สั่งอาหารเสร็จพนักงานเตรียมจะเดินไป เย่ชูฉิงเรียกตัวเธอไว้ เอาบัตรส่งให้เธอถามอย่างแปลกใจว่า “ร้านนี้ไม่ใช่ว่าต้องจ่ายเงินก่อนถึงเสิร์ฟอาหารเหรอ”
พนักงานยิ้มพลางเอ่ยว่า “อาหารที่คุณสั่งไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่ะ”
เย่ชูฉิงมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ สงสัยอย่างที่สุด หรือว่าช่วงที่เธอไปต่างประเทศภายในประเทศจะพัฒนาจนกลายเป็นสังคมร่ำรวยกินดีอยู่ดี กินแล้วไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้
ติงยียีกลั้นหัวเราะ เอาเมนูมาพลิกไปด้านหลัง ชี้ไปที่คนด้านบนพูดว่า “ฉันเป็นพรีเซนเตอร์ของเฟรนไชส์ร้านอาหารร้านนี้ ดังนั้นฉันกินอาหารที่นี่ไม่ต้องจ่ายเงิน”
เย่ชูฉิงมองเธออย่างแปลกใจ ในใจก็ตกอย่างยิ่ง ติงยียีเปลี่ยนไปมากเลย ผู้หญิงตรงหน้าแต่งหน้าอ่อนๆ เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้จะไม่ใช่แบรนด์หรูของต่างประเทศ แต่เห็นชัดว่าตั้งใส่สวมออกมาได้อย่างเข้ากันเป็นอย่างดี เธอชื่นชมอย่างจริงใจว่า “พี่ยียี ตอนนี้พี่สวยมากจริงๆ”
ทีวีจอใหญ่ในร้านอาหารกำลังออกอากาศข่าวหนึ่งอยู่ “เรื่องที่หญิงสาววัยรุ่นถูกทำร้ายที่ศูนย์การค้าสากลของบริษัทเย่ซื่อ ไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้ และยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องเปิดโปงว่า บริษัทเย่ซื่ออาจจะมีพฤติกรรมทำบัญชีเท็จขึ้นอีกด้วย ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปทำการตรวจสอบแล้ว”
เย่ชูฉิงสีหน้าหม่นหมองลง “ทั้งหมดนี่คือฝีมือของพี่โจ๋ซวนเหรอคะ”
ติงยียีไม่ใจแข็งพอที่จะทำร้ายเธอ แต่กลับไม่อยากปล่อยให้บริษัทเย่ซื่อถูกไห่โจ๋ซวนทำลายได้ เธอจึงได้แต่พยักหน้า “พี่เองก็เพิ่งรู้”
เย่ชูฉิงตอบรับเบาๆ แล้วเงยหน้าอีกใบหน้ามีเพียงความอ้างว้างเล็กน้อย แต่แววตากลับหนักแน่นอย่างยิ่ง “ฉันรู้ว่าพี่โจ๋ซวนมีนิสัยที่ทำเป็นประจำ ก็คือชอบใช้ปากกาบันทึกเสียงบันทึกเรื่องประจำวัน ปกติแล้วปากกาบันทึกเสียงจะวางอยู่ที่ห้องทำงานของเขา ขอแค่พวกเราเอาปากกานั้นมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ยินเขายอมรับว่าเขาเป็นคนทำเรื่องนี้ด้วยปากเขาเอง!”
การทวงคืนความรักของหญิงสาวทั้งสองคนกำลังแผ่ขยายไป การไถ่ถอนความรักแผ่ซ่านไปยังสองสาว และความสงบที่อยู่เบื้องหลังจะก่อเกิดเป็นคลื่นแบบไหนขึ้นมา
หาโจ๋ซวนกำลังวิ่งทะยานไป ด้านหลังของเขามีเงาดำเงาหนึ่งกำลังไล่ตามเขาไปตลอด ถ้าเขาสะบัดไม่หลุด ก็จะเหลือเพียงหนทางสู่ความตาย
เขาหอบหายใจอย่างหนัก คาร์บอนไดออกไซด์จำนวนน้อยนิดถูกบีบออกจากหน้าอก ตรงหน้ามีทุ่งดอกไม้ เขาก็วิ่งไปกลางทุ่งดอกไม้
ดอกไม้นับร้อยดอกพริ้วไหวในสายลม แต่เขากลับยิ่งช้าลง ก้มหน้าเขาก็พบว่าเขาอยู่ลึกลงไปในโคลน
“เฮือกๆๆ” นั่นคือเสียงหายใจของเงาดำที่อยู่ด้านหลัง ที่แฝงด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย เขาสิ้นหวังอย่างที่สุด ร้องเสียงดังลั่น!
“คุณชาย คุณชาย” แม่บ้านที่คิดค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงได้ยินเสียงร้องก็รีบขึ้นมาชั้นบน พักหนึ่งจึงมีเสียงดังออกมาจากในห้องว่า “ผมไม่เป็นไร”
ไห่โจ๋ซวนนั่งบนเตียง ตรงข้ามคือกระจกหนึ่งบาน เขามองตนเองที่เหงื่อแตกพลั่กในกระจก และทับซ้อนกับใบหน้าที่สิ้นหวังนั้นในความฝัน
เขาถอนหายใจ ลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ มองเห็นตนเองในห้องน้ำ เขาติดนิสัยชอบบีบนิ้วชี้ตนเอง
ตอนเย่ชูฉิงเป็นเด็กชอบจูงนิ้วชี้เขามากที่สุด และหลังจากที่เธอไปแล้ว ทุกครั้งที่เขาฝันร้ายก็มักจะทำอากัปกิริยาแบบนี้จนเป็นนิสัย ทำแบบนั้นแล้วทำให้จิตใจเขาสงบลงได้
เจ็ดโมงสี่สิบเขาขับรถออกจากบ้านตรงเวลา ผ่านแยกแรกมา ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนทำให้รถบนถนนติดขัดเล็กน้อย เขาเปิดหน้าต่างฟังวิทยุอย่างไร้จุดหมาย รอให้ถนนบ้านี่โล่ง
กลิ่นหอมเข้มข้นของถั่วแดงลอยเข้ามาในรถท่ามกลางอากาศยามเช้า เขาสูดอากาศ ทันใดนั้นท้องของเขาก็ร้องขึ้นมา
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ถนน เขาไม่มีนิสัยที่จะกินอาหารเช้า แต่กลิ่นที่หอมนั้นคุ้นเคยและพิเศษเกินไป
ตอนเด็กเย่ชูฉิงชอบทำอาหารมาก อาหารที่เธอชอบทำที่สุดก็คือเอาถั่วแดงกวนกับเผือกมาผสมกันทำเป็นขนม
ตอนนั้นเธอกับเขามักจะซ่อนตัวอยู่ในห้องอบขนมเล็กๆ ในตอนบ่าย พี่เลี้ยงคอยดูอยู่ข้างๆ เขาและเย่ชูฉิง ใช้มือเล็กๆ ของพวกเขาออกแรงผสมแป้ง แสงแดดจะส่องแสงมายังทั้งสองคนผ่านขอบหน้าต่าง อบอุ่นจนทำให้คนรู้สึกมีความสุขมาก
“ปี้น ๆๆ!” เสียงแตรดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ความคิดเขากระเจิดกระเจิง เป็นครั้งแรกที่เขาขับรถอย่างสับสนจนทำอะไรไม่ถูก
สิบนาทีต่อมา ไห่โจ๋ซวนอ้อมถนนสองสายจึงขับรถกลับมาใหม่อีกครั้ง เอารถมาจอดที่ข้างทาง หลังจากลงรถกลิ่นหอมก็ยิ่งแรงขึ้น
เขาเดินตามกลิ่นเข้าไปในร้านเบเกอรี่ พนักงานในร้านทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่เค้กบนชั้น แต่ในใจกลับสั่นไม่หยุด
เมื่อตอนเป็นเด็กเย่ชูฉิงเป็นคนขี้เล่น เธอจึงวาดตัวเองบนขนมปังกรอบที่เธอทำ คุกกี้ทุกชิ้นสลักด้วยตัวอักษรหนึ่งตัว แต่คุกกี้บนชั้น ไม่เพียงมีรสชาติเหมือนกัน แม้แต่นิสัยที่ชอบแกะสลักตัวอักษรก็ยังเหมือนกันด้วย
เขาได้ยินเสียงของตนเองสั่นอย่างชัดเจน “ผมขอพบเชฟของพวกคุณได้มั้ย”
พนักงานชี้ไปที่นอกหน้าต่างพูดว่า “เธอก็อยู่ด้านหลังคุณ เธอเพิ่งจะไปหยิบนมมา” พอสิ้นเสียงเขาก็หันหน้าไปทันที
หลายปีผ่านไปแล้วเขาก็ยังไม่อาจบอกถึงความรู้สึกบางอย่างนั้นได้ เธอหันหลังให้แสงอาทิตย์ ฝุ่นเล็กๆโดยรอบถูกแสงแดดส่องปกคลุม เธอยืนอยู่ ผมของเธอถักเปียอย่างง่ายๆ มองมาที่เขาอย่างเงียบๆอย่างนี้
ภายในห้องอบขนมเล็ก หลังจากผ่านความตื่นตกใจในตอนแรกแล้ว ไห่โจ๋ซวนปกปิดซ่อนเร้นความรู้สึกทั้งหมดแล้ว พูดเบาๆว่า “ทำไมกลับมาอย่างกะทันหัน พวกเนี่ยนโม่เขารู้แล้วเหรอ”
เย่ชูฉิงยิ้มพลางส่ายหน้า ทาครีมบนเค้กอย่างตั้งใจ พลางเอ่ยว่า “อีกไม่นานฉันก็จะไปแล้ว ครั้งนี้กลับมาเพราะมาเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งค่ะ”
ไห่โจ๋ซวนช่วยเธอคนครีม ถามอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “เพื่อนคนไหน”
มือของเย่ชูฉิงชะงัก “ฉันคิดว่าพี่จะไม่สนใจถามเรื่องนี้เสียอีก”
เขาอึ้ง โพล่งออกมาว่า “อย่างไรเธอก็เป็นน้องที่พี่ชอบที่สุด”
เขาคิดว่าเย่ชูฉิงจะยังเซ้าซี้กับปัญหานี้อีก คิดไม่ถึงว่าทำเพียงแค่ตอบรับเบาๆ ไห่โจ๋ซวนถกแขนเสื้อ มองดูนาฬิกาข้อมือ เย็นนี้มีเวลาไปทานข้าวด้วยกันมั้ย“ ตอนนี้พี่จำเป็นต้องไปทำงานแล้ว”
เขาถอดผ้ากันเปื้อนพลางเดินออกไปด้านนอกพลาง ทันใดนั้นเองสองมือที่สั่นก็โอบรอบเอวเขา สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความหวานเลี่ยนของเค้ก
เย่ชูฉิงเอาศีรษะพิงบนไหล่กว้างของเขา พูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ให้เวลาฉันอีกหน่อยได้มั้ย ฉันตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้กลับไปฝรั่งเศสก็จะอาศัยอยู่ถาวร ไม่กลับมาแล้ว”
ไห่โจ๋ซวนชะงัก ลมหายใจเริ่มไม่สม่ำเสมอเล็กน้อย มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวทั้งสองข้างเปลี่ยนมาเป็นกำหมัด หมายความว่าอย่างไรที่จะไม่กลับมาแล้ว หรือว่าต่อไปพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกเลย
ความคิดของเขากำลังคำรามว่าให้รั้งตัวผู้หญิงคนนี้ไว้ เอาเธอมาขังไว้ข้างกาย แต่การเสแสร้งมาสิบกว่าปีทำให้เขาสามารถควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาหมุนตัวไป ใบหน้าที่หล่อเหลาแสร้งทำเป็นอวยพรอย่างไม่มีพิรุธว่า “โอ้ จริงเหรอ ขอให้เดินทางอย่างราบรื่นนะ”
เย่ชูฉิงยิ้ม หมุนตัวกลับไปทาเนยบนขนมที่เคาน์เตอร์ต่อ ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา ไห่โจ๋ซวนเดินกลับมาข้างๆเธอ ช่วยเธอคนต่อไป
เวลาผ่านไปทีละนิด เมื่อกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง เขาก็รู้ว่าถึงเวลาที่ตนต้องจากไปแล้ว
เย่ชูฉิงผลักเค้กมาตรงหน้าเขา “นี่เป็นเค้กที่ฉันทำแล้วประสบความสำเร็จครั้งแรกในฝรั่งเศส ฉันอยากให้คุณลองชิมด้วยตัวเองสักครั้งมาตลอด”
เขาหยิบมีดและส้อมขึ้นมา แล้วเอาความหวานใส่เข้าไปในปากภายใต้สายตาที่คาดหวังของเธอ ครีมที่ผสมกับถั่วแดงนั้นนุ่มละลายในปาก และก็ดูเหมือนจะเต้นรำด้วยพลังนี้
เขาวางมีดกับส้อมลง วิจารณ์ด้วยความจริงใจว่า “อร่อยมาก”
“ชอบคุณค่ะ” เธอยิ้มสดใส ยืนมองเขาอยู่ข้างประตู ครั้งนี้ปล่อยเขาไปจริงๆแล้ว
เขาเดินออกจากประตูร้าน แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมยังอาลัยอาวรณ์ เขาหันไปมองเธอ แสงจากดวงอาทิตย์ห่อหุ้มรอยยิ้มของเธอ เธอโบกมือให้เขา หว่างคิ้วของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เย่ชูฉิงมองไห่โจ๋ซวนจากไป รอยยิ้มเฉิดฉายค่อยๆจางหายไปจากใบหน้า เธอถอนหายใจเบาๆหยิบโทรศัพท์มือถือมาส่งข้อความให้ติงยียี “เขาไปที่บริษัทแล้ว”
บริษัทตระกูลไห่ ติงยียีอ่านข้อความเสร็จก็ร้อนใจเล็กน้อย ไม่นานก็จะเป็นเวลาทำงานแล้ว เมื่อก่อนพี่สาวของหวางเหม่ยหรงที่เป็นพนักงานทำความสะอาดของบริษัทเย่ซื่อเคยเป็นพนักงานทำความสะอาดที่ตระกูลไห่พอดี ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้กุญแจเข้าไปในตระกูลไห่ ถ้าหยิบปากกาอัดเสียงมาไม่ได้ ครั้งหน้าไห่โจ๋ซวนคงจะไม่สะเพร่าอีกเด็ดขาด
เธอพลิกหาในกองเอกสาร นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างคว้าน้ำเหลว เธอมองภาพที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใจลอย
ในภาพ ผู้ชายที่มีเค้าโครงหน้าคล้ายกับไห่โจ๋ซวนยกไห่โจ๋ซวนที่ยังเด็กเอาไว้เหนือศีรษะ แม่ของไห่โจ๋ซวนมองทั้งสองคนอยู่ข้างๆ ทั้งสามคนยิ้มอย่างมีความสุข
เสียงหัวใจเธอเต้น หยิบกรอบรูปขึ้นมาเขย่า ตัวของกรอบรูปไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร แต่บนตำแหน่งที่วางกรอบรูปกลับมีร่องเล็กๆอยู่ร่องหนึ่ง
ในร่องนั้นมีปากกาอัดเสียงวางอยู่หนึ่งแท่ง เธอหยิบขึ้นมาอย่างตื่นเต้น มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตู เธอซ่อนตัวที่ด้านหลังโซฟาด้วยจิตใต้สำนึก
ไห่โจ๋ซวนผลักประตูเปิด สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม “เย่เนี่ยนโม่และน้าเซี่ยต่างก็ไม่สงสัยฉันเลย ที่ฉันสงสัยก็คือทำไมอาเย่ถึงไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ว่ากันตามเหตุผลแล้วเงินลงทุนสร้างศูนย์การค้าสากลน่าจะใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเย่ซื่อไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถ้าศูนย์การค้าสากลพังแล้ว บริษัทเย่ซื่อก็ต้องพังครืนลงมาด้วย แต่ทำไมเขาไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย!”
ติงยียีที่อยู่ด้านหลังโซฟาได้ยินเข้าก็ตกใจ หรือว่าทั้งหมดนี่จะไม่ใช่แผนของไห่โจ๋ซวนเพียงคนเดียว แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง คนนั้นคือใคร คนที่ร่วมมือกับไห่โจ๋ซวนทำร้ายบริษัทเย่ซื่อคือใครกันแน่
คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของเธอไม่หยุด ไห่โจ๋ซวนที่อยู่ในห้องเก็บเอกสารกองหนึ่ง ออกจากประตูพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ตอนนี้ฉันจะไปบ้านตระกูลเย่ มีเรื่องอะไรกลับมาแล้วค่อยคุยกัน”
หลังจากเขาไปแล้ว ติงยียีก็ออกมาจากด้านหลังโซฟา เห็นด้านหลังที่รีบร้อนของเขาเธอก็รีบตามไป ไม่ว่าอย่างไร เธอต้องไปให้ถึงบ้านตระกูลเย่ก่อนไห่โจ๋ซวนให้ได้
ณ บ้านตระกูลเย่
พอไห่โจ๋ซวนเข้ามา พ่อบ้านก็รับเสื้อคลุมเขามาตามปกติ แต่แววตาเขากลับแปลกประหลาดนิดหน่อย
เขายิ้มพลางก้มหน้ามองสำรวจตนเอง “ทำไมเหรอ บนตัวผมมีอะไรผิดปกติเหรอครับ”
พ่อบ้านถอนหายใจส่ายหน้า “โจ๋ซวนมาแล้วเหรอ” เซี่ยชีหรั่นเรียกเขาอยู่ที่ห้องรับแขก เขาคลี่ยิ้มหันหน้าไป “น้าเซี่ย อาเย่เนี่ยนโม่ ???แม่! ”
สายตาของแม่ทำให้ในใจเขาเต้นตึกตัก เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวพูดว่า “วันนี้ทำไมว่างมาเยี่ยมน้าเซี่ยได้ ผมจำได้ว่าช่วงสุดสัปดาห์แม่จะยุ่งที่สุดถึงจะถูก”
หลินหลิงมองเขา มีความเจ็บปวดอยู่ในดวงตา พูดเบาๆว่า “ชูฉิงให้แม่มา”
ไห่โจ๋ซวนเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ เขามองไปรอบๆลองหยั่งเชิงว่า “วันนี้เกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหมือนว่าทุกคนอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก