เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว ตอนนี้เขายังระแวงอ้าวเสว่อยู่ บางครั้งก็สงสัย ถ้าอ้าวเสว่ถูกคนร้ายทำร้ายจริงๆ เขายังจะสามารถไล่ตามความรักของตนเองอย่างสบายใจได้หรือไม่
ความสับสนกระวนกระวายใจของเขาสวีเห้าเซิงมองเห็นทั้งหมด เขาเดินไปข้างหน้าเงียบๆตบที่บ่าของเขา มีความชราปะปนอยู่ในน้ำเสียง “ไม่ว่านายจะเลือกใคร พยายามอย่าทำร้ายพวกเธอ นี่คือคำขอร้องของคนเป็นพ่อคนหนึ่ง”
ตอนที่เย่เนี่ยนโม่ผลักประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดอีกครั้งก็เป็นเวลาดึกมาแล้ว แสงไฟสีเหลืองนวลส่องกระทบใบหน้าหญิงสาวที่อยู่ข้างเตียง
ติงยียีงีบหลับโดยใช้มือสองข้างเท้าคางไว้ ศีรษะผงกขึ้นๆลงเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆเอาผ้าห่มบนโซฟาคลุมบนตัวเธอ
ต่อให้เสียงเขาจะเบาแค่ไหน ติงยียีก็ยังสะดุ้งขึ้นมาเหมือนกับลูกแมว หลังจากเห็นเขาแล้วก็ตกใจเล็กน้อย เธอคิดว่าเขาจะไม่มาแล้ว
“ทำไม เห็นผมตกใจมากเหรอ” เขาอารมณ์ดีมาก ยื่นมือออกมารูดที่สันจมูกเธอ
เธอจับศีรษะอย่างสะเปะสะปะ เพื่อมาปกปิดความตื่นตระหนกของตนเอง เขาไม่อยากให้เธอเขิน จึงเบนสายตาไปที่เตียงผู้ป่วย ถามเบาๆว่า “คุณลุงสวียังไม่ฟื้นเหรอ”
ติงยียีพยักหน้า มีความเศร้าเสียใจอย่างมากในน้ำเสียง “แม้แต่คุณหมอเองก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่พ่อจะฟื้นขึ้นมา ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตมันจะเปราะบางขนาดนั้น”
สองมือจับเธอไว้ เธอเงยหน้าพร้อมขอบตาแดงก่ำ นัยน์ตาของเย่เนี่ยนโม่ภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวลสว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดว่า “ดังนั้นพวกเราก็ยิ่งต้องหวงแหนทุกโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกัน”
เธออยากจะปล่อยมือ อยากจะหลบเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้ แต่เขาจับเอาไว้แน่นมาก “แม่ของผมไม่ได้คัดค้านแล้ว ลุงสวีเองก็เช่นกัน เชื่อว่าอุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างพวกเราจะยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ”
ความสุขยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ติงยียีก็ยิ่งระแวดระวัง เธอขมวดคิ้ว ในใจกลับไม่ได้มีความยินดีมากนัก “แล้วอ้าวเสว่ล่ะ”
เธอสัมผัสได้ถึงการหยุดชะงักไปชั่วขณะของมือที่กุมอยู่ในตอนที่เธอพูดประโยคนี้ และเป็นเพราะการชะงักไปชั่วขณะนั้นเองที่ทำให้ความเชื่อมั่นเล็กน้อยในหัวใจของเธอแทบพังทลาย
“ปล่อยมือเถอะ มีอ้าวเสว่อยู่ พวกเราไม่มีทางมีความสุขหรอก” เธอหันกลับไปมองพ่อที่อยู่บนเตียงคนไข้อย่างขมขื่น ไม่ให้ตนเองน้ำตาไหล
เย่เนี่ยนโม่ได้ยินคำพูดนี้เขาเจ็บปวดใจมาก แต่เขารู้ว่าเธอที่พูดคำพูดเหล่านี้นั้นเจ็บปวดใจยิ่งกว่า ก็แค่การชะงักไปชั่ววินาที เขาจับมือที่อยู่ในฝ่ามือแน่นยิ่งขึ้น “อ้าวเสว่สำหรับผมแล้วคือความรับผิดชอบ เป็นความรับผิดชอบที่ผมไม่อาจละเลยได้ในชีวิตนี้ ผมไม่อยากโกหกคุณ แต่ผมก็เป็นสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”
ติงยียีเบิกตาโพลง พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ทำไมคุณถึงเป็นความรับผิดชอบของฉัน!”
เขายิ้มเอามือเธอมาวางบนหน้าอก ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่ในอกของตนเอง เสียงทุ้มลึกดังขึ้นในห้องอันเงียบสงบ ขจัดความหนาวเย็นในห้อง “คุณเอาหัวใจผมไป เอาความรู้สึกของผมไป เอาความสุขของผมไป คุณว่าคุณควรจะรับผิดชอบต่อผมหรือเปล่า”
ติงยียีอึ้งตะลึงกับท่าทางกระเซ้าเย้าแหย่ของเขา เขากลายเป็นคนที่เจ้าเล่ห์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ผ่านไปนานพักใหญ่ เสียงลังเลสงสัยของติงยียีดังขึ้นภายในห้อง “แต่ฉันไม่มั่นใจ” เธอไม่มั่นใจว่าทั้งสองคนจะร่วมกันแบกรับความรับผิดชอบอย่างอ้าวเสว่นี้ได้ ไม่มั่นใจในความรับผิดชอบที่จะเดินไปยังความสุขพร้อมกับเขา
สองมือจับยึดแก้มสองข้างของเธอไว้ ไม่ให้เธอหนีไปไหน เย่เนี่ยนโม่จูบลงบนเปลือกตาเธอเบาๆ “งั้นก็เอาความมั่นใจกลับมาสิ”
“ทำยังไง” เธองง
เย่เนี่ยนโม่ตอบอย่างสบายๆแต่หนักแน่นว่า “ตามไห่โจ๋ซวนกลับมาหาจังหวะบอกเขาว่าผมจะแย่งคุณกลับมา”
การพูดคุยกันข้ามคืน ทำให้เวลานอนของทั้งสองคนน้อยจนน่าสงสาร เย่ป๋อพาคนเฝ้าไข้มาตามคำสั่งของคุณชายแต่เช้าตรู่
“คุณยียีสบายใจเถอะครับ ถ้าคุณติงฟื้นขึ้นมาผมจะบอกคุณทันที” เย่ป๋อยืนตัวตรง
มีความช่วยเหลือของเย่ป๋อ ทั้งสองคนก็ออกจากโรงพยาบาล แต่จะไปตามหาไห่โจ๋ซวนอย่างไรเป็นปัญหาที่ยากมาก“ครั้งก่อนฉันเจอโจ๋ซวนที่ปากซอย เขาดื่มจนเมาหัวราน้ำ ชูฉิงคอยอยู่ข้างกายเขาตลอด”
ติงยียีนึกถึงภาพนั้นก็เศร้าใจมาก เย่เนี่ยนโม่เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก หลายวันนี้ติดต่อชูฉิงไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ว่าเธอใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรมาบอกตระกูลเย่ว่าตนเองปลอดภัยดีทุกคืน ตระกูลเย่คงต้องส่งคนไปตามหาทั่วทั้งเมืองแล้ว
พวกเขาไปที่ซอยเล็กๆที่ติงยียีเจอกับสองคนนั้นครั้งแรกอีก ปากซอยซากโทรศัพท์มือถือของติงยียียังถูกทิ้งไว้ที่มุมนั้น เธอหยิบขึ้นมาถอนหายใจ
“โทรศัพท์มือถือคุณเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม ติงยียีพยักหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าออกมาจากในกระเป๋า กะพริบตาปริบๆพูดว่า “โชคดีที่ฉันมีสำรอง”
เย่เนี่ยนโม่มองโทรศัพท์มือถือที่เหมือนกับเครื่องที่ถูกทุบจนพัง แปลกใจเล็กน้อย “โทรศัพท์มือถือของคุณนี่น่าจะใกล้เลิกผลิตแล้ว”
เธอพยักหน้าอย่างเสียดาย ลูบโทรศัพท์มือถือในมือพูดว่า “นั่นเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกที่แม่ให้ฉัน ต่อมาฉันหาเงินได้ ก็ซื้อรุ่นนั้นมาตลอด”
เธอยังไม่ทันได้เสียใจ ซากโทรศัพท์มือถือในมือก็ถูกเขาแย่งไปแล้ว มือใหญ่ของเย่เนี่ยนโม่คว้าจากมือเธอขึ้นมา เอาซากโทรศัพท์มือถือโยนทิ้งไป จากนั้นก็มองไม่เห็นแม้แต่เงา
“อะไรที่ควรลืมก็ต้องลืม” เขาพูดเบาๆ
ทั้งสองคนไปค้นหาตามสถานที่ที่ไห่โจ๋ซวนอาจจะไป ถึงขั้นไปที่บ้านตระกูลหลินมาแล้ว หลินหลิงสภาพจิตใจย่ำแย่มาก ได้ยินก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยขอบตาแดงก่ำ
เวลาพลบค่ำ รถยนต์จอดด้านหน้าเขื่อน พื้นผิวที่เปล่งประกายของผิวน้ำนั้นตัดกับสีเหลืองที่ลับหายไปบนเส้นขอบฟ้า
“ทำยังไงดี” ติงยียีมองผิวน้ำอย่างเศร้าหมอง เย่เนี่ยนโม่พิงหน้าต่างรถ สายตามองไปยังเขื่อนที่อยู่ไม่ไกลนัก พ่อลูกคู่หนึ่งกำลังตกปลาอยู่ ลูกชายดูเหมือนจะมีความอดทนไม่พอ ขยับไปมาตลอดเวลา ถูกผู้ชายที่อยู่ข้างๆตำหนิเล็กน้อย จึงได้นั่งเรียบร้อยได้
“ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน” เย่เนี่ยนโม่สตาร์ทรถยนต์อีกครั้ง รถยนต์พุ่งทะยานไปราวกับจรวด
ในสุสาน ลมหนาวยิ่งหนาวเย็นขึ้น กิ่งไม้ใบหญ้าก็ยิ่งเหี่ยวแห้ง สัมผัสได้ถึงความตายของชีวิตอย่างแท้จริง เป็นสถานที่แห่งความสิ้นหวังและหมดโอกาสที่สุด
หลุมฝังศพแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นบนทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า พวกเขานอนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิฤดูร้อนฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว นกฮูกตัวหนึ่งกระโดดจากหลุมฝังศพหนึ่งไปอีกหลุมหนึ่งอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีฟ้ามองไปยังสองคนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
เย่เนี่ยนโม่จามหนึ่งครั้ง กระชับเสื้อคลุมบนตัวให้แน่นขึ้น ความอบอุ่นสุดท้ายจากแสงอาทิตย์ออกจากร่างเธอไป
ไห่โจ๋ซวนที่อยู่หน้าป้ายหลุมศพไม่ขยับเขยื้อนมาตลอดหันกลับมา บนใบหน้ามีแต่ความเฉยเมย “เธอกลับไปเถอะ”
“ฉันไม่ไป!” เย่ชูฉิงรีบมายืนข้างๆเขาแสดงเจตนารมณ์ของตนเอง ไห่โจ๋ซวนขมวดคิ้วเบาๆ หันกลับไปมองป้ายบนหลุมฝังศพต่อ
คนที่อยู่ในรูปยังคงสง่างาม มีเพียงคนที่ยืนอยู่ที่นี่ หัวใจของเขาจึงได้สงบลงชั่วคราว ไม่ต้องตายทั้งเป็นอย่างนั้น
เวลานี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เย่ชูฉิงรีบรับสาย “ยี่ซวน!”
ปลายสายนั้นดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง เย่ชูฉิงพูดเบาๆว่า “ขอโทษด้วยนะฉันยังไม่กลับไปฝรั่งเศสชั่วคราว ขอโทษด้วยนะ! ฉันจะดูแลตัวเองอย่างดี!”
หลังจากวางสายแล้ว เย่ชูฉิงก็มองไปทางหลุมศพด้วยความรู้สึกผิด เมื่อครู่เธอรับสายไม่แน่ว่าอาจจะไปรบกวนคุณลุงไห่แล้วก็ได้
“คนน่าสงสารอีกคนหนึ่งแล้ว” ไห่โจ๋ซวนพูดกับหลุมศพ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ
เย่ชูฉิงได้ยินไม่ชัด ถามอย่างสงสัยว่า “พี่โจ๋ซวน พี่พูดว่าอะไรนะ”
“พี่บอกว่า” จู่ๆเขาก็หันหน้ามา พูดทีละคำ “หลี่ยี่ซวนชอบเธอมาตลอดเธอไม่รู้เหรอ!”
“เป็นไปได้ยังไงคะ! เขาสนับสนุนให้ฉันจีบพี่มาตลอด” เย่ชูฉิงพูดจบก็รู้สึกว่าตนเองพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งมากเกินไป จึงรีบละสายตามองไปทางอื่น
ไห่โจ๋ซวนกำลังจะพูด พลันสายตาก็มองเห็นรถยนต์ที่ขับมาอยู่ไม่ไกลนัก เขาลุกขึ้นมองไปยังคนสองคนที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย
เย่ชูฉิงร้องอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย “พี่!”
เย่เนี่ยนโม่กวาดสายตามองเย่ชูฉิง หมัดหนึ่งต่อยไปที่ใต้คางเขา พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หมัดนี้สำหรับน้าหลิน แกรู้มั้ยว่าเธอร้องไห้มากี่วันแล้ว”
ไห่โจ๋ซวนลุกขึ้นจ้องมองเขา ไม่นานก็ถูกต่อยเข้าที่ท้องอีกหมัด “หมัดนี้สำหรับแม่ฉัน แกรู้มั้ยว่าเธอเป็นห่วงแกจนแทบจะบ้า โทษตัวเองมากขนาดไหน!”
พอสิ้นเสียงไห่โจ๋ซวนก็ถูกต่อยที่ท้องอีกหมัด “นี่สำหรับชูฉิง เพราะเหตุผลบ้าๆนั่น แกทำให้เธอต้องเสียใจมาหลายสิบปี”
“สุดท้าย! หมัดนี้สำหรับติงยียี ที่ทำให้เธอต้องเสียใจนานขนาดนั้น!” เย่เนี่ยนโม่ยื่นหมัดออกมา แต่กลับต่อยไปที่หน้าอกตนเองอย่างดื้อๆ
“พี่! พี่โจ๋ซวน!” เย่ชูฉิงร้องไห้พลางคิดจะเดินเข้าไป ติงยียีขวางเธอเอาไว้ส่ายหน้าเงียบๆ นี้เป็นวิธีเรียกความเป็นเพื่อนกลับคืนมา ของพวกเขาโดยเฉพาะ
ผู้ชายทั้งสองคนตรงนั้นต่างก็พากันหอบหายใจ ไห่โจ๋ซวนใช้มือพยุงป้ายที่หลุมศพอย่างยากลำบาก ทันใดนั้นก็ตะคอกพร้อมต่อยไปที่เย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้หลบหลีก ใบหน้าถูกหมัดกระแทกใส่อย่างแรง เขาคลำริมฝีปากที่ฉีกขาด พูดอย่างเย็นชาว่า “ต่อยมาอีกสิ”
ไห่โจ๋ซวนปล่อยหมัดอย่างโมโห เสียงการชนกระแทกกันของกล้ามเนื้อที่ดังมากพอจะพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองคนได้ออกแรงอย่างเต็มที่
ความมืดยามค่ำคืนคืบคลานมา ดวงดาวบนท้องฟ้าสว่างไสว หญ้าบนพื้นมีน้ำค้างอยู่ด้วย ผู้ชายสองคนยืนอยู่คนละข้าง เย่ชูฉิงร้องไห้พลางใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปากให้ไห่โจ๋ซวน
เย่เนี่ยนโม่ยืนขึ้นมาอย่างโซเซ มองไห่โจ๋ซวนอย่างเยือกเย็นพูดว่า “ศูนย์การค้าสากลได้ได้กลับมาก่อสร้างเหมือนเดิม”
ไห่โจ๋ซวนก้มหน้า ผมหน้าม้าปกปิดดวงตาเอาไว้ มองเห็นสีหน้าไม่ชัด ร่างเย่เนี่ยนโม่เซถลา ติงยียีรีบเข้าไปประคองเขาไว้
เขาได้โอกาสโอบรอบเอวเธอ เกินไปสองสามก้าว ทันใดนั้นก็หันกลับมา มุมปากที่ฉีกขาดยังคงฉีกยิ้มกว้าง “เฮ้ย! ประโยคสุดท้าย ฉันไม่อยากยกติงยียีให้แกแล้ว เธอเป็นของฉัน”
เย่เนี่ยนโม่จากไปแล้ว ไปพร้อมกับบาดแผลเต็มตัว ยามค่ำภายในโรงแรม เย่ชูฉิงนอนพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายมาก มุมปากเหมือนกำลังบ่นพึมพำอะไรอยู่ตลอดเวลา
ไห่โจ๋ซวนนั่งอยู่บนพื้นข้างหน้าต่าง ใบหน้าเขาซ่อนอยู่ตรงหัวเตียงที่ไฟส่องไปไม่ถึง เย่ชูฉิงพลิกตัวอีกครั้ง ขมวดคิ้ว
เขายื่นมือออกมา นิ้วนางสัมผัสเธอเบาๆ การสัมผัสกันของหว่างนิ้วแฝงด้วยความทรงจำที่เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นิ้วนางเย่ชูฉิงขยับเล็กน้อย ความวิตกกังวลบนใบหน้าสงบลง ค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทราที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น
เขาปล่อยนิ้วมือออก มองเธออย่างลึกซึ้ง ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง เช้ามืด บนถนนเหลือเพียงวัยรุ่นที่ท่องเที่ยวในยามราตรี