หญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีขาวกวักมือเรียกเขาอยู่ไม่ไกล เขาขมวดคิ้ว ก้าวยาวๆไปอยู่ตรงหน้าติงยียี มือข้างหนึ่งจับมือเธอมาถูๆในฝ่ามือ
“ทำไมไม่ใส่ถุงมือกับที่ครอบหู!” เขาเอามือติงยียีที่ถูกจนร้อนมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตนเอง จากนั้นยื่นมือไปครอบหูที่เย็นเฉียบจนแดงก่ำเหมือนกัน
ติงยียียืนอยู่ ได้แต่มองหน้าอกของเขา เธอจ้องเขม็งไปที่ผ้าพันคอเขา แต่วินาทีต่อมา ผ้าพันคอก็มาพันอยู่ที่คอของเธอแล้ว
ผ้าพันคอยาวเกินไป ทั้งหน้าเธอถูกผ้าพันคอลายตารางคลุมจนแทบมิด เธอกะพริบตาปริบๆ “แล้วคุณทำยังไง”
“ผมไม่หนาว” เย่เนี่ยนโม่ถอดถุงมือของตัวเองแล้วเอาไปใส่ให้กับเธอ ติงยียีดึงมือถอยไปข้างหลังไม่ยอมให้ความร่วมมือ
“อย่าดื้อ” เขาดุเบาๆ ดึงมือเล็กๆเธอมาสวมถุงมือเข้าไป เห็นได้ชัดว่าถุงมือนั้นใหญ่มากจนดูตลก เขากลับเอาแขนเสื้อยัดเข้าไปในถุงมืออย่างเอาจริงเอาจัง
พอมาถึงมืออีกข้างหนึ่ง ติงยียีรีบสอดมือซ้ายที่สวมถุงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทอุ่นๆของเขาอย่างรวดเร็ว พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ฉันฉลาดมากเลยสินะ แบบนี้พวกเราต่างก็มีถุงมือแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม ใส่ถุงมือข้างซ้าย มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทจับมือสัมผัสมือเรียวนุ่มเอาไว้
“เมื่อวานคุณไม่ได้จะมีเรื่องบอกกับผมเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆเอียงคอหันไปมองเธอ เสียงยังคงเรียบๆ แต่แววตากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ติงยียีมองเกล็ดหิมะหล่นลงบนคิ้วที่ดกหนาและขนตางอนของเขา เขากะพริบตา เกล็ดหิมะดูเหมือนจะต้านไว้ไม่อยู่ร่วงลงมา จากนั้นก็หล่นลงบนเสื้อโค้ท แล้วซึมเข้าไปในเนื้อผ้า
เธอได้ยินเสียงตนเองที่ฟังดูตลกเล็กน้อยภายใต้ผ้าพันคอ “เย่เนี่ยนโม่ ทรัพย์สมบัติของบ้านคุณตกลงว่ามีเท่าไหร่กันแน่”
เธอไม่ได้กะพริบตา อยากให้ตนเองดูดุดันหน่อย ผู้ชายตรงหน้าได้แต่แปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเธอก็รู้สึกว่ามือที่ถูกห่อไว้ด้วยความอบอุ่นนั้นถูกจับแน่นยิ่งขึ้น
“ปัญหานี้จะว่าไปแล้วค่อนข้างยุ่งยาก แต่ผมจะพยายามเต็มที่” เย่เนี่ยนโม่ยิ้มพลางเดินไปสองก้าว
“ไปไหนคะ” ติงยียีรีบเดินตามเข้าไป เย่เนี่ยนโม่หันมองอย่างแปลกๆ “ไม่ใช่ว่าอยากเห็นทรัพย์สมบัติของบ้านผมเหรอ เดินไปคงดูไม่หมด”
รถยนต์ขับไปตลอดเส้นทาง จอดในพื้นที่คฤหาสน์หลังหนึ่ง ติงยียีตามมาข้างเย่เนี่ยนโม่ มองคนที่สวมชุดพนักงานสีเขียวที่เดินผ่านทักทายเขาไม่หยุด
ทั้งสองคนวนไปหนึ่งรอบ ในที่สุดติงยียีก็อดถามออกมาไม่ได้ “คุณมีอสังหาริมทรัพย์ที่นี่เหรอ”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม “ที่คุณเห็นทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นของบริษัทเย่ซื่อ”
ติงยียีตกใจมาก กำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ไม่ไกลนักก็มีผู้ชายสวมสูทคนหนึ่งวิ่งมา
“คุณชายเย่ครับ” หลังจากชายหนุ่มทักทายกับเย่เนี่ยนโม่แล้วสายตาก็มองมาที่ติงยียี คุณชายเย่ไม่เคยพาผู้หญิงมาที่นี่มาก่อนและความสัมพันธ์กับพวกเขาก็ดูสนิทสนมกันมาก คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยปากอย่างระมัดระวังว่า “คุณนายเย่”
ติงยียีอยากจะอธิบาย ที่ฝ่ามือรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย หันข้างไปดู เย่เนี่ยนโม่มองเธอด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนเดินอยู่ภายในเขตคฤหาสน์ตามใจชอบ เพราะว่าเมืองตงเจียงเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ในเขตคฤหาสน์จึงมีคนไม่มาก ผู้ชายที่สวมชุดสูทสีดำเดินตามหลังพวกเขาสองคน
วนหนึ่งรอบ เย่เนี่ยนโม่เดินไปทางที่จอดรถ ติงยียีไล่ตามฝีเท้าเขาไป “ต่อไปจะไปไหนคะ”
เย่เนี่ยนโม่เอี้ยวตัวไปช่วยเธอรัดเข็มขัดนิรภัย ถอยรถไปพลางพูดเรียบไปพลางว่า “ตอนนี้ถ้ารีบก็ยังกินอาหารเย็นทัน”
เป็นครั้งแรกที่ติงยียีรู้ว่า ที่แท้บริษัทเย่ซื่อก็มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่มักจะเห็นในโทรทัศน์ก็เป็นการออกแบบและเปิดตัวโดยบริษัทในเครือของบริษัทเย่ซื่อ
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่า บริษัทในเครือของบริษัทเย่ซื่อเมื่อนับรวมกันแล้วเกือบสิบแห่ง และก็เป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่าเงินหลายสิบล้านสำหรับบริษัทเย่ซื่อแล้วเป็นเรื่องง่ายเหมือนจามเท่านั้นเอง
มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านในร้านค้า พวกเขากลับมาที่จัตุรัสอีกครั้ง ติงยียีดึงมือเขาแล้วจู่ๆก็พูดขึ้นว่า “ฉันขึ้นไปดูข้างบนได้มั้ย”
เย่เนี่ยนโม่มองไปตามสายตาเธอแหงนหน้ามองไป ขมวดคิ้วพูดว่า “คุณไม่ได้กลัวความสูงเหรอ”
เธอส่ายหน้า จับมือเขาแน่น “มีคุณอยู่ด้วย ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
บนลิฟต์ที่กำลังพุ่งขึ้นด้านบน ติงยียีที่สวมหมวกนิรภัยตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ มือที่จับเย่เนี่ยนโม่อยู่จับแน่นจนตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว
เย่เนี่ยนโม่ตัดสินใจลากเธอเดินกลับไปอย่างเด็ดขาด ติงยียีกลับดิ้นหลุดจากมือเขาวิ่งไปทางดาดฟ้า บนยอดของศูนย์การค้าสากลเป็นทรงกลม ที่นี่ยังสามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมืองตงเจียง ติงยียีรู้ว่านั่นก็คือบริษัทเย่ซื่อ
“ศูนย์การค้าสากลในบรรดาทรัพย์สมบัติของบ้านคุณถือว่าค่อนข้างสำคัญมากอย่างหนึ่งใช่มั้ย” ติงยียีหันหน้ามา เกล็ดหิมะตกลงบนริมฝีปากเธอ เธอแลบลิ้นออกมาเอาเกล็ดหิมะนั้นเข้าไปในปาก สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ปลายลิ้น
สายตาเย่เนี่ยนโม่มืดหม่นลง สะกดกลั้นความบุ่มบ่ามอยากจะจูบเธอ เขามองไปไกลๆ เสียงไม่ใกล้ไม่ไกลท่ามกลางสายฝน “จะยังไงก็ตามต่อไปทั้งหมดก็เป็นของคุณ”
เขาพูดอะไรติงยียีได้ยินไม่ชัด ความคิดของเธอทั้งหมดอยู่ที่ใต้เท้าของเธอ ขอแค่เธอจ้องมองไปที่เท้าตนเองตลอดเวลา จึงจะไม่รู้สึกว่าพื้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านั้นไม่ได้โคลงเคลงขนาดนั้น
ทันใดนั้น คางของเธอก็ถูกเชิดขึ้น ถุงมือหนังสัมผัสกับคาง ทำให้เกิดการเสียดสี เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองดูดวงตาโตที่อยู่ตรงหน้าเธอ ไม่มีการดิ้นรนขัดขืน
เย่เนี่ยนโม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความอดทนของตนเองจะเปราะบางขนาดนี้ การกระทำโดยไม่รู้ตัวของอีกฝ่ายทำให้เขาเกิดความรู้สึกวู่วามที่จะจูบเธออย่างมาก
เกล็ดหิมะตกลงมาบนปลายจมูกของติงยียี เธอตัวสั่น เย่เนี่ยนโม่ยิ้มค่อยๆดึงออกไป หน้าผากกลับชนกับหน้าผากเธอเบาๆ ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ผมอยากได้ยินสิ่งที่คุณอยากจะบอกผมวันนี้”
ติงยียีหลุบสายตา สามคำนั้นถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านับไม่ถ้วน ตอนนี้กลับพูดไม่ออก
“ผมรักคุณ” เสียงเบาๆล่องลอยตามอากาศเข้าไปในหูที่ไม่ทันได้ตั้งตัวของเธอ เธออยากจะหนี แต่กลับถูกเย่เนี่ยนโม่กอดแน่นยิ่งขึ้น
“ติงยียี ผมรักคุณ” เย่เนี่ยนโม่โอบเธอเอาไว้เบาๆ ราวกับโอบทรัพย์สมบัติ เวลาผ่านไปช้าๆ ร่างในอ้อมกอดที่เพิ่งได้รับความอบอุ่นจากตนเองกลับค่อยๆดึงตัวออกไป
ติงยียีถอยหลังไปสองสามก้าว ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง ลมหอบเอาเกล็ดหิมะหมุนวนไปในช่องว่างระหว่างพวกเขาสองคน เธอพูดเบาๆว่า “เย่เนี่ยนโม่ ตั้งแต่นี้ต่อไปฉันต้องการให้คุณเลิกติดต่อกับอ้าวเสว่ ไม่พบกับเธออีกตลอดไป
เย่เนี่ยนโม่ได้ฟังก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ผมคิดว่าผมเคยบอกกับคุณชัดเจนดีแล้วนะ”
หลังจากหนีออกมาจากกระเป๋าอุ่นๆติงยียีขดตัวอย่างกระสับกระส่ายมือเปลี่ยนเป็นเยือกอย่างรวดเร็ว พูดอย่างรำคาญว่า “ฉันไม่อยากเจอเธออีก ถ้าคุณอยากอยู่กับฉัน ก็เลือกเธอไม่ได้”
“ผมเคยบอกแล้ว เธอเป็นความรับผิดชอบของผม เพราะผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอถูกรังแก” เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างไม่เข้าในเล็กน้อย มองเห็นเกล็ดหิมะร่วงหล่นบนไหล่ที่แข็งทื่อของเธอ ราวกับว่าวินาทีต่อไปก็จะเอาตัวเธอไปจากเขา
หัวใจเขากระตุก อยากจะยื่นมือไปจับเธอ แต่กลับจับได้เพียงความว่างเปล่า มือของเขายังค้างอยู่กลางอากาศ “มานี่”
ติงยียีส่ายหน้าถอยหลังไปไม่หยุด ในใจกลับรู้แปลกใจในตัวเอง ที่แท้ตัวเองก็สามารถเดินบนที่สูงขนาดนี้ได้เหมือนกับเดินบนพื้นปกติ
ในตอนแรกสิ่งที่ฉันอยากได้คือทรัพย์สินของตระกูลเย่ของพวกคุณ มีเธอมาขัดขวางแผนการของฉันเป็นอุปสรรคที่จะเข้าสู่ตระกูลเย่ “เธอแข็งทื่อไปทั้งตัว เหมือนกับเอาคำพูดที่ท่องจำวนเวียนอยู่ในใจอยู่นานพูดออกมา
ความสุขที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการจดจำใครสักคน เธอจะเห็นแก่ตัวแบบนั้นไม่ได้ เย่เนี่ยนโม่มีทุกอย่าง ไม่มีเธอก็ไม่เป็นอะไร แต่พ่อเหลือเพียงแค่เธอ เธอจะทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานขนาดนั้นได้อย่างไร
เย่เนี่ยนโม่มองใบหน้าที่ทุกข์ทรมานของเธอ เขาไม่เชื่อทุกคำที่เธอพูด แต่หัวใจของเขาเจ็บปวดมาก “ถ้าคุณอยากได้ของพวกนั้น ผมให้คุณทั้งหมด”
ติงยียีมองเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี “ทนายหวาง ผมอยากรบกวนคุณให้ทำบัญชีทรัพย์สินของผมตอนนี้···”
เขาปล่อยให้เธอแย่งโทรศัพท์มือถือตนเองไป มีเสียงสอบถามของทนายหวางดังมาจากในโทรศัพท์ ติงยียีกุมโทรศัพท์มือถือไว้ทรุดตัวลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เธอไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เธอรู้เขาไม่มีทางเชื่อ เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ!
เสียงที่แฝงด้วยความหมดหนทางดังขึ้น “ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเราละทิ้งทุกอย่าง เดินต่อไปด้วยกันดีๆได้มั้ย” ร่างถูกโอบกอดอีกครั้งในอ้อมอกที่กว้างและอบอุ่น
สองมือของเธอยกขึ้นอย่างสั่นเทา มองเห็นเขาก็อยากจะโอบรอบเอวเขา คำว่าฉันเต็มใจคำนั้นก็เกือบพลั้งปากพูดออกมา แต่เธอกลับละทิ้งมันลงกลางทาง
นัยน์ตาเย่เนี่ยนโม่ลึกล้ำ ถอยหลังหนึ่งก้าว สัมผัสได้ว่าจู่ๆเธอก็ตื่นตระหนก เขาฝืนตัวเองที่จะวู่วามไปเอาตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอดใหม่อีกครั้ง
เขายื่นมือออกไปหาเธอ “ดึงมือผมเอาไว้ บอกผมว่าคุณอยากอยู่กับผมอย่างไม่หวั่นไหว”
เกล็ดหิมะร่วงหล่นบนฝ่ามือเขา นอนอยู่นิ่งๆ ติงยียีจ้องมองฝ่ามือเขาเขม็ง จนลืมกะพริบตา ลืมเวลา
เย่เนี่ยนโม่ยืนตระหง่านราวกับประติมากรรม มือยังคงยื่นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ตามเวลาที่ผ่านไป หัวใจของเขาก็หนาวเย็นลงเรื่อยๆ
“เย่เนี่ยนโม่ พวกเราใจเย็นกันก่อนเถอะ อาจจะมีสักวันหนึ่งที่พวกเราพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งเดียวในชีวิตของเรา ถึงเวลาก็จะสามารถเลิกกันได้อย่างสงบสุข” ติงยียีก้มหน้าพูดสะเปะสะปะไร้ทิศทาง โดยไม่รอให้เย่เนี่ยนโม่พูดโต้ก็พุ่งตัวผ่านเขาไป ไปที่ลิฟต์ด้วยความยากลำบาก
เย่เนี่ยนโม่ยืนนิ่งไม่ขยับ ฟังเสียงเอี๊ยดอาดของลิฟต์ หิมะยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเกล็ดหิมะก็ก่อตัวเป็นกองหนาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
เขาค่อยๆดึงมือกลับ กุมฝ่ามือที่หนาวเย็นไว้ ถอนหายใจเบาๆ ลมหายใจสีขาวออกมาพร้อมกับการเผยอริมฝีปากลอยละล่องในอากาศ จากนั้นก็หายไป
ติงยียีออกมาจากลิฟต์อย่างหมดสภาพ ขาอ่อนแรงจนแทบจะทรุดนั่งลงตรงนั้น เธอดิ้นรนที่จะเดินไปข้างหน้า คนงานที่เดินไปเดินมามองเธออย่างแปลกใจ
ความคิดของเธอว่างเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศโปร่งแสงที่หายใจออกจากโพรงจมูกของเธอตลอดเวลา เธอคงเกือบลืมไปว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ได้ช่วยชีวิตเธอไว้จากความสับสนวุ่นวายในหัว ในที่สุดเธอก็มีบางอย่างให้เธอทำ
เธอรับสายกระตือรือร้น “ฮัลโหล”
“ยียี ผมเอง” เสียงไห่โจ๋ซวนชัดเจนอย่างยิ่ง