“ขอบคุณเสื้อโค้ทของคุณด้วย”
“ไม่ต้องเกรงใจ”
ความเงียบงันที่น่ากลัวเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน ราวกับว่าเสียงฝนที่หยดอยู่นอกหน้าต่างดังยิ่งขึ้น พัดพาลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นยะเยือก
ติงยียีรีบพูดขึ้นว่า “เสื้อโค้ทซักแล้วจะคืนให้คุณนะคะ ลาก่อน!”
โทรศัพท์ถูกวางสายทันที เย่เนี่ยนโม่ถือโทรศัพท์มือถือใจลอยเล็กน้อย เย่เนี่ยนโม่เดินมาตรงหน้าเขา “คุณอ้าวเสว่โวยวายต้องการจะพบคุณ”
ภายในห้องผู้ป่วย อ้าวเสว่นอนอยู่บนเตียง มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะ บนตัวมีรอยฟกช้ำดำเขียวมากมาย น่ากลัวอย่างยิ่ง
Bakerวางแลปท็อปที่ว่างเปล่าลงพูดอย่างดุดันว่า “คุณอ้าวเสว่ หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับงานของพวกเรานะครับ”
พออ้าวเสว่มองเห็นเย่เนี่ยนโม่สีหน้าก็ตื่นตัวขึ้นมา “เนี่ยนโม่ รีบให้เขาออกไป ฉันไม่อยากพูด!”
เย่เนี่ยนโม่ส่งสายให้Baker Bakerถอนหายใจแล้วเดินจากไป อ้าวเสว่ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาร้องไห้อย๋างเสียใจ
“เสี่ยวเสว่!” สวีเห้าเซิงพุ่งเข้ามาในห้อง หลังจากมองเห็นสภาพย่ำแย่ของเสี่ยวเสว่นี่เป็นเรื่องน่าตกใจที่เขาคาดไม่ถึงเลย
“พ่อ” อ้าวเสว่มองเขาน้ำตาซึม สีหน้าที่เศร้าหมองทำให้หัวใจของสวีเห้าเซิงเจ็บปวดขึ้นมาก
ตรงทางเดินระเบียง Bakerสูดควันบุหรี่ฟอดสุดท้ายเสร็จ ก็หันหน้ามาพูดกับเย่เนี่ยนโม่ที่เดินมา “ช่างน่าแปลกประหลาด”
เย่เนี่ยนโม่มองเขา แสดงความหมายให้เขาพูดต่อไป เขาพูดต่อไปว่า “ดูจากตัวอย่างในตอนแรก ถ้าคนที่ลงมือเป็นคนเดียวกัน อย่างนั้นทำไมถึงมีแค่อ้าวเสว่คนเดียวที่ได้รับการทำร้ายร่างกายทั้งยังถูกทุบตี นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ”
“เธอไปที่ไซต์ก่อสร้างคนเดียวเพราะอยากจะล่อคนร้ายคนนั้นออกมาเพื่อผม” สีหน้าเย่เนี่ยนโม่สลดหดหู่เล็กน้อย
“เย่เนี่ยนโม่!” มีเสียงตะโกนเรียกด้านหลังเขา เขาหันไป รับฝ่ามือที่ฟาดมาของสวีเห้าเซิงอย่างสงบนิ่ง
สวีเห้าเซิงโกรธจนตัวสั่น “แม้ว่านายจะไม่ได้ชอบเสี่ยวเสว่ แต่ก็ไม่ควรให้เธอไปทำเรื่องอันตรายแบบนี้!”
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้โต้เถียง มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากระเบียงทางเดิน เย่เชินหลิน เซี่ยชีหรั่นและไห่โจ๋ซวนสามคนรีบเดินมา
เซี่ยชีหรั่นวิ่งเข้าไปในห้องผู้ป่วยด้วยน้ำตาเอ่อนอง เย่เชินหลินเดินมาข้างๆเย่เนี่ยนโม่ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ยื่นมือออกมาก็ชกออกไปหนึ่งหมัด
เย่เนี่ยนโม่ถูกต่อยจนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เขาเองก็ไม่คิดที่จะตอบโต้ แต่ละครั้งที่ถูกต่อยจนลงไปหมอบอยู่ที่พื้นก็ลุกยืนขึ้นมา ไม่นานบนตัวก็มีรอยฟกช้ำดำเขียว
Bakerที่มองอยู่ข้างๆ เย่เชินหลินมือหนักจริงๆ ถ้าต่อยต่อไปแม้แต่ชีวิตเย่เนี่ยนโม่ก็อาจจะไม่เหลือ
“พอแล้ว!” เขาโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อสกัดหมัดของเย่เชินหลิน เย่เชินหลินพูดกับเย่เนี่ยนโม่อย่างเยือกเย็นว่า “ฉันผิดหวังในตัวแกมาก”
ไห่โจ๋ซวนตบหลังปลอบเย่เนี่ยนโม่อย่างเห็นใจ เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นผลักเขาออก เดินออกไปข้างนอกเพียงลำพัง ไห่โจ๋ซวนตามไปสองสามก้าว มองแผ่นหลังของเขา เผยให้เห็นรอยยิ้มออกมา
บ้านตระกูลติง
ติงยียีตบโต๊ะด้วยความโกรธแล้วลุกขึ้นยืน “ถ่ายโฆษณาให้บริษัทอาหารที่เป็นบริษัทลูกของเย่ซื่อเหรอ”
ชิวไป๋มองการตกแต่งบ้านตระกูลติงอย่างดูถูก “ทำไมไม่พักอยู่ที่คอนโดที่บริษัทเช่าให้เธอ คงไม่มีใครคาดคิดว่าดาราหน้าใหม่ที่กำลังโด่งดังอย่างมากในแวดวงโฆษณาอยู่ในตอนนี้ และจะไปเดินแฟชั่นโชว์ที่ปารีสจะพักอยู่ในบ้านที่เก่าซอมซ่อและคับแคบแบบนี้”
ติงยียีเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่พอใจ คว้าข้อมือเธอแล้วถามว่า “คุณพูดจริงเหรอ โฆษณานี้บริษัทรับมาแล้วเหรอ” นับตั้งแต่วันนั้น เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่มาปรากฏตัวในสายตาเธออีกเลย เธอโทรไปหลายครั้งก็เป็นเย่ป๋อที่รับสาย
ชิวไป๋ถอนหายใจ “ฉันไม่ได้อยากจะช่วยเธอรับมากนักหรอกนะ ในเมื่อช่วงนี้มักจะข่าวไม่ดีของบริษัทเย่ซื่อออกมาไม่หยุดได้ยินว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำร้ายที่ศูนย์การค้าสากล ครั้งนี้ยิ่งรุนแรง แม้แต่ความบริสุทธิ์ก็ไม่เหลือแล้ว ต่อให้ไม่ได้มีข่าวออกมา แต่ก็ถูกโจษจันกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว”
ติงยียีเป็นห่วงเย่เนี่ยนโม่มาก เธอรู้จักเขาดี ถ้ามีปัญหาแล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่จัดการแก้ไขได้ยากมากจริงๆ
“ฉันรับค่ะ!” ติงยียีพูดกับชิวไป๋ด้วยแววตาหนักแน่น
ชิวไป๋มองเธอ ใบหน้าที่หล่อเหลาของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจอีก ถอนหายใจแล้วเขียนเครื่องหมายถูกลงในตารางการทำงานอีกครั้ง
รถตู้อเนกประสงค์ขับมาที่บริษัทเย่ซื่อ ถุงในมือใส่เสื้อโค้ทของเย่เนี่ยนโม่ แบบนี้ก็มีเหตุผลที่จะมาพบเขาได้แล้ว
ในห้องทำงาน ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และ ชิวไป๋ กำลังโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับปัญหาในการถ่ายทำ ติงยียีก็แอบหนีออกมา
เดินตรงดิ่งไปยังชั้นที่คุ้นเคย เลขาจำเธอได้ “สวัสดีครับ ผู้จัดการใหญ่ไม่อยู่ครับ”
ติงยียีผิดหวังเล็กน้อย เอาของในถุงส่งให้เขา “อย่างนั้นรบกวนคุณช่วยเอาเสื้อตัวนี้ให้เขา จากนั้นช่วยขอบคุณเขาแทนฉันด้วยนะคะ”
เลขายิ้มพลางตอบรับ เธอหมุนตัวไปอย่างผิดหวัง ด้านหลังมีเสียงดังมาด้วยความดีใจ “คุณยียี”
เธอหันมา “เย่ป๋อ”
เย่ป๋อและเธอเดินเคียงคู่กันไปที่ลิฟต์ ติงยียีถามอย่างสงสัยว่า “เขาสบายดีมั้ย”
เย่ป๋อช่วยเธอกดลิฟต์ พลางพูดกับเธอว่า “คุณชายเฝ้าคุณอ้าวเสว่อยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
ติงยียีเงยหน้าขึ้นทันที จากนั้นก็กลบเกลื่อนด้วยการหันไปมองทางอื่น ยิ้มอย่างเขินๆ ที่แท้เธอมันก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง อุตส่าห์เป็นห่วงเขา ดูท่าแล้วเองทั้งหมดก็อยู่ในการควบคุมบงการของเขาสินะ
เย่ป๋อมองสีหน้าหม่นหมองก็รีบพูดว่า “คุณอ้าวเสว่เกิดเรื่องนิดหน่อย สาเหตุมาจากคุณชาย ดังนั้นคุณชายจึงไม่สามารถเพิกเฉยได้ครับ”
พอเขาบอกแบบนี้ติงยียีก็เชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ไซต์งานก่อสร้างได้ เย่ป๋อพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยืนยันในการคาดเดาของเธอ
เธอถอยไปด้านหลังหลายก้าวอย่างต่อเนื่อง พิงเข้ากับผนังจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ เสียงดังกังวานของลิฟต์ทำให้เธอตั้งสติได้ทันที เธอรีบเข้าไปในลิฟต์
ประตูลิฟต์ปิด แล้วก็เปิดขึ้นมาอีก เย่ป๋อกดปุ่มลิฟต์ พูดว่า “วันนี้ตอนกลางคืนคุณชายจะมาทำงานล่วงเวลาจนดึกมาก”
ประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้ง ติงยียียืนเหม่อลอยอยู่ในลิฟต์ที่ไม่มีใคร อย่างไรเสียอ้าวเสว่ก็เป็นพี่สาวเธอ เจอเรื่องแบบนี้อารมณ์คงจะไม่ดีแน่
ลิฟต์หยุดลง มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก มองเห็นว่าลิฟต์ส่วนตัวมีคนอยู่ สายตาเขาเผยให้เห็นความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ซ่อนเอาไว้
ติงยียีเองก็สังเกตเห็นผู้ชายคนนี้ แม้ว่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว แต่ด้วยชุดสูทที่หรูหราดูดีและรูปร่างที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่แผ่กระจายออกมา
เครื่องหน้าหล่อเหลาดูไม่ได้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะผมขาวสองสามเส้นที่จอนผม เธอแทบจะคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็น ——เย่เนี่ยนโม่!
“คุณชอบเย่เนี่ยนโม่เหรอ” จู่๐ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงแผ่วเบา ดังสะท้อนอยู่ภายในลิฟต์ที่ปิดสนิท
ติงยียียังคงจมดิ่งอยู่ในความคิดของตนเอง ได้ยินที่เขาถามก็พยักหน้าไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่ามุมปากของผู้ชายคนนั้นมีรอยยิ้มก็รีบจะอธิบาย “ฉันบอกว่าฉันแค่รู้จักกับเขาแค่นั้นค่ะ”
เขามองตรงไปที่ประตูลิฟต์ “การแบกรับความผิดไว้ไม่ได้หมายถึงความรัก การรักคนในครอบครัวไม่ได้หมายความต้องยอมถอยออกมา”
คำพูดของเขาทำให้ติงยียีตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว มีเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ภายในใจตลอด ผู้ชายคนนี้รู้เรื่องทุกอย่าง เขารู้ว่าตนเองรักเย่เนี่ยนโม่ แล้วก็รู้ด้วยว่าตนเองกับอ้าวเสว่เป็นพี่น้องแท้ๆ!
ประตูลิฟต์เปิดออก ผู้ชายคนนั้นกำลังเดินออกไป ติงยียีรีบกดลิฟต์ให้หยุดชั่วคราว ตะโกนถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณจะบอกฉันได้มั้ยคะว่าคุณชื่ออะไร”
ผู้ชายหันหน้ากลับมา แม้สีหน้าจะไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่ในแววตาแฝงด้วยความเข้าใจชัดเจน “คุณรู้ ไม่ใช่หรือ”
ประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้ง มือของติงยียีอ่อนแรงเกาะยึดที่จับไว้ ถ้าเธอเดาไม่ผิด คนนั้นที่แท้ก็คือเย่เชินหลิน ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของบริษัทเย่ซื่อ พ่อของเย่เนี่ยนโม่!
เวลาหนึ่งวันเต็มๆภายใต้การจัดตารางงานที่แน่นเอียด รวดเร็วมากอย่างน่าตกใจ ทำให้ติงยียีไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น
ถึงเวลากลางคืน รถตู้อเนกประสงค์คันหนึ่งที่ควรจะไปแล้วขับกลับมาที่ด้านหน้าของอาคารบริษัทเย่ซื่ออีกครั้ง ชิวไป๋นั่งอยู่บนเบาะคนขับพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ขอร้องละ งานวันนี้ก็หนักหน่วงมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้เธอควรจะกลับบ้านไปแช่น้ำอุ่น พร้อมกับให้ฉันได้กลับบ้านไปแช่น้ำอุ่นด้วย!”
ติงยียีมองเธออย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะตนเองขับรถไม่เป็น ตอนนี้ก็ยังเป็นบุคคลสาธารณะไปไหนตามใจชอบไม่ได้จึงได้แต่รบกวนเธอ “ขอโทษด้วยนะชิวไป๋ คุณรีบกลับไปเถอะ”
ชิวไป๋ถอนหายใจ ลงรถมาช่วยเธอดึงประตูเปิด “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกปาปารัสซี่ต่างก็บ้าคลั่งขึ้นมา ฉันตามไปปกป้องเธอแล้วกัน”
ติงยียีมองเธออย่างซาบซึ้ง ชิวไป๋ไม่ได้ถามว่าเธอมาที่บริษัทเย่ซื่อทำไม ทำไมถึงได้สนิทสนมกับผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเย่ซื่อขนาดนั้น สำหรับผู้จัดการส่วนตัว เรื่องที่ไม่ควรถามพวกเธอก็จะไม่ถามซักไซ้
ลิฟต์ตรงดิ่งขึ้นสู่ชั้นสูงสุด ที่นั่นเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมืองตงเจียง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั่วทั้งเมือง และยังเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองตงเจียงอีกด้วย
พอประตูลิฟต์เปิดออก ชิวไป๋ก็อึ้งไปเลย เธอตามหาผู้ชายคนนี้สองครั้ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันโดยบังเอิญในสถานการณ์แบบนี้
หลังจากแปลกใจแล้วในใจเธอก็หงุดหงิด เพื่อความสะดวก เธอจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกับรองเท้าส้นแบนบนรถ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนว่ากำลังไปซื้อกับข้าวที่ตลาด
“คุณยียี คุณชายอยู่ที่ห้องทำงานครับ” เย่ป๋อเองก็จำชิวไป๋ได้ และรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยกับสายตาที่เธอจงใจใช้มองตนเอง
ติงยียีพยักหน้า เดินไปทางห้องทำงานด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เย่ป๋อไม่ได้ตามไป หมุนตัวหันไปพูดกับชิวไป๋ว่า “พวกเขาเจอกันคงใช้เวลาสักพักถึงจะเสร็จ ไปดื่มกาแฟสักแก้วที่ชั้นล่างของบริษัทเย่ซื่อกันมั้ยครับ”
“ฉันเอาบัตรมาคืนคุณ” ชิวไป๋เอาบัตรคืนให้เขาอย่างเย็นชา ฉวยจังหวะที่ลิฟต์มาแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เธอรีบกดปุ่มลิฟต์อย่างว่องไว ใบหน้าขาวซีด เมื่อครู่เธอใช้น้ำเสียงที่เย็นชาขนาดนั้นเลย แย่แล้ว ครั้งนี้แย่แล้วจริงๆ!
วินาทีที่ประตูลิฟต์เตรียมจะปิดลงนั้นเองก็มีมือคู่หนึ่งยื่นเข้ามา เธอมองชายหนุ่มที่สวมชุดสูทเดินเข้ามาอย่างตกใจ
เย่ป๋อเห็นท่าทางอึ้งตะลึงของเธอก็รู้สึกตลกมาก เอาบัตรในมือยื่นออกไป “ที่คุณให้ผมคือบัตรฟิตเนส”
ชิวไป๋กล้าสาบานเลยว่าในชีวิตนี้ไม่เคยอับอายขนาดนั้นมาก่อน เธอรับบัตรมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงใบหู
เย่ป๋อมองเธอ จู่ๆก็พูดขึ้นว่า “คุณรังเกียจผมมากใช่หรือเปล่าครับ”
“เปล่าซะหน่อย!” เธอพูดเสียงดัง หลังจากมองเห็นสีหน้าท่าทางที่ตกใจเล็กน้อยของเขาก็ก้มหน้าอย่างท้อแท้ใจ เธอทำพังไปหมดแล้วจริงๆ!
ประตูลิฟต์เปิดออก เธอไม่ขยับเขยื้อน ภายในใจมีความเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเองก็มีมือมาจับที่ข้อมือเธอเอาไว้ เธอมองที่ร่างกำยำตรงหน้าอย่าตื่นตระหนก
เย่ป๋อดึงข้อมือเธอเดินออกมาจากลิฟต์ น้ำเสียงแฝงด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคุณไม่รังเกียจผม งั้นก็ไปดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วนะครับ”