เย่ป๋อเดินมาหยุดตรงหน้าทั้งสองคน หยิบถุงดำที่ชายชุดดำข้างกายส่งมาให้และส่งยิ้ม แต่ยิ้มนับกลับไม่แสดงออกที่ดวงตาของเขา “คุณชายของพวกเราเชิญครับ”
“อ้าย! อ้าย! น่าเบื่ออะไรขนาดนี้!”นี่เป็นครั้งที่สิบห้าแล้วที่ติงยียีตะโกนออกมา เธอนั้นอุดอู้อยู่แต่ในห้องมาเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงแล้ว บอดี้การ์ดที่ชุมชนพวกนั้นไม่ยอมให้เธอออกไป
โทรศัพท์ดังขึ้น เธอขมวดคิ้วขึ้นมา “ฮาโหล สวัสดีค่ะ”
“ไม่ทราบว่าใช่คุณติงยียีหรือเปล่าคะ? พวกเรามาจากหมากฝรั่งอันไนค่ะ อยากจะสอบถามว่าคุณมีความสนใจจะถ่ายโฆษณาหรือเปล่าคะ แน่นอนว่าค่าตอบแทนนั้นไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่สนใจถ่ายโฆษณาค่ะ และก็ไม่รับสัมภาษณ์เช่นเดียวกันค่ะ ขอบคุณมากค่ะ!”ติงยียีวางโทรศัพท์อย่างฉุนเฉียว เธอจำไม่ได้แล้วว่าวันนี้รับโทรศัพท์ติดต่อเธอถ่ายโฆษณามาแล้วกี่สาย
วิ่งตรงไปที่ระเบียงชั้นสอง เธอสูดหายใจเข้าไปลึกเต็มปอด ความอัดอั้นตันใจที่อยู่ในใจนั้นผ่อนคลายลงไปบ้าง ด้านล่างอาคารชายชุดดำสองคนยังคงลาดตระเวนอยู่ มีรถที่ไม่รู้จักจอดอยู่ด้านข้าง
ติงยียีมองไปยังหลังคารถ ในใจนั้นรู้สึกถึงความคุ้นเคยและใกล้ชิดปรากฏออกมาอย่างบอกไม่ถูก เธอนั่งอยู่ตรงระเบียงมองเหม่อลอยไปที่รถ
ภายในรถ เย่เนี่ยนโม่กำลังจ้องมองเธอ ในใจเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยที่มีให้กับเธอ เขาอยากที่จะพุ่งตรงออกไปปลอบโยนเธอ อยากที่จะอยู่ข้างกายเธอ แต่ว่าเขานั้นไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นอ้าวเสว่หรือว่าไห่โจ๋ซวนหรือว่าคนที่อยากจะทำร้ายเธอลับหลัง พวกนี้ทั้งหมดขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้เธอ
ภายในความมืดนิ้วของเขาค่อยๆกำแน่น อยู่ดีๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เขาปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมือที่กำแน่นของเขาค่อยๆคลายออก จึงจะรับโทรศัพท์ “ฮาโหล”
“คุณชาย นำคนกลับมาเรียบร้อยแล้ว”
ติงยียีที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนระเบียงมองไปที่รถยนต์ที่กำลังสตาร์ท ความสิ้นหวังภายในหัวใจที่ถูกซ่อนเร้นกลับปรากฏขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สายตาของเธอตามไปทางที่รถแล่นจากไป เท้าอดไม่ได้ที่จะขยับไปข้างหน้า ตรงเข้าไปจนกระทั่งถึงขอบระเบียง
บริษัทเย่ซื่อ
ห้องโถงใหญ่ที่ปกติแล้วจะเงียบไม่มีคนนั้นค่อยๆเปิดออก ผู้ชายที่สวมชุดสูทรองเท้าหนังเดินสาวเท้าก้าวเข้ามาด้านในอย่างเย็นชา เย่ป๋อเดินมาด้านหน้าและพยักหน้าให้กับเขา
ภายในห้องทำงานที่สว่างไสว อันหรันสีหน้าซีดเผือดนั่งอยู่ด้านข้าง สวุเหวยเหรินถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะดูใจเย็น แต่ว่าสายตานั้นกลับเย็นชาเป็นอย่างมาก
“เย่เนี่ยนโม่!”พอเห็นผู้ชายที่ผลักประตูเข้ามา อันหรันกระเด้งตัวขึ้นมาทันใด ยื่นกำปั้นออกไปชกเขา
เย่ป๋อเดินก้าวมาด้านหน้าสกัดกำปั้นของเขา สายตามองไปที่คุณชาย เห็นเขาส่ายศีรษะถึงสะบัดกำปั้นของอันหรันทิ้งไป
“ฉันเคยบอกคุณไปแล้วถ้าหากว่าคุณอยากจะอยู่เป็นราชาภาพยนตร์ของคุณอย่างราบรื่น ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่ามายั่วยุคนที่คุณไม่สมควรจะไปยั่วยุ”เย่เนี่ยนโม่ที่นั่งจมอยู่ในเก้าอี้ขนาดใหญ่ มองด้วยสายตาแหลมคม
อันหรันมองสบตากับเขา ในดวงตาราวกับดอกท้อคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “ไหนคุณพูดมาซิว่าฉันไปยั่วยุใครเข้า!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”อยู่ดีๆสวุเหวยเหรินที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้น เขาไม่เชื่อว่าเย่เนี่ยนโม่จะทุ่มทรัพยากรทั้งคนทั้งเงินเพื่อไปกรุงโรมตามจับพวกเขากลับมาโดยไม่มีสาเหตุ
“ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาขัดบทสนทนาของฉัน”เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
อันหรันโมโหแต่กลับเค้นเสียงหัวเราะออกมา ใช้สีหน้าส่งไปหาสวุเหวยเหริน หมุนตัวเดินออกไปนอกประตู ขณะกำลังเดินอยู่นั้นก็พูดออกมาพร้อมกัน “บังเอิญจริงๆ ฉันเองก็ไม่ชอบคบกับคนที่ชอบมโนไปเองฝ่ายเดียวเหมือนกัน”
เย่ป๋อจะไปรั้งสองคนนั้น เย่เนี่ยนโม่โบกมือห้าม พูดใส่ด้วยคลื่นอารมณ์ที่ไม่พอใจ: “อันหรัน ชื่อจริงคืออันยูรัน กิจการด้านอาหารของพ่ออยู่ในระดับชั้นแนวหน้า ปู่ก่อนที่จะเกษียณนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ…… ”
“พอได้แล้ว!”อันหรันหันกลับมา มองเขาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ พูดเค้นออกมาแต่ละประโยคแต่ละคำจากซอกฟัน: “คุณตรวจสอบฉัน”
“ฉันเคยบอกไปแล้ว จะโทษก็โทษที่คุณดันไปยั่วยุคนที่ไม่ควรจะไปยั่วยุด้วย”เย่เนี่ยนโม่เดินปล่อยอารมณ์ตรงไปด้านหน้า นำหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับส่งให้กับเขา
อันหรันดูจบก็ขมวดคิ้วพูด: “เรื่องนี้ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนทำ จะพูดให้ถูกก็คือ ฉันเคยคิดที่จะทำแบบนั้น แต่สุดท้ายฉันก็ล้มเลิกไป”
“ทำไม?”เย่เนี่ยนโม่ค่อนข้างแปลกใจ
“พี่สาวที่แสนโง่งมแบบเธอนั้น แกล้งเขาไปฉันรู้สึกว่าไร้จิตสำนึกมากไปหน่อย!”อันหรันเหลือบมองเขา น้ำเสียงเยาะเย้ย
เย่เนี่ยนโม่คิดทบทวน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพยักหน้าเห็นด้วย แต่คิ้วนั้นกลับขมวดยกขึ้น เขาเชื่อในสิ่งอันหรันพูด ผู้ชายคนนี้ถึงแม้จะเป็นพวกเจ้าแผนการ แต่ว่ายึดมั่นในชัยชนะที่ใสสะอาด ถ้าเขาบอกว่าไม่ใช่เขา นั่นก็คือไม่ใช่เขาจริงๆ
ภายในห้องทำงานตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ไม่ว่าใครก็ตามก็คงคิดว่าคนปล่อยภาพนั้นมีเจตนาแอบแฝง ในใจของอันหรันและสวุเหวยเหรินนั้นคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมีคนอยากจะทำลายภาพลักษณ์ของอันหรัน แต่ความคิดของเย่เนี่ยนโม่ลึกซึ้งไปมากกว่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นไปได้อย่างมากว่าคงต้องการจัดการกับติงยียี อันหรันเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น
“พรุ่งนี้ฉันจะจัดงานแถลงข่าวชี้แจ้งเรื่องนี้”อันหรันถอนหายใจพูดออกมา สวุเหวยเหรินเลิกคิ้วอยากจะยับยั้งเขา การจัดงานแถลงข่าวตอนนี้จะกลายเป็นเขาเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในกระแสสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา”เย่เนี่ยนโม่เอ่ยปาก ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้อย่างประสบความสำเร็จจริงๆ สวุเหวยเหรินเข้าใจชัดแจ้ง “คุณคงอยากจะวางแผนระยะยาวโดยไม่รีบหวังผลวางเหยื่อล่อปลาตัวใหญ่?”
เย่เนี่ยนโม่มองออกไปชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ปกคลุมรายล้อมด้านนอกหน้าต่าง พูดด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า: “ฉันชอบที่จะใช้คำว่าหนียังไงก็หนีไม่พ้น ลูกไก่ในกำมือมากกว่า”
แสงไฟของบริษัทเย่ซื่อส่องสว่างตลอดทั้งคืน แสงไฟจากห้องนอนของติงยียีก็ส่องสว่างทั้งคืนเช่นเดียวกัน เธอเศร้ามองเมื่อรู้ตัวว่าเธอนั้นนอนไม่หลับ
รุ่งเช้ากดนาฬิกาปลุกที่ดังไม่หยุดหย่อนทิ้งไป ติงยียีลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ถูกทำให้ตกใจจากสภาพตัวเองที่เห็นอยู่ในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
พอมานั่งอยู่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์ เธอพิมพ์คำสองคำ‘อันหรัน’ลงไปที่เบราว์เซอร์อย่างเหนือความคาดหมาย ในช่องการเชื่อมต่อแสดงผลออกมา‘หนังสือพิมพ์ทั้งหมดถูกกว้านซื้อหมดภายในคืนเดียว เบื้องหลังหรือว่าจะมีผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ หญิงสาวปริศนาคนนั้นคือใครกันแน่? ’
ติงยียีเปิดการเชื่อมต่อขึ้นมา นั่นก็คือหนึ่งในเว็บบอร์ดของBBS เธออ่านอยู่สักพักถึงจะเข้าใจได้ว่าที่แท้หนังสือพิมพ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเธอกับอันหรันนั้นถูกกว้านซื้อทั้งหมดไปแล้วภายในคืนเดียว
“จะเป็นใครกัน?”เธอพึมพำ เสียงกริ่งประตูดังจากชั้นล่าง เธอเดินลงมาเปิดประตู เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านนอกประตูก็พลันตกใจเป็นอย่างมาก“ชูฉิง”
“พี่ยียี”เย่ชูฉิงสีหน้าตรอมใจ ขนาดการแต่งหน้าอย่างประณีตก็ยังไม่สามารถซ่อนรอยคล้ำใต้ตาเอาไว้ได้ ติงยียีรีบเปิดประตูให้เธอเข้ามา พอเห็นว่าเธอลากกระเป๋ามาด้วยก็ตื่นตกใจ
“ฉันต้องไปแล้วนะ”เย่ชูฉิงพูดออกมาอย่างตรงประเด็น
“จะไปที่ไหน!”ติงยียีรีบร้อนจ้องมองเธอ ในใจนั้นเหมือนจะรู้สาเหตุของการจากไปอย่างรางๆ “เป็นเพราะฉันกับโจ๋ซวน?”
เย่ชูฉิงส่ายหน้า ยิ้มบาง “เพื่อตัวฉันเอง ฉันยื้อมานานมากแล้ว นานจนลืมว่าความฝันของตัวเองคืออะไรกันแน่ ฉันอยากจะไปฝรั่งเศสเพื่อไล่ตามความฝันของฉันอีกครั้ง”
ติงยียีดวงตาโศกเศร้า ใช้มือที่ห้อยอยู่ด้านข้างหยิกขาตัวเองเบาๆ เตือนตัวเองว่าอย่าร้องไห้ เธอเอ่ยปาก น้ำเสียงยังมีความสะอึกสะอื้น “บอกลากับโจ๋ซวนหรือยัง?”
เย่ชูฉิงตะลึง ส่ายศีรษะเบาๆ พูดอย่างช้าๆ: “ไม่ต้องหรอก ฉันต้องไปรีบขึ้นเครื่อง”พอพูดจบ เธอรีบดูนาฬิกาอย่างเร่งรีบ ลากกระเป๋าเดินทางออกไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงัก หันไปมองรอบๆด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นเห็นใบไม้แห้งที่ร่วงโรยเหี่ยวเฉาร่วงหล่นอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาทันใด
ติงยียีโอบกอดเธอด้วยความสงสาร เธออยู่ในอ้อมกอดของเธอ ร้องไห้ฟูมฟายพร้อมกับพูดว่า: “รักคนคนหนึ่งมันช่างเจ็บปวดทรมานอะไรขนาดนี้ ฉันไม่อยากรักใครแล้ว!”
ไม่รู้ว่าจะปลอบใจยังไงดี ติงยียีทำได้เพียงลูบหลังของเธอเบาๆ เวลาค่อยๆผ่านไป เสียงร้องไห้ของเธอที่อยู่ในอ้อมกอดค่อยๆน้อยลง จนกระทั่งกลายเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นเล็กน้อย
“ขอบคุณพี่ยียีมากนะคะ ขออวยพรให้คุณมีความสุข”เย่ชูฉิงก้มลงและถอยออกจากอ้อมกอดของเธอ ดวงตายังคงแดงก่ำ หันตัวพร้อมกับดึงกระเป๋าเดินทางวิ่งออกไป
ติงยียียังคงยืนอยู่ที่เดิม ฟังเสียงรถเคลื่อนตัวออกไป จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจนั้นเกิดแรงกระตุ้นอยากจะไปรั้งเธอเอาไว้ขึ้นมาทันที
เธอวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ถูกบอดี้การ์ดสกัดกั้นเอาไว้“คุณหนูยียี สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณในตอนนี้คือการเก็บตัวอยู่ที่ห้อง”
“ถอยไป!”เธอตะโกนออกไปด้วยเสียงดุดัน บอดี้การ์ดยกมือขึ้นยับยั้งไม่ให้เธอก้าวไปข้างหน้า ติงยียีสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างเชื่องช้า: “ฉันไม่ได้อยากจะออกไปข้างนอก ฉันเพียงแต่อยากจะไปหาคุณไห่นายจ้างของพวกคุณ”
บอดี้การ์ดสบตากันไปมา ลังเลอยู่นานจนสุดท้ายก็เปิดทางให้ ติงยียีวิ่งไปที่คฤหาสน์ที่ไห่โจ๋ซวนพักอาศัยอยู่ ประตูไม่ได้ปิด มีพนักงานทำความสะอาดหนึ่งคนกำลังทำความสะอาดอยู่ที่บริเวณประตู
เธอวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตรงขึ้นไปชั้นสอง บริเวณระเบียงชั้นสองนั้นมีเสียงเปียโนดังสะท้อนอยู่ บางเวลาก็มีเสียงสูงเสียงต่ำ บางเวลาท่วงทำนองก็ไหลไปอย่างช้าๆ
พอเห็นติงยียี ไห่โจ๋ซวนก็ไม่มีท่าทีที่จะหยุดเล่น ทำเพียงแค่หันศีรษะมาหาเล็กน้อยและกล่าว: “นี่เป็นบทเพลงที่ฉันชอบมากที่สุด”
“เย่ชูฉิงต้องการที่จะจากไปแล้ว”เพิ่งจะพูดจบ เสียงเปียโนที่กำลังไหลลื่นก็สับสนและหยุดลงชั่วคราว ดวงตาของไห่โจ๋ซวนแฝงไปด้วยความประหลาดใจ นิ้วมือที่เรียวยาวที่อยู่บนคีย์บอร์ดเริ่มขยับอีกครั้ง ความไพเราะที่หายไปก็ดังกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ติงยียีเดินตรงเข้าไป มือข้างหนึ่งกดลงไปบนคีย์บอร์ด เปียโนเปล่งเสียงหนวกหูดังขึ้นมา เธอพูดด้วยความไม่พอใจ: “เธอบอกว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว! ถ้าพลาดครั้งนี้ก็คงจะพลาดจริงๆแล้วนะ”
สันหลังของไห่โจ๋ซวนนั้นเหยียดตรง มือทั้งคู่ยังคงอยู่บนคีย์บอร์ดท่าทางเหมือนดั่งเช่นเมื่อครู่ที่กดแป้นคีย์บอร์ดเบาๆ จนรู้สึกได้ว่าบนไหล่นั้นมีมืออันนุ่มนวลคู่หนึ่งมาปกคลุมถึงจะหดมือกลับไป
“โจ๋ซวน ไปเถอะ ทำตามเสียงของหัวใจเรียกร้องเถอะ”ติงยียีมองไปที่เขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คำพูดของเธอนั้นช่างเหมือนกับนำก้อนหินหนึ่งก้อนโยนเข้าไปในทะเลสาบที่นิ่งสนิท หัวใจของเขานั้นสับสนวุ่นวายไม่เป็นตัวของตัวเองในทันใด เหมือนกับว่าได้ทำสิ่งสำคัญบางอย่างหล่นหายไป เขาสับสนจนยืนขึ้นมา ชนล้มไปตรงเก้าอี้ ตาลีตาเหลือกเดินโซเซไปด้านหน้า ยังไม่ทันที่จะยืนได้มั่นคงก็รีบวิ่งไปนอกประตูแล้ว
ที่สนามบิน เย่ชูฉิงกอดแม่ไม่ยอมปล่อย พูดเสียงพึมพำอยู่ในปาก: “แม่ สุดท้ายฉันก็รู้แล้วว่าแม่พูดถูกต้องแล้ว ในที่สุดเขายังไงก็ไม่ใช่ของฉัน”
“เด็กโง่” เซี่ยชีหรั่นกลั้นน้ำตาเอาไว ลูบหลังของเธอเบาๆ น้ำตาควบคุมไม่ได้อีกต่อไปร่วงหล่นไหลพรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว เธอรีบปล่อยเธอ หันหลังไปแอบเช็ดน้ำตา
เย่เชินหลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หนังสือเดินทาง เงินและพวกของใช้อื่นๆเตรียมมาเรียบร้อยแล้วใช่หรือเปล่า?”
เย่ชูฉิงที่เต็มไปด้วยน้ำตาพยักหน้า เธอไม่พลาดที่จะมองเห็นความกังวลที่อยู่ในสายตาของพ่อ ไม่อยากจะร้องไห้ต่ออีก เธอถือกระเป๋าเดินทางและเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
“รอก่อน!” มีเสียงเบาๆมาจากฝูงชนที่อยู่ทางด้านหลัง เย่ชูฉิงหันตัวกลับไป หลังจากเห็นคนที่มาก็ดีใจขึ้นมาทันที “ยี่ซวน!”
หลี่ยี่ซวนเดินตรงมาหยุดตรงหน้าของเธอ โน้มตัวมามองเธอเล็กน้อย ขมวดคิ้ว “ร้องไห้จนเครื่องสำอางหลุดออกหมดแล้ว CHANELออกมาสคาร่าตัวใหม่แบบกันน้ำ ไว้ฉันจะซื้อมาให้คุณ”
เย่ชูฉิงนั้นจากร้องไห้กลายเป็นหัวเราะ “ดีทีเดียว ส่งมาให้ฉันทางไปรษณีย์ละกัน คุณเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ!”
หลี่ยี่ซวนมองเธออย่างผ่อนคลาย “หรือว่าใช้เงินสดซื้อละกัน ยังไงซะก็อยู่ใกล้ๆ” เสียงพูดจบลง เขาก็หยิบหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบินของตัวเองออกมาจากด้านหลังก็ทำให้เย่ชูฉิงที่อยู่ตรงหน้าตกตะลึงออกมาอย่างชัดเจน