เย่เนี่ยนโม่หันหลังต่อยเขาไปหนึ่งมัด เขาล้มลงบนโต๊ะชาอย่างทรุดโทรม ไห่โจ๋ซวนลุกขึ้นมา เช็ดเลือกตรงปาก พูดต่อว่า “นายให้ฉันดูแลเธอ ฉันยอมรับว่าเมื่อเวลาผ่านไปฉันก็เริ่มชอบเธอแล้ว”
“ปัง!” เย่เนี่ยนโม่ต่อยไปอีกหมัด นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยเลือด แววตาเต็มไปด้วยความโหดร้าย ไห่โจ๋ซวนล้มลงพื้นไม่สามารถขยับได้ไปนานมาก
“เนี่ยนโม่!” เซี่ยชีหรั่นรีบไปประคองไห่โจ๋ซวน เย่เนี่ยนโม่อยากขยับขึ้นไปอีก เย่เชินหลินพูดขึ้นเบาๆ ว่า “หยุดนะ!”
เสียงของเขาทำให้สติของเย่เนี่ยนโม่วกกลับมาอีกครั้ง เขามองไห่โจ๋ซวนด้วยความโหดร้าย “นายพูดอีกครั้งสิ”
“ฉันชอบติงยียี” ไห่โจ๋ซวนนั่งลงพื้นเลย เงยหน้าขึ้นมองเขา เย่เนี่ยนโม่เสียสติไปหมด อยากจะขึ้นไปแต่ข้างหน้า
“หยุดนะ!” เย่ชูฉิงวิ่งมาปกป้องตรงหน้าไห่โจ๋ซวน เย่เนี่ยนโม่เบรกมือไม่ทัน หมัดที่แรงของเขาทุบลงตรงหลังของเธอพอดี ส่งเสียงดังขึ้น
“ชูฉิง!” ไห่โจ๋ซวนก็โมโหแล้ว ลุกขึ้นต่อยไปทางเย่เนี่ยนโม่หนึ่งหมัด ทั้งสองตีกันขึ้นมาจนไม่สามารถแยกออกได้
เย่เชินหลินออกมา ต่อยไปคนละหมัด เขาที่อยู่ในวัยกลางคนก็ยังคงเป็นเย่เชินหลินที่น่าเกรงขามดั่งตอนวัยรุ่น
“ใครต่อยชนะฉัน ฉันก็จะไม่ห้ามพวกแกแล้ว หรือไม่พวกแกก็ต่อยมาพร้อมกันเลย” เขาพูดอยู่ท่ามกลางระหว่างสองคน
คุณหมอประจำบ้านนั้นอาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลเย่ พอได้ยินแล้วก็รีบวิ่งมา อุ้มเย่ชูฉิงขึ้นไปยังบนตึก เย่เนี่ยนโม่จ้องไห่โจ๋ซวนด้วยนัยน์ตาที่ดุดัน จากนั้นจึงจะรีบขึ้นตึกไป
ทุกคนต่างก็ตามไปดูอาหารของเย่ชูฉิง อ้าวเสว่รออยู่ข้างล่าง เห็นท่าทางที่ทรุดโทรมของเขา ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “นี่ก็คือสิ่งที่นายวางแผนไว้?”
นัยน์ตาที่เย็นชาของไห่โจ๋ซวนมองไปทางบนตัวของเธอ ขยี้มุมตาที่บวมช้ำ “ฉันจะไม่ยุ่งกับเธอ ดีที่สุดเธอก็อย่ามายุ่งกับฉัน แกล้งทำเป็นโรคซึมเศร้าของเธอต่อไป”
“แก!” อ้าวเสว่ลุกขึ้น จ้องเขาด้วยความโหดร้าย จากนั้นก็ยิ้มขึ้นกะทันหัน “นายคงไม่รู้สินะ ติงยียีคือน้องสาวของฉัน”
สีหน้าของไห่โจ๋ซวนเงียบสงบ ภายในใจกลับตกใจหนักมาก อ้าวเสว่เดินเข้าใกล้เขา “จะบอกสิ่งที่เซอร์ไพรส์กว่านี้ให้นายนะ สวีเห้าเซิงคือคุณพ่อของพวกเรา”
“เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน” ไห่โจ๋ซวนเห็นว่ามีพยาบาลนำถุงน้ำแข็งขึ้นตึกไปตลอดเวลา เขารู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว เขาหันหลังแล้วจากไปด้วยก้าวเท้าใหญ่
“ค่ำคืนในฤดูไม้ร่วงนั้นยอดไม้หวิวหวู มันแฝงไปด้วยความโศกเศร้า ทำลายคนที่ทรมานในทุกๆคืน” ติงยียีนั่งอยู่บนระเบียง เปิดสมุดที่อยู่ในมือ
บ้านจะรีโนเวทเสร็จแล้ว เมื่อเขากลับไปยังที่พักอาศัย ทั้งหมดก็คงจะกลับมาเป็นปกติแล้วซินะ
บนระเบียงยังสามารถเห็นถนนใหญ่รางๆ ในความมืดมิดมีรถคันหนึ่งขับผ่านมาด้วยความเร็ว ติงยียียังได้ยินเสียงสัมผัสของล้อกับถนนที่เผยออกมาอีกด้วย ไฟของรถสว่างขึ้น ผ่านไปสักพักกลับมองเห็นได้เพียงรางๆ
ตอนแรกเธอมีความสงสัย ผ่านไปไม่นาน ข้างล่างตึกมีเสียงของกริ่งดังขึ้น ต่อด้วยอีกเสียง ราวกับว่ารอไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียว
ติงยียีลงจากตึก พึ่งเปิดประตูก็ถูกกอดเข้าไปในอ้อมกอด เธอดมกลิ่นสุราที่แรงบนตัวของเย่เนี่ยนโม่ การโอบกอดของเขาทำให้กล้ามเนื้อบนร่างกายของเธอรู้สึกเจ็บปวดไปหมด
“เป็นอะไร?” เธอถามด้วยเสียงเบา คำพูดที่เหลือต่างก็ถูกการจูบที่ดื่มด่ำกลืนกินไปหมด
ค่ำคืนราตรีนั้นช่างเร่าร้อนและน่าดื่มด่ำ ภายใต้ม่านที่หนา แสงจันทร์หลบเข้าในเมฆเสมือนว่าเขินอาย บนเตียงที่อ่อนนุ่ม ติงยียีนวดเอวที่เมื่อยล้า
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว เหมือนว่าจะหลับไม่ค่อยสบาย เธอมองไปทางนาฬิกา เป็นเวลาตีห้าเช้าแล้ว
ติงยียีลงจากเตียงเบาๆ เดินไปต้มซุปสร่างเมาให้กับเขาที่ห้องครัว เธอรู้ว่าเขาต้องตื่นตรงเวลาตอนหกโมงครึ่งแน่นอน
ในครัวเปิดเพียงโคมไฟตัวเดียว เธอสวมชุดนอนที่กว้างใหญ่ พูดชื่อของส่วนผสมไปด้วย ใส่ส่วนผสมลงหม้อไปด้วย
น้ำที่เร่าร้อนมีควันลอยขึ้นมา เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่หน้าบันได เห็นภาพทั้งหมดนี้ โคมไฟสีเหลืองทำให้เธอและห้องข้างๆ แยกกันเหมือนคนละโลก เขาอยากจะเดินไป ทว่ากลับมีแรงต้านที่หนักหนา
ติงยียีหันหลังเห็นเขาแล้วตกใจมา “ทำไมนายไม่ให้สุ่มให้เสียงเลย!”
เย่เนี่ยนโม่มองรอยช้ำตรงไหปลาร้าของเธอ เงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นว่า “ขอโทษ”
เธอตะลึงงันไปเลย ความโกรธที่อยู่ในใจผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “ไม่ต้องขอโทษ ฉันสมัครใจเองทั้งหมด คนที่บอกว่าจะจากไปคือฉัน สุดท้ายคนที่ยอมรับนายก็คือฉันเอง!”
“เมื่อคืนฉันดื่มจนเมาไป” เย่เนี่ยนโม่ไม่อยากใช้คำพูดหวานๆหลอกเธอ
“นายไปเถอะ” มือทั้งสองของติงยียีวางอยู่บนท็อปเคาน์เตอร์ มีเพียงแต่เช่นนั้นจึงจะสามารถทำให้มือที่สั่นของเธอมีที่พักพิง
ข้างหลังมีร่างกายที่อบอุ่นแนบชิดเข้ามา “ขอโทษ” เสียงของเย่เนี่ยนโม่แหบและต่ำมาก พูดคำว่าขอโทษออกมาทีละคำ พูดจนติงยียีรู้สึกรน
ติงยียีอยากจะหนี เขาซุกเข้าไปในลำคอของเธอ พูดขึ้นเบาๆ ว่า “อย่าหนีเลย ขอร้อง อย่าหนีเลย”
เธอยืนอยู่เงียบๆ ซุปที่อยู่ในหม้อยังคงเดือด ทว่ากลับไม่ได้รับการสนใจ ติงยียีรับรู้ได้ถึงความอ่อนแอของคนข้างหลัง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทว่าเธอกลับไม่ได้ดิ้นรน
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เย่เนี่ยนโม่ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ในแววตาไม่มีความสับสนแล้ว ในน้ำเสียงไม่มีความลังเลแล้ว บนใบหน้าไม่มีความอ่อนแอแล้ว เขากลับมาเป็นเย่เนี่ยนโม่คนนั้นอีกครั้ง
กริ่งประตูดังขึ้น เย่ป๋อนำเสื้อสูทมาแล้ว ผ่านไปไม่นาน เย่เนี่ยนโม่ก็สวมเสื้อสูทแล้วยืนอยู่ตรงหน้าของประตู พูดขึ้นว่า “เมื่อคืนสร้างความลำบากให้เธอแล้ว”
ติงยียีมองเขา อยากมองอารมณ์ที่ผิดปกติจากนัยน์ตาของเขา ทว่ากลับเห็นแต่ตัวเอง รถขับออกไปด้วยความเร็ว ในใจของเธอกลับไม่สามารถเงียบสงบได้อีก
ณ บ้านตระกูลไห่ ไห่โจ๋ซวนเปิดประตู เห็นเซี่ยชีหรั่นแล้วเขาไม่รู้สึกแปลกใจเลย ในใจรอให้เธอเปิดปากขอร้องตัวเอง ขอร้องตัวเองอย่าแย่งผู้หญิงที่ลูกชายเธอรัก
หลังจากที่เซี่ยชีหรั่นนั่งลงแล้ว เริ่มหยิบยาออกมาจากกระเป๋าทีละขวด พลางพูดไปด้วยว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายไม่บอกแม่ของนายแน่นอน โชคดีที่ฉันพกยามาด้วย”
“คุณน้าเซี่ย นี่คุณ?” ไห่โจ๋ซวนเตรียมพร้อมแล้ว คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเงียบสงบขนาดนั้น กำลังอยากจะเปิดปาพูด แผลตรงมุมปากก็ถูกยั้งด้วยยา เขาเจ็บจนขมวดคิ้ว
“นี่คือยาผงขาวยูนาน จะปวดเล็กน้อย ตอนเด็กๆที่นายกับเนี่ยนโม่ซนจนล้มฉันก็ใช้ยาแบบนี้แหละ ไม่เหลือรอยแผลเป็นไว้เลย”
“คุณน้าเซี่ยคุณจะพูดอะไรก็พูดตรงๆเถอะครับ” ไห่โจ๋ซวนไม่เชื่อว่าเธอแค่มาส่งยาให้ตัวเอง!
เซี่ยชีหรั่นอึ้งเล็กน้อย “พูดหมดแล้วนิ”
“คุณน้าไม่อยากถามเลยเหรอครับว่าทำไมผมถึงชอบติงยียี คุณน้าไม่อยากช่วยเนี่ยนโม่พูดอะไรเลยเหรอครับ!” โทนเสียงของไห่โจ๋ซวนค่อยๆสูงขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาเห็นเซี่ยชีหรั่นยิ่งเงียบสงบ เขาก็ยิ่งโมโห
เซี่ยชีหรั่นมองเขาด้วยความเงียบสงบ จนกระทั่งเขาระบายอารมณ์เสร็จจนหายใจหอบหืดจึงจะพูดขึ้นว่า “ฉันห้ามไม่ให้เนี่ยนโม่คบกับติงยียีมาโดยตลอด”
ไห่โจ๋ซวนตะลึงงัน เซี่ยชีหรั่นพูดต่อว่า “ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความรักของพวกนาย ฉันช่วยอ้าวเสว่เพราะว่าฉันติดค้างพี่สวีมากเกินไป ในขณะเดียวกัน ฉันเองก็ติดค้างตระกูลไห่เยอะมากเหมือนกัน”
รอยแผลที่สะสมมาหลายปีถูกเปิดออกมาในสภาพแบบนั้น ไห่โจ๋ซวนนึกว่าตัวเองจะเจ็บปวดจนโห่ร้อง กลับเห็นว่าตัวเองแค่พูดด้วยความฝืนใจพร้อมรอยยิ้ม “คุณน้าเซี่ย เรื่องนั้นไม่โทษคุณน้าครับ”
เซี่ยชีหรั่นส่ายหัว ผ่านมาหลายปีแล้ว สภาพที่ไห่ลี่หมินเต็มไปด้วยกองเลือดยังปรากฏอยู่ในฝันร้ายของเธอตลอด เธอไม่สามารถเดินออกมาได้ ทว่าก็ไม่อยากเดินออกมา มีเพียงแต่แบบนี้เธอถึงจะรักษาความสุขของเธอในตอนนี้ให้มากขึ้น
“โจ๋ซวน ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนายจะตัดสินใจยังไง น้าก็สนับสนุนนายตลอด” เซี่ยชีหรั่นลุกขึ้นปิดขวดยาให้ดี ลูบหัวของเขาเหมือนกับตอนเด็กๆ ลุกขึ้นแล้วจากไป
จู่ๆ ห้องรับแขกก็เงียบลง ไห่โจ๋ซวนมองภาพที่รถขับออกไป มือข้างหนึ่งของเขาปัดขวดยาที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นไปหมด ในแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
หลังจากที่เย่เนี่ยนโม่ไปแล้ว ชีวิตบางอย่างเหมือนจะกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมแล้ว ไห่โจ๋ซวนไม่ได้ติดต่อตัวเองอีก โทรศัพท์ของเย่ชูฉิงก็ยังคงโทรไม่ติด
จุดชมวิวที่หนึ่งในเมืองตงเจียง ทีมงานกองถ่ายกำลังถ่ายภาพยนตร์กลางแดดที่ร้อน การถ่ายทำ《เวทมนตร์》มาถึงปลายเรื่องแล้ว ฉากของแพนด้าก็ค่อยๆน้อยลง
ติงยียีก้มหน้ามองแพนด้า ตั้งแต่ที่ถ่ายภาพยนตร์มา พลังงานของแพนด้าเหมือนยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนล้าแล้ว ทว่าก็ยังมีแฟนคลับส่งขนมมาให้มันตลอด
เธอเลือกเนื้อชิ้นหนึ่งจากขนมที่แฟนคลับมอบให้แล้วป้อนมัน แพนด้าก็แค่อมไว้ไม่ได้เคี้ยว
“ยียีมีสาวสวยตามหาเธอ!” ผู้ช่วยวิ่งมายังตรงหน้าเธอ หยิบหมูอบแห้งจากถุงขนมที่แฟนคลับเอามาให้แพนด้าแล้วก็วิ่งไปเลย
“ยียี” ซ่งเมิ่นเจ๋เดินมายังตรงหน้าเธอ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นฉากเบื้องหลังในทีวี ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเธอเข้าร่วมการเป็นนักแสดงแล้ว”
“ไม่ใช่สักหน่อย แพนด้าเป็นคนถ่ายภาพยนตร์ตลอดเลย ฉันแค่เป็นผู้ติดตามเท่านั้นเอง!” ติงยียีดึงเธอไปที่อันหรันด้วยความดีใจ
“ไม่แล้ว” ซ่งเมิ่นเจ๋ปล่อยมือของเธอออก ติงยียีอึ้งไปเลย จึงจะเห็นว่าสีหน้าของซ่งเมิ่นเจ๋ม่ค่อยดี
“เธอเป็นอะไรเมิ่นเจ๋?” ติงยียีถามอย่างระมัดระวัง เธอรู้สึกมาตลอดว่าเหมือนซ่งเมิ่นเจ๋จะมีความแค้นรางๆกับตัวเอง
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะระลึกความหลังกับเธอหน่อย” ซ่งเมิ่นเจ๋ทำเป็นเข้มแข็ง ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ติงยียีรีบตอบรับทันที คุยกับผู้กำกับหวูแล้วก็ออกไปพร้อมกับเธอ รอบๆจุดชมวิวนั้นมีร้านกาแฟไม่น้อย ซ่งเมิ่นเจ๋ขับรถเข้ามาในเมือง
เดินเข้าไปในร้านกาแฟ ซ่งเมิ่นเจ๋เดินตรงไปเหมือนว่าไม่มีคน ติงยียีได้แต่รีบเดิมตาไป
“เมิ่นเจ๋ ช่วงนี้เธอทำอะไรบ้าง?” ติงยียีมองออกว่าเธอใจไม่อยู่กับตัว รีบชวนคุยทันที
“ไม่ได้ทำอะไรเลย” ซ่งเมิ่นเจ๋ก้มหน้าส่งข้อความ ตอบกลับเบาๆ
บรรยากาศตอนนี้มีความอึดอัดเล็กน้อย ข้างในมีคนเดินเข้ามา ติงยียีมองไห่โจ๋ซวนด้วยความแปลกใจ กำลังอยากเรียกเขา มือถูกจับไว้ ซ่งเมิ่นเจ๋ส่ายหัว
เย่เนี่ยนโม่ตามอยู่ข้างหลังของไห่โจ๋ซวน ทั้งสองนั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างหน้าของติงยียี ระหว่างทั้งสองโต๊ะถูกแผ่นกั้นกั้นเอาไว้
“นายอยากพูดอะไร?” หลังจากเย่เนี่ยนโม่นั่งลงแล้วก็พูดตรงๆ เลย
“นายคือเพื่อนรักของฉัน ฉันหวังว่านายจะมีความสุข” เสียงของไห่โจ๋ซวนดังขึ้น
ติงยียีมองซ่งเมิ่นเจ๋ด้วยความตกใจ ซ่งเมิ่นเจ๋ยิ้มแห้งกลับไป มีอะไรอีกที่แย่ไปกว่าการที่คนที่ตัวเองชอบชอบเพื่อนสนิทของตัว ไม่ หากมีขึ้นมาจริงๆ งั้นก็ต้องทำเป็นว่าไม่เป็นไรต่อหน้าเพื่อนสนิท