“พี่แย่ คุณชายเย่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”บอดี้การ์ดหลายคนที่ติดตามมาด้วยเกิดความลังเลว่าควรจะไปด้านหน้าหรือไม่ เย่ป๋อโบกมือเป็นสัญญาณให้สองคนตามไป
“ปัง!”ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโต๊ะเก้าอี้กระทบกันดังขึ้นมาจากชั้นสอง สองคนมองกันอย่างประหลาดใจ เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยเสียงเบา“อยู่รอที่นี่นิ่งๆอย่าไปไหน!”
เธอเห็นเขายืมใช้แปลงดอกไม้ ปีนขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสองอย่างคล่องแคล่วว่องไว ร่างคนก็หายไปอย่างรวดเร็ว แสดงแดดยามบ่ายเอียงตัดผ่านทำให้สามารถแบ่งห้องออกเป็นสองส่วนได้
ติงยียียืนอยู่บริเวณที่ร่มรื่น ร่างกายรู้สึกเย็นเล็กน้อย บริเวณรอบๆเงียบเชียบ เธอมองแสงพระอาทิตย์ที่กระทบขอบหน้าต่างชั้นสอง รู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง
ในสมองของเธอนั้นโดนครอบงำด้วยการกระทำของตัวเอง รอจนกระทั่งสติกลับคืนมา เธอก็มานั่งพิงอยู่ที่ขอบหน้าต่างชั้นสองแล้ว
ที่ชั้นสองมีห้องเก็บอุปกรณ์อยู่หนึ่งห้อง เพิ่งจะปีนลงมาจากขอบหน้าต่างก็เกือบจะสะดุดล้มเพราะเก้าอี้ที่วางระเกะระกะอยู่
เธอเดินทุกย่างก้าวอย่างระมัดระวัง หัวใจเต้นแรงเหมือนเสียงตีกลอง เธอจับหน้าอกโดยไม่รู้ตัว มองไปรอบๆอย่างสุขุมระมัดระวัง
ออกจากห้องชั้นสองได้ยินเสียงคนคุยกันค่อยๆดังออกมาจากชั้นบน ทันให้นั้นเองเสียงหมาเห่าที่คุ้นเคยกระตุ้นจิตใจของเธอให้เบิกบาน
ติงยียีรีบวิ่งไปที่ห้องใต้หลังคา ประตูของห้องใต้หลังคานั้นเปิดแง้มอยู่ ร่างกายครึ่งหนึ่งของเย่เนี่ยนโม่นั้นโดนบังไว้หลังประตู
“ทำแบบนั้นไปทำไม?”เย่เนี่ยนโม่ไม่เห็นติงยียีปรากฏตัว สภาพภายในห้องนั้นน่าหวาดเสียวสยดสยองเกินไป ขนาดเป็นเขายังประหลาดใจไม่มีที่สิ้นสุด
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ?”ภายในห้องที่มืดสลัว โม่ซวนหลินยืนตรงกลางกองขวดกระปุกและจ้องมองเขา แสงส่องมาจากรูช่องว่างของผ้าม่านผืนหนา แสงส่องกระทบขวดโหลที่มีน้ำแช่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง ในนั้นมีซากศพหนูที่ตายแล้วอยู่หนึ่งตัว
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นเน่ากระจายไปทั่ว กลิ่นแบบนี้ทำให้เย่เนี่ยนโม่คลื่นไส้ สายตาของเขาเคลื่อนไปมองที่เขียงที่อยู่ตรงหน้าของโม่ซวนหลิน กระต่ายหูพับหนึ่งตัวที่มีเอกลักษณ์วางอยู่ข้างบน และในกรงสัตว์ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของเขานั้น แพนด้ากำลังนอนอย่างอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง
“แพนด้า!”เสียงของติงยียีทำให้ทั้งสองคนเกิดความสงสัย เย่เนี่ยนโม่รีบหันกลับไปโอบกอดเธอไว้ในอ้อมกอด ไม่อยากให้เธอเห็นฉากนี้ แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง
ร่างกายของติงยียีแข็งทื่อไปเล็กน้อย ความสงสัยของเขาทำให้เงียบไปหลายนาที สะบัดออกจากอ้อมกอดของเขา
เธอมองดูทั้งหมดนี้เป็นอะไร รอยเลือดสีแดงคล้ำไหลลงบนพื้น เกิดการแข็งตัวไปแล้วบางส่วน มีบางส่วนยังสดอยู่ แมลงวันหลายตัวบินอยู่บนกองเลือดตอมเสียงดังหึ่งๆ ภายในห้องมีขวดโหลใบใหญ่ใบเล็กหลายสิบขวดวางเรียงรายกัน ภายในขวดโหลนั้นมีซากสัตว์ลอยอยู่
“แพนด้าล่ะ! คุณบอกมานะว่าเกิดอะไรขึ้นกับแพนด้า?” ติงยียีร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง โม่ซวนหลินประหลาดใจอยู่ไม่นานสีหน้าก็ค่อยๆตื่นเต้นขึ้นมา เธอเดินไปอยู่ตรงหน้ากรงเหล็กที่เป็นที่คุมขังแพนด้าเอาไว้ นำมีดผ่าตัดที่อยู่ในมือเคาะกรงให้เกิดเสียง
“สุนัขตัวนี้ไม่ใช่ของคุณ ควรจะเป็นของฉันถึงจะถูก! น่าเสียดาย แค่ตัดหูไปข้างเดียวก็วิ่งหนีไปซะแล้ว คุณดูสิว่าฉันเตรียมภาชนะที่ดีที่สุดไว้ให้มันเลยนะ”
โม่ซวนหลินมองขนสุนัขที่มันวาวของแพนด้าอย่างหลงใหล แพนด้าเห็นติงยียีก็สะอื้น จากนั้นก็ล้มลงเนื่องจากกำลังกายเหนื่อยล้า
“แพนด้า!”ติงยียีไม่สนใจไยดีอะไรอีกอยากจะพุ่งตรงเข้าไป ข้อมือก็ถูกจับไว้อีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่ถอดเนกไทออก มัดมือของเธอไว้กับลูกบิดประตูอย่างคล่องแคล่ว
“ปล่อยฉันนะ!”ติงยียีต่อสู้ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง มือเสียดสีไปมาอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไม่มีวิธีที่จะดิ้นหลุดไปได้ เย่เนี่ยนโม่มองข้อมือของเธอที่โดนเสียดสีจนเป็นรอยแดง รู้สึกเจ็บปวดภายในใจ“เด็กดี ใจเย็นหน่อย”
“ฉันไม่ใจเย็นอะไรทั้งนั้น คุณรีบปล่อยฉันนะ!”ติงยียีคิดวิธีอะไรไม่ออก เธอเพียงอยากจะออกไปช่วยแพนด้าเท่านั้น มัดเธอเอาไว้เธอจะทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว
ริมฝีปากถูกปกคลุมไปด้วยความชื้นทันที เธอตกเข้าไปในสายตาที่ส่องประกายสว่างไสวคู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเหมือนทะเลหมู่ดาว ทำให้คนใจเย็นสงบเสงี่ยมขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เย่เนี่ยนโม่เดินจากไป ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดริมฝีปากของเธอ น้ำเสียงมีความแหบแห้ง“เด็กดี อย่าโวยวาย”
“คนที่คุณชอบไม่ใช่อ้าวเสว่เหรอ?”โม่ซวนหลินจ้องมองพวกเธอ สีหน้าแข็งค้าง เธอเคยรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเย่เนี่ยนโม่ที่มีทั้งเงินทั้งหน้าตาอยู่ดีๆถึงมาเลือกตัวเองได้ แต่ว่าหลังจากที่พบว่าตัวเองนั้นหน้าตาคล้ายกับอ้าวเสว่ เธอก็เข้าใจว่าตัวเองนั้นน่าจะเป็นตัวแทนของเธอ แต่ว่าดูจากวันนี้แล้วเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้!
เย่เนี่ยนโม่ปลดกระดุมเม็ดบนสุดสองเม็ดของเสื้อเชิ้ตออก เดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทีสบายๆ “เวลาพูดคุยหมดลงแล้ว”
โม่ซวนหลินถือมีดไว้ในมือทั้งคู่มองเขาด้วยท่าทีสุขุม “อย่าเข้ามานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเอามีดฟันมันซะ!”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้มบางๆ เดินตรงเข้าไปอย่างเงียบงัน จงใจที่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แววตาสงบนิ่ง เหมือนกับคุณชายผู้สูงศักดิ์สง่างาม แต่ว่าลมหายใจโดยรอบนั้นกลับระเบิดความรุนแรงดุเดือด
“อย่าเข้ามา!”โม่ซวนหลินจับจ้องเขาที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นำมีดไปวางไว้บนร่างของแพนด้าที่ซึมเซาไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน
“อย่า! อย่าเข้าไป เธอจะทำร้ายแพนด้า!”ติงยียีที่อยู่ด้านข้างเห็นว่ามีดนั้นแทงเข้าไปขนของแพนด้า ก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยจิตใจแตกสลาย เย่เนี่ยนโม่ไม่สนใจ เดินตรงเข้าไปหาโม่ซวนหลิน
“คุณเป็นคนบีบฉันเองนะ!”โม่ซวนหลินยกมีดขึ้นสูง แทงเข้าไปในกรงอย่างรุนแรง
“ไม่!!”ติงยียีลื่นร่วงลงกับพื้น ตัวสั่นเทิ้มปิดตาลง ทั้งห้องนั้นเหมือนจมดิ่งเข้าไปสู่ความตายชั่วขณะ โม่ซวนหลินมองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเย่เนี่ยนโม่จะกำมีดของตัวเองไว้ในมือ เลือดสดๆหยดไหลลงไปในกรง
แพนด้ามีการตอบรับขึ้นมาบ้าง พยายามต่อสู้เปล่งเสียงคำรามออกมา โม่ซวนหลินตื่นตกใจ ปล่อยมือด้วยใบหน้าซีดเซียว มีดร่วงหล่นลงบนพื้นเกิดเสียงกระทบเสียงดัง
“ไม่ เป็นคุณที่ตรงเข้ามาเอง ฉันไม่ได้อะไรเลยทั้งนั้น”โม่ซวนหลินเหมือนโดนมนต์สะกดเอาแต่จ้องมองฝ่ามือของเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่ควักโทรศัพท์ออกมาพูดประโยคธรรมดาอยู่หลายประโยค เดินกลับไปอยู่ข้างกายของติงยียี เธอกำลังปิดตาและร่างกายสั่นเทา ทันใดนั้นก็ตกลงไปในอ้อมกอดที่อบอุ่น
เย่เนี่ยนโม่โอบกอดเธอเบาๆ พูดเสียงอ่อน: “ขอโทษที่ทำให้คุณกลัว”
แพนด้าหลุดออกจากกรง วิ่งมาตรงหน้าของติงยียี เลียเธอสุดชีวิต หนึ่งคนหนึ่งสุนัขกอดกันด้วยความสุขสนุกสนาน
แสงอาทิตย์ภายนอกห้องนั้นได้หายไปจากขอบฟ้าโดยสมบูรณ์ ทำให้ภายในห้องยิ่งมืดเข้าไปใหญ่
เหลือเพียงแต่โม่ซวนหลินที่นั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้อง
“คุณชาย!”เย่ป๋อได้รับโทรศัพท์จากคุณชายจากนั้นก็รีบร้อนเข้ามา มองสิ่งของภายในห้องสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างมาก
“ติดต่อผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวช”เย่เนี่ยนโม่สั่งออกไปหนึ่งประโยค สายตามองไปในห้องทะลุผ่านขวดโหลเข้าไปเห็นแมวหูพับอยู่บนเขียงนอนจมกองเลือด ผ่านไปเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาหดเกร็ง ความเจ็บปวดที่ฉายในแววตานั้นถูกลบออกไป เหลือเพียงความเฉยเมยที่ไม่มีวันเปลี่ยน
ติงยียีโอบกอดแพนด้า เห็นเย่เนี่ยนโม่จะเดินจากไปจากข้างกายตัวเอง อยากจะจับมือของเขาอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับพลาดไป
เธอมองมือที่คว้าได้แต่ความว่างเปล่า เย่เนี่ยนโม่มองมาหาเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน บาดแผลที่มือถูกปิดบังไว้ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ เลือดได้แข็งตัวไปแล้ว ความเจ็บปวดของรอยแผลปริแตกบนผิวนั้นทำให้เขาได้สติ
เขาไม่อยากจะให้เธอเห็นบาดแผลของตัวเอง ดังนั้นเลยหลบมือของเธอที่ยื่นออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่คิดเลยว่ากลับทำร้ายเธอหนักขึ้น เหมือนเขาหวังว่าเธอจะมีความสุข แต่ผลสรุปกลายเป็นผลักเธอลงก้นเหวด้วยตัวเอง
เขาหมุนตัวกลับ เสียงแผ่วเบาดังมาจากทางด้านหลัง“เย่เนี่ยนโม่ พวกเราอย่าเจอกันอีกเลย”
จิตใจของติงยียีถูกเกาะกุมไปด้วยความเศร้าใจอย่างรุนแรง มองร่างของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
“คุณหนูยียี!”เย่ป๋อรีบร้อนตรงเข้าไปถามเมื่อเห็นเธอที่ร่างกายอ่อนแอจนพิงกับบานประตู ติงยียียิ้มให้เขาจากจิตใต้สำนึก กลับไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของตัวเองนั้นแสดงออกถึงความเจ็บปวดเสียใจมากขนาดไหน
ภาพยนตร์《เวทมนตร์》เป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนมีข่าวอื้อฉาวของราชาภาพยนตร์เผยแพร่ออกมา จากนั้นก็มีเรื่องของนักแสดงหญิงEmilyที่ประกาศพักการแสดงอย่างกะทันหัน ข่าวซุบซิบมีมาเป็นระลอกคลื่นไม่หยุดหย่อนจนส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ทันจะฉายก็เป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก
งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จในโรงแรม คนหลายสิบคนนั่งล้อมกันเป็นกลุ่ม อันหรันราชาภาพยนตร์เองก็ยากที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองเช่นเดียวกัน นี่ทำให้การดูแลรักษาความปลอดภัยของทางโรงแรมนั้นวุ่นวายเป็นอย่างมาก ทั้งด้านนอกและด้านในได้จัดเตรียมบอดี้การ์ดจำนวนมากไว้ดูแลความปลอดภัย
ผู้กำกับหวูหยิบแก้วเหล้าเดินตรงเข้ามาด้านหน้าของติงยียี พูดด้วยรอยยิ้ม: “ยียี ถ้าแพนด้าเป็นคน ปีนี้ฉันจะต้องช่วยมันให้ได้เข้าชิงรางวัลHundred Flowers Awards!”
ติงยียีรีบกลืนอาหารอยู่ในปากและลุกขึ้น ยิ้มอย่างโง่เขลา บริเวณรอบๆไม่รู้ว่าใครยัดเหล้าเข้ามาให้กับเธอ เธอลังเลไม่รู้ว่าควรจะดื่มดีหรือไม่
“ดื่มเถอะ ถ้าไม่ดื่มถือว่าไม่ไว้หน้าตาแก่อย่างฉัน”ผู้กำกับหวูดื่มจนแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ พูดโน้มน้าว
ติงยียีนำแก้วเหล้าเข้ามาใกล้ๆ กลิ่นเหล้าที่อยู่ตรงหน้าอบอวลฟุ้งกระจายจนคิ้วขอเธอเลิกขึ้น อันหรันที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยน้ำเสียงเรียบฉย: “ผู้กำกับหวู คุณแน่ใจว่าอยากจะให้ติงยียีดื่มจริงหรือเปล่า?”
เขากัดฟันออกเสียงติงยียีสามคำนี้อย่างหนักแน่น ผู้กำกับหวูเดิมทียังรู้สึกมีอาการเมาอยู่ แต่ถูกคำพูดของเขาทำให้ตื่นเต้นจนสร่างเมาไม่น้อย เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเบื้องหลังของติงยียีนั้นมีผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่มากอยู่หนึ่งคน!
“รีบดื่มรีบดื่ม!”รอบข้างมีคนเข้ามาขัดจังหวะ ผู้กำกับหวูเปลี่ยนท่าที หลบแก้วเหล้าของเธอ พูดด้วยเหตุผลที่เต็มไปด้วยสัจธรรม: “ไม่ต้องดื่มแล้ว ดื่มเหล้ามันไม่ดีต่อร่างกาย!”
ประตูถูกเคาะ ผู้กำกับหวูเห็นคนที่เข้ามาก็รีบเข้าไปทักทายอย่างดีใจ “นี่ใช่เลขาเย่ใข่หรือเปล่า? แล้วคุณชายเย่ล่ะ?”เขาทักทายเย่ป๋อพร้อมกับมองออกไปที่ประตูด้านนอก
ในใจของติงยียีแอบรู้สึกตกใจ เย่ป๋อนั้นอยู่ข้างกายเขาตลอด เย่ป๋อปรากฏขึ้นมานั่นก็หมายความว่าเขาเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน?
“คุณชายเย่วันนี้ไม่ได้มา”สายตาของเย่ป๋อแอบกวาดตามองติงยียี และพูดต่อ: “วันนี้ผมเป็นตัวแทนของคุณชายเย่มากล่าวทักทายทุกท่าน วันนี้ค่าอาหารในงานทั้งหมดคุณชายเย่จะเป็นผู้ดูแลเอง”
ภายในงานเลี้ยงฉลองที่เดิมทีก็มีเสียงคนจอแจอยู่แล้วถูกทำให้โกลาหลมากขึ้นไปอีก อันหรันมองติงยียีอย่างครุ่นคิดพิจารณา เธอยิ้มแบบไม่มีความคิดเห็น หยิบแก้วเหล้าที่อยู่ในมือของผู้กำกับหวูมาดื่มรวดเดียวจบ
ค่ำคืนอันแสนยาวนาน หลังจากที่ดื่มเหล้าไปสามรอบ บนโต๊ะอาหารก็ไม่เหลือคนเยอะเท่าไหร่แล้วอันหรันและสวุเหวยเหรินแอบหนีออกไปตั้งนานแล้ว ผู้กำกับหวูนั้นก็ถูกภรรยาตัวเองเรียกตัวกลับอย่างคาดโทษ ติงยียีลุกขึ้นยืนโซเซ เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าไปช่วยพยุงเธอ
“ยียี คุณมีครอบครัวหรือเพื่อนสนิทหรือเปล่า? ฉันจะให้เธอมารับคุณ”
“เพื่อนสนิท? ฉันมีเพื่อนสนิท เพื่อนสนิทของฉันชื่อว่าซ่งเมิ่นเจ๋!”ติงยียียิ้มแล้วโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อนร่วมงานเห็นว่ามือของเธอนั้นสั่นไม่หยุดเลยตรงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือมา
เพื่อนร่วมงานพูดไม่กี่ประโยคหลังจากนั้นก็วางสายไป พูด: “สบายใจรอได้เลยนะ อีกเดี๋ยวเพื่อนสนิทของคุณจะมารับคุณ”
ติงยียีปีนขึ้นไปบนโต๊ะพูดพึมพำ: “ไม่ เธอไม่มาหรอก ฉันทำร้ายความรู้สึกของเธอ”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หญิงงามสวยร้อนแรงรูปร่างสูงโปร่งเดินจากด้านนอกเข้ามาในห้องรับรองส่วนตัว ทำให้คนที่อยู่ในงานต่างมองกันด้วยความตะลึง