“พอแล้ว!” ซือซือตัดบทเขา ลมบนสะพานลอยพัดจนผมเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย เธอจัดการกับผม “เป็นฉันที่ไม่ต้องการเด็กคนนั้น เธอจะเป็นยังไงไม่เกี่ยวกับฉัน คุณไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีกแล้ว!”
ติงต้าเฉินมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อแก้วตาดวงใจที่ตนเองเฝ้าถนอมแม่แท้ๆของเธอกลับเป็นแบบนี้ ความโกรธผุดขึ้นในใจเขา เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป เขาก็ยื่นมือออกไปคว้าแขนเธอ“คุณพูดแบบนี้ก็เกินไปแล้วนะ!”
ซือซือรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ยกแขนไปข้างหน้าโบกแรงๆ
ติงต้าเฉินขาที่กะเผลกเซถลา รีบอยากจะจับเธอไว้เพื่อรักษาสมดุล
เธอเห็นว่าเขากำลังจะตกบันได ก็รีบยื่นมือออกมา แต่น่าเสียดายที่มันช้าไปแล้ว ติงต้าเฉินกลิ้งตกจากบันไดสิบกว่าขั้นลงมา ตอนที่เขาล้มลง ศีรษะกระแทกกับขั้นบันได นอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
ซือซือตกใจมาก เดินต่อเนื่องสองสามก้าวอยากจะลงไปดูว่าเขามีอาการบาดเจ็บอย่างไร อีกด้านของบันไดเหมือนจะมีเสียงพูดคุยดังมา ทันใดนั้นเธอก็ชะงักฝีเท้า สีหน้าสสับสนขึ้นมา ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเย่เนี่ยนโม่กำลังสงสัยเธอมาตลอด ถ้าติงยียีรู้ว่าตนเองผลักพ่อของเธอตกลงไป ถึงเวลาต้องเกิดเรื่องยุ่งยากแน่!
เสียงยิ่งดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอรีบออกไปจากสถานที่เกิดเหตุอย่างลนลาน ขนาดว่าทำชามของขอทานคว่ำก็ไม่สนใจแล้ว
“ตายแล้ว ที่นี่มีคนล้มอยู่ที่พื้น”
“ใช่แล้ว ที่หัวมีเลือดไหลด้วย รอโทรเรียก120มาก็คงไม่ทันแล้ว ผมไปส่งเขาเอง”
ท้องฟ้ายิ่งมืดลงเรื่อยๆ ข้างถนนมีผู้คนมาซื้อของบนถนนมากขึ้น ถนนสายหลัก บนเส้นทางสายหลัก คนขับรถรอสัญญาณไฟแดงเซี่ยชีหรั่นเซี่ยชีหรั่นและหลินหลิงนั่งบนเบาะหลัง
“โจ๋ซวนยังไม่กลับบ้านเหรอ” เซี่ยชีหรั่นกังวลใจเล็กน้อย
หลินหลิงท่าทางจริงจังเอาเรื่อง “ฉันอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของเขาแล้ว ตนเองทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลของการกระทำนั้นเอง”
เซี่ยชีหรั่นเห็นเธอพูดพลางขอบตาแดงก่ำขึ้นมา ก็รู้ว่าเธอปากร้ายแต่ใจดี ในใจก็สงสารเขามากเช่นกัน
“คุณนายครับ ข้างหน้าดูเหมือนจะมีคนต้องการความช่วยเหลือ” คนขับรถมองไปด้านนอกหน้าต่าง วัยรุ่นคนหนึ่งแบกชายวัยกลางคนเอาไว้ดูเหมือนกำลังจะโบกรถ
“ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ ในเมื่อเราก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน ไปช่วยเขาเถอะ!” เซี่ยชีหรั่นรีบให้คนขับจอดรถเอาผู้ชายคนนั้นขึ้นรถมา
ในโรงพยาบาล คนขับรถกล่อมเซี่ยชีหรั่น “คุณนายกลับไปก่อนเถอะครับ คุณหมอบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะคงไม่ฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนั้นหรอกครับ”
เซี่ยชีหรั่นมองห้องพักผู้ป่วยอย่างกังวลเล็กน้อย “บนตัวเขาก็ไม่มีโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าจะติดต่อครอบครัวเขาได้ยังไงดี”
เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคงดังมาจากประตู เย่เชินหลินมาด้วยตัวเอง เย่ป๋อตามมาด้านหลังเขา
“เฮ้อ พวกเราช่วยเขาติดต่อครอบครัวได้มั้ยคะ” เซี่ยชีหรั่นซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเย่เชินหลินอย่างเชื่อฟัง
คำร้องขอจากเธอเย่เชินหลินจะไม่รับปากได้อย่างไร จึงให้เย่ป๋อจัดการปัญหาอยู่ที่นี่ สั่งการเสร็จเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก้มหน้ามองเธอ “กินข้าวแล้วหรือยัง”
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้าอย่างแรง “กินแล้วค่ะ!”
“เชื่อก็แปลกแล้ว!” หลินหลิงทำลายแผนเธออยู่ข้างๆ นัยน์ตาเย่เชินหลินลึกล้ำ โอบรอบเอวคอดของเธอแล้วเดินออกไปข้างนอก
เย่ป๋อเห็นคนเดินไปไกลแล้วจึงผลักประตูเปิด หลังจากเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ตกใจมาก
บ้านตระกูลติง
ติงยียีร้อนใจจนบ้าไปแล้ว โทรศัพท์พ่อโทรอย่างไรก็โทรไม่ติด ตามเหตุผลแล้วตอนนี้ก็น่าจะมาถึงบ้านแล้ว
ชิวไป๋พักผ่อนอยู่ข้างๆพลางมองนาฬิกาข้อมือ “ฉันเหลือเวลาให้เธอสามชั่วโมงกินข้าวกับพ่อเธอ ตอนนี้เหลือแค่ครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ติงยียีรับสายแล้วหน้าก็ซีดเผือด รีบวิ่งไปแม้แต่เสื้อคลุมก็ยังใส่ไม่ทัน ชิวไป๋ดึงเธอเอาไว้ “เธอจะไปไหนอีก จำไว้ว่าวันนี้ตต้องไปพบดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสนะ ครั้งก่อนเขาพอใจกับเธอมาก”
“พ่อฉันเข้าโรงพยาบาล!” ติงยียีรีบใส่รองเท้า
ชิวไป๋นิ่งไปชั่วครู่ แล้วรั้งเธอไว้อีกครั้ง “โอกาสครั้งนี้หาได้ยากมาก เธอแน่ใจนะว่าจะไป”
ติงยียีไม่ได้ลังเลเลยสักวินาที สะบัดมือเธอออกวิ่งตรงไปที่ประตู ชิวไป๋ถอนหายใจ หยิบเสื้อคลุมตามออกไป
ติงยียีและชิวไป๋รีบมาที่โรงพยาบาล เย่ป๋อรอที่ประตูอยู่นานแล้ว มองเห็นชิวไป๋ ทั้งสองต่างก็อึ้งไป หลังจากตอนนั้นที่ดื่มกาแฟด้วยกันใต้ตึกบริษัทเย่ซื่อ แม้จะแลกเบอร์โทรศัพท์กันแล้ว แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้ติดต่อกันเลย
“พ่อของฉันล่ะ” ติงยียีดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบๆให้หันมอง
เย่ป๋อพาเธอเข้าไปในห้องผู้ป่วย ติงยียีมองเห็นพ่อที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง สงสารอย่างจับใจ เย่ป๋อเล่าเรื่องที่คุณนายช่วยเขามาอย่างคร่าวๆให้เธอฟังหนึ่งรอบ เห็นเธอเสียใจขนาดนั้น เย่ป๋อกับชิวไป๋ก็ถอยออกจากห้องปล่อยให้เธออยู่กันสองคนโดยอัตโนมัติ
ในทางเดินระเบียง ชิวไป๋ถามว่า “ศูนย์การค้าสากลของบริษัทเย่ซื่อเป็นยังไงบ้าง ช่วงสองวันมานี้ดูเหมือนจะไม่มีข่าวอะไรเลย”
เย่ป๋อไม่อยากโกหกเธอ แต่เขาก็ไม่สามารถบอกเธอได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตระกูลเย่ กังลังใจจนเหงื่อไหลออกมาเต็ม
ชิวไป๋อยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีขนาดนั้น เลยวัยที่จะแต่งงานไปนานแล้ว เมื่อเห็นเขาแบบนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน ยิ้มและพูดว่า: “ช่างเถอะ ไม่ต้องบอกแล้ว เห็นคุณกังวลใจแบบนี้ เจ้านายของคุณจ้างคุณถูกคนแล้ว”
“เจ้านาย ใช่แล้ว ผมลืมบอกคุณชายไปเลย!” เย่ป๋อตีหัวตนเอง รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ชิวไป๋จึงได้แต่เดินออกไป
“คุณชาย!” เย่ป๋อรีบพูดว่า “คุณพ่อของคุณยียีเข้าโรงพยาบาล พอดีคุณนายช่วยเอาไว้ ตอนนี้คุณยียีก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ”
เสียงเย่เนี่ยนโม่ก็ยังนิ่งเป็นปกติ ได้แต่เพียงพูดว่า “รู้แล้ว” แล้วก็วางสายไป
“บอกมาเถอะ อ้าวเสว่ ยังมีเรื่องอะไรอีกที่คุณปกปิดผม” นิ้วมือเรียวยาวของเย่เนี่ยนโม่กุมโทรศัพท์มือถือที่ร้อนผ่าวเล็กน้อย น้ำเสียงเรียบเฉย
อ้าวเสว่ซุกอยู่ในผ้าห่ม บาดแผลบนศีรษะของเธอยังคงมองเห็นได้จางๆ สีหน้าเธอดูเจ็บปวดและหวาดกลัว ร่างของเธอสั่นเล็กน้อย “เนี่ยนโม่ ตกลงว่าคุณพูดอะไรกันแน่ ฉันไม่รู้เรื่อง”
เย่เนี่ยนโม่มองเธอ ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก เขารู้ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เมื่อก่อนเคยถือรูบิคมาแสดงให้เขาดูด้วยใบหน้าหยิ่งทระนงคนนั้นได้หายไปแล้วจริงๆ
เขาเม้มริมฝีปาก พูดทีละคำ “ไห่โจ๋ซวนบอกแล้วว่า ทั้งหมดเป็นแผนที่เขาวางไว้ ที่ผมอยากรู้ก็คือ คุณก็เป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานหรือเปล่า”
อ้าวเสว่อึ้งไปก่อน หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาจากในผ้าห่มด้วยความคลุ้มคลั่ง สีหน้าตื่นตระหนก “ความหมายของคุณคือฉันจงใจแต่งเรื่องพวกนี้เพื่อให้คุณสงสารเหรอ ฉันทุบตีตัวฉันเองจนกลายเป็นผีแบบนี้เพื่อใส่ร้ายตัวเอง ทำให้ตัวเองกลายเป็นคนมีมลทินเหรอคะ”
เธอโกรธจนตาจะถลนออกมา น้ำตาน้ำมูกไหลทั่วใบหน้า แต่กลับไม่ได้ทำลายความงามของเธอ เย่เนี่ยนโม่ มองมาที่เธอ ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของเธอ เห็นเธอแผดเสียงเสร็จ เขาพูดเบาๆ ว่า “ทำไม ไม่ได้เหรอ”
อ้าวเสว่ถอยกรูดไปด้านหลัง เย่เนี่ยนโม่กลับก้าวเข้าไปประชิดทีละก้าว น้ำเสียงเอื่อยๆพร้อมกับขมขู่เล็กน้อย “อาจจะมีเรื่องหนึ่งที่คุณอาจรู้ วันหนึ่งแม่ของคุณขอให้ใครสักคนขับรถชนคนตายบนทางด่วน คนนั้นชื่อว่าติงยียี เธอยังมีอีกสถานะหนึ่ง นั่นคือน้องสาวของคุณ”
อ้าวเสว่ลืมแม้แต่จะร้องไห้ไปเลย พูดด้วยริมฝีปากสั่นว่า “คุณรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของฉันเหรอ”
มุมปากเย่เนี่ยนโม่คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “ดังนั้นคุณคิดว่ายังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกบ้างล่ะ”
รอยยิ้มของเขาไม่ได้ไปถึงนัยน์ตา แต่สัมผัสได้ถึงความลึกล้ำและความเยือกเย็น อ้าวเสว่ดูเหมือนจะร้องไห้และหัวเราะ พึมพำว่า “แล้วยังไงล่ะ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าฉันจะเลือกได้นะ หรือว่าเพราะด้วยเหตุนี้คุณก็เลยเอาเรื่องเลวร้ายทั้งหมดมาโยนให้เธอ”
เย่เนี่ยนโม่เห็นเธอปากแข็ง ก็หมดความอดทนแล้ว ก้าวเข้ามาคว้าข้อมือเธอ กดเสียงต่ำพูดว่า “อย่าบีบบังคับให้ผมต้องทำเกินไปกับคุณนะ อ้าวเสว่ อย่าสร้างเรื่องให้ตัวเองอีกเลย ”
เธอมองเขาอย่างตกตะลึง จู่ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดิ้นหลุดจากมือเขา ยกมือหยิบแจกันที่ขอบหน้าต่างขึ้นมาปาลงบนพื้น จากนั้นก็ดึงผ้าม่านโยนลงไปชั้นล่าง
เย่เนี่ยนโม่มองเธอคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของในห้อง หมุนตัวไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ในเมื่อมันก็เป็นเรื่องที่เกิดเป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
จนกระทั่งได้ยินเสียงรถขับออกไปอ้าวเสว่จึงทรุดนั่งลงบนพื้น เมื่อครู่เธอเกือบจะแย่แล้ว เธอตัวสั่นอยู่บนพื้น เธอคลำหาโทรศัพท์มือถือที่ถูกเธอทุบ ใส่แบตเตอรี่ด้วยมือที่สั่นเทา แทบรอไม่ไหวที่จะโทรหาคนเดียวที่สามารถช่วยเธอได้
“แม่! ทำยังไงดีคะ! เรื่องที่ไห่โจ๋ซวนทำถูกตระกูลเย่รู้แล้วค่ะ เรื่องที่ติงยียีเป็นน้องสาวของหนูเย่เนี่ยนโม่ก็รู้แล้ว หนูกลัวจังเลยค่ะ ถ้าเรื่องที่หนูทำเมื่อสามปีก่อนถูกเปิดโปงจะทำยังไง”
ซือซือกำลังกังวลใจเรื่องที่ผลักพ่อของติงยียีอยู่ ถ้าอีกฝ่ายตายแล้ว อย่างนั้นตำรวจก็ต้องเข้ามายุ่ง ถึงเวลาทุกคนก็ต้องรู้ว่าตนเองเป็นสาวใช้ของตระกูลเย่ เมื่อเธอได้ยินอย่างนั้นเธอก็กังวลว่าลูกจะฟุ้งซ่านจนสารภาพออกมาเองโดยไม่มีใครบังคับจึงรีบพูดว่า “อย่าตกใจ คนในตระกูลเย่ไร้หัวจิตหัวใจ ถ้าพวกเขารู้จริงๆพวกเขาจะไม่พูดอย่างนั้น เมื่อครู่พวกมันคงกำลังทดสอบลูกอยู่ ตอนนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไร!”
หลังจากวางสายแล้ว ซือซือก็ไม่แน่ใจว่าไห่โจ๋ซวนจะเอาเรื่องทั้งหมดไปบอกกับตระกูลเย่หรือไม่ เรื่องของไห่โจ๋ซวนกับผู้ชายคนนั้นตอนนี้กลายเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข เธอเดินไปที่ระเบียง มองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่นอกหน้าต่าง จู่ๆก็หัวเราะออกมา ตนเองยังมีลูกอีกหนึ่งที่สามารถไปสอดแนมได้ไม่ใช่หรือ
ตอนที่ติงยียีรับสายก็ไม่ได้นอนมาคืนหนึ่งแล้ว พ่อยังไม่ฟื้นขึ้นมา คุณหมอเองก็หมดหนทาง เธอทำได้แค่รอ ในใจก็ยิ่งโทษตัวเอง เดิมพ่อก็ไปไหนมาไหนไม่สะดวกอยู่แล้ว ถ้าตนเองไปรับเขาตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่หกล้ม
โทรศัพท์ของแม่แท้ๆของตัวเองทำให้เธอหงุดหงิดรำคาญใจเล็กน้อย ที่มากกว่านั้นคือความสงสัย หลังจากแน่ใจแล้วว่าพ่อของเธอจะฟื้นหรือไม่ฟื้นหรือไม่ เธอก็ตัดสินใจไปตามที่นัดหมาย
เธอทุ่มเททั้งกายและใจให้กับพ่อของเธอ ออกไปข้างนอกนานแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าชิวไป๋เตือนตัวเองว่าเวลาออกไปข้างนอกทางที่ดีที่สุดควรสวมหมวกด้วย เธอรีบเดินเข้าไปในร้าน
หลังจากออกมาจากร้านแล้วเธอก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงร้องไห้ที่มาจากในตรอก เสียงร้องไห้นั้นดูเหมือนกำลังตกใจ เธอตกใจ รีบวิ่งเข้าไปในซอยเล็กๆ
“ชูฉิง!” ติงยียีมองเย่ชูฉิงประคองผู้ชายคนหนึ่งอยู่อย่างแปลกใจ แผ่นหลังชายหนุ่มเยือกเย็น ในมือยังถือขวดเหล้าอยู่หนึ่งขวด
“พี่ยียี!” เย่ชูฉิงร้องเรียกด้วยเสียงสะอื้น กว่าจะพบเขาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขากลับอยู่ในสภาพดูถูกปล่อยปละละเลยตัวเองแบบนี้
ติงยียีวิ่งไปข้างๆชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ที่แท้ก็คือไห่โจ๋ซวน ดวงตาของเขาคู่นั้นแดงก่ำ ไม่รู้ว่าไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว คางของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา แตกต่างจากคนที่สง่างามเมื่อก่อนนี้ราวกับเป็นคนละคน