขาแล้ว เขาก็ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างผิวเผิน แต่พอหลังจากที่คุณยียีเข้ามาในกองถ่าย เขากลับเป็นห่วงเป็นใยเธออย่างมาก”
เขาพูดไปก็สังเกตสีหน้าของคุณชายไปด้วย เห็นว่าสีหน้าเขายังรับได้อยู่เลยพูดต่อไป: “พอมีข่าว สองคนก็พากันไปกรุงโรม ตอนนี้ได้ส่งคนไปซื้อหนังสือพิมพ์ของทั้งเมืองกลับมาหมดแล้ว สำนักพิมพ์และนิตยสารเองก็ติดต่อกำชับไว้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน”
“ไปเอาตัวคนกลับมาให้ฉัน”เย่เนี่ยนโม่พูดเน้นทีละคำทีละประโยค ออกแรงบีบมือทั้งสองเบาๆ ได้ยินเสียงปากในมือหักออกเป็นเสี่ยงๆ
กรุงโรม
ในบาร์กาแฟกลางแจ้งข้างทาง ผู้ชายสองคนนั่งกันอย่างแนบชิด แขนชนแขนกันและกัน ถึงจะไม่จำเป็นที่จะต้องปลอมตัว ก็ยังไม่มีคนมากมายที่จะมาจับจ้องมองพวกเขาสองคนอยู่ดี
“นี่คือสาเหตุว่าทำไมฉันถึงชอบต่างประเทศ” อันหรันอาบแดดอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับดูนิตยสารแฟชั่นที่อยู่ในมือไปด้วย
“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เปิดโทรศัพท์?” สวุเหวยเหรินรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบโทรศัพท์แต่ก็ถูกคนรั้งเอาไว้
“ไม่จำเป็น!”อันหรันกะพริบตามองเขา ดวงตากลมโตเรียวยาวราวกับดอกท้อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จิตใจเต็มไปด้วยละอายใจ หลายปีมานี้สวุเหวยเหรินช่วยตนไว้อย่างมาก ถ้าไม่มีเขา ตนเองก็คงไม่สามารถเดินมาถึงจุดสูงสุดของสายอาชีพได้
สวุเหวยเหรินหันกลับมามองเขา ถูกเขาแกล้งด้วยท่าทีเกเร หันศีรษะและพูดพึมพำ: “ตามใจคุณละกัน”
อันหรันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ดวงตาตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง ดึงสวุเหวยเหรินลุกขึ้นเดินตรงไปที่หัวมุมถนน
“คุณอัน คุณชายพวกเราขอเชิญครับ”ชายชุดดำคนหนึ่งมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ด้านหลังมีชายชุดดำยืนเรียงเป็นแถวอยู่อีกสิบกว่าคน ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“คุณชาย? เขาเปลี่ยนเป็นอ่อนเยาว์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”อันหรันบีบฝ่ามือแน่น แผ่นหลังเหงื่อเย็นไหลออกมาท่วม ความคิดในสมองทั้งหมดคืออีตาแก่นั่นรู้ได้ยังไงว่าตัวเขากับสวุเหวยเหรินนั้นอยู่ที่กรุงโรม
“คุณอัน คุณชายของพวกเรามีเรื่องต้องการพบคุณครับ เชิญมาด้วยกันหน่อยครับ”ชายชุดดำย้ำอีกครั้ง ชายชุดดำด้านหลังคนอื่นๆนั้นตัวขึงขังขึ้นมาเล็กน้อย
อันหรันและสวุเหวยเหรินสบตากันแล้วยิ้ม สามารถเห็นความแน่วแน่และสู้ชีวิตอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย
อันหรันยิ้มออกมา ดึงเขาไปข้างหน้า พูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย: “ได้ซิ! งั้นพวกเราไปกันตอนนี้……”
พอสิ้นเสียง เขาหยิบเก้าอี้ที่อยู่ข้างทางมาฟาดชายชุดดำ รีบดึงสวุเหวยเหรินวิ่งไปทางฝั่งตรงข้าม วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกคนพบเห็นสกัดกั้นไว้ในซอย
ชายชุดดำจับคนทั้งสองเอาไว้ เย่ป๋อค่อยๆเดินออกมา อันหรันพูดอย่างสงสัย: “คุณไม่ใช่เลขาข้างกายของเย่เนี่ยนโม่เหรอ?”
เย่ป๋อไม่ตอบ หยิบอินเตอร์โฟนออกมาพูด “ติดกับแล้ว” มีเสียงดังสะท้อนก้องในอากาศทั้งไกลและใกล้ คนเดินหันขึ้นไปมองก็พบว่าเฮลิคอปเตอร์ลำเล็กกำลังบินตรงเข้ามา