“ช่วงนี้คุณพ่อของฉันกำลังช่วยฉันเตรียมบริษัทเครื่องประดับเพชรพลอยใหม่ เขาอยากให้คุณน้าเซี่ยช่วยออกความเห็น ฉันก็เลยแวะเข้ามาเยี่ยมนายด้วย เมื่อกี้ฉันเคาะประตูแล้ว แต่ว่าเหมือนนายจะไม่ได้ยิน”
“ออกไป” เย่เนี่นยโม่หันไปด้วยความเย็นชา เปิดผ้าม่านออกให้แสงส่องเข้ามา เนี่ยนยีกระโดดมายังบนไหล่ของเขาเบาๆ แล้วหาวไปหนึ่งที เขาหันข้างเล่นกับมันอย่างอ่อนโยน
อ้าวเสว่มองภาพทั้งหมดเลยอย่างเยือกเย็น เธออยากบีบแมวตัวนั้นตาย รู้สึกเกลียดแค้นในใจมาก ทว่าบนใบหน้ากลับยิ้มได้อ่อนโยนมาก “โอเค งั้นก็ไม่รบกวนนายแล้ว ฉันลงไปหาคุณน้าเซี่ยนะ”
“เดี๋ยวก่อน!” เย่เนี่ยนโม่ดึงมือของเธอไว้ มองโทรศัพท์ของเธอด้วยนัยน์ตาที่เย็นชา อ้าวเสว่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด ยื่นโทรศัพท์ให้เขาพร้อมรอยยิ้ม
เขาเปิดประวัติการโทรขึ้นมา มีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้รับสองสาย นัยน์ตาของเขาเยือกเย็นมาก แรงบีบในมือเพิ่มขึ้น อ้าวเสว่เจ็บจนทนไม่ไหวร้องออกมา “ปล่อยฉัน!”
เสียงร้องของเธอทำให้เย่เนี่ยนโม่ที่นัยน์ตาเย็นชาจนจะเป็นเกล็ดน้ำแข็งหยุดลง เย่เนี่ยนโม่ดึงแขนของเธอแล้วไล่เธอออกจากห้อง ป้าบปิดประตูเสียงดัง
“ยียี รับโทรศัพท์ รับรับโทรศัพท์สิ” เขาพูดพึมพำเบาๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เนี่ยนยีเหมือนรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเขาไม่คงที่ นั่งอยู่บนไหล่ของเขาเงียบๆ
“สวัสดีค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกสายไม่ว่าง กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ!” เขากดวางสาย หยิบเสื้อกันหนาวแล้วพุ่งออกไปทางข้างนอก สวีเห้าเซิงกำลังพูดคุยเรื่องสร้างแบรนด์ใหม่ของอ้าวเสว่กับเซี่ยชีหรั่นอยู่ เห็นเขาลงตึกพอดี ทักทายแล้วพูดขึ้นว่า “เนี่ยนโม่มานี่”
ยังไม่ทันพูดจบ เย่เนี่ยนโม่ก็ออกจากบ้านไปแล้ว “นี่เขาเป็นอะไร?” สวีเห้าเซิงถามด้วยความแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเย่เนี่ยนโม่ควบคุมสติไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ติงยียียืนนิ่ง ข้างหลังมีเสียงของรถดังสนั่น ทว่ากลับไม่สามารถยับยั้งความสับสนและความเศร้าในใจเธอได้ ในโทรศัพท์ เสียงของซ่งเมิ่นเจ๋ที่แผ่วเบา “ขอโทษนะ ตอนนี้ฉันไม่สามารถไปได้ ฉันยังมีธุระอีก”
“อื้ม โอเค ไม่เป็นไร จริงๆแล้วฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย” ติงยียีอยากจะเสแสร้งว่ามีความสุขออกมา น้ำตากลับไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำเสียงที่แข็งทื่อไม่เป็นท่า
ทางโทรศัพท์มีเพียงเสียงตอบกลับสั้นๆ จากนั้นก็วางสายไป เธอนั่งลง มองดูภาพแจ้งเตือนว่าแบตใกล้จะหมดบนหน้าจอโทรศัพท์
ครั้งแรกที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรับสายด้วยความลังเล พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความติดขัด “ฉันอยู่ที่รถไฟใต้ดิน แต่ฉันไม่รู้ว่าฉันอยู่ไหน”
เย่เนี่ยนโม่ออกจากบ้านแล้วรีบขับรถตรงไปทางบ้านของติงยียี ระยะทางที่ต้องใช้เวลาสี่สิบนาทีเขาลดเหลือเพียงยี่สิบนาที ในตรอกซอยกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม ประตูบ้านของตระกูลติงปิดแน่น ไม่มีร่องรอยการเป็นอยู่ใดๆเลย
ข้างถนนมีผู้คนที่สัญจรไปมามองดูชายหนุ่มรูปงามและรถหรูของเขาที่ไม่คู่ควรสำหรับตรอกซอยเละเทะนี้
เขายืนไปนานมาก หันหลังแล้วกลับไปยังข้างรถของตัวเอง เขามองตัวเองที่เม้มปากผ่านทางกระจกด้านหลังของรถ แล้วใช้แรงขนาดใหญ่หมุนพวงมาลัย
“คู่รักลึกลับของซุปเปอร์สตาร์อันหรันปรากฏตัว เข้าโรงแรมพร้อมกันและออกมาพร้อมกัน ฝ่ายหญิงเรียนอยู่คณะออกแบบในมหาวิทยาลัยZ ตามที่ข่าวรายงาน ฝ่ายหญิงถูกบังคับให้ออกจากอาชีพเครื่องประดับเพชรลอยเพราะมีเหตุการณ์ลอกเลียนแบบ”
เสียงของวิทยุยังคงดำเนินต่อไป ในสมองของเย่เนี่ยนโม่กลับเหลือเพียงแค่เสียงเดียว หาติงยียีให้เจอ! ความกังวลในตอนแรกผ่านไป สติและอารมณ์ค่อยๆชัดเจนขึ้น ปกติแล้วเธอมีเพื่อนน้อยมาก ซ่งเมิ่นเจ๋น่าจะเป็นคนที่สนิทกับเธอมากที่สุด เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา “ทำทุกวิถีทางช่วยฉันหาเบอร์ของซ่งเมิ่นเจ๋เพื่อนของติงยียีให้เจอภายในสิบนาที”
หลังจากผ่านไปห้านาที โทรศัพท์ดังขึ้น เย่ป๋อพูดขึ้นว่า “คุณชายครับ ค้นเจอหมายเลขโทรศัพท์ของซ่งเมิ่นเจ๋ผ่านรายชื่อศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัย Z แล้วครับ ตอนนี้ได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังมือถือของคุณแล้วครับ เชิญตรวจสอบดูครับ”
เขาวางสายลง เปิดกล่องข้อความแล้วกดโทรเบอร์ออกไป ซ่งเมิ่นเจ๋มีความแปลกใจที่เขามาหาตัวเอง ได้ยินว่าคนที่เขาจะหาคือติงยียีแววตาก็มืดหมองลง อดนึกถึงไห่โจ๋ซวนไม่ได้ น้ำเสียงมีความพร่ำบ่นเล็กน้อย “เธออยากให้ฉันออกไปจริงๆ แต่ว่าฉันยุ่งมาก ก็เลยไม่ได้ตอบตกลง”
ทันใดนั้นในใจของเย่เนี่ยนโม่ก็โมโหมาก เขารู้ว่ารู้ว่าติงยียีเห็นความสำคัญเพื่อนคนนี้ของเธอมากแค่ไหน ไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย เขาตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อื้ม ฉันวางแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อน!” ซ่งเมิ่นเจ๋ลังเลไปสักพัก จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เขาแย่งผู้หญิงที่นายรักมากที่สุดไป นายไม่โกรธเหรอ? ”
เย่เนี่ยนโม่สูดหายใจลึก พิงหลังไปยังเก้าอี้ ผ่อนคลายดวงตาแล้วมองดูนกน้อยตัวหนึ่งที่เกาะอยู่ตรงประตูของบ้านตระกูลติง พูดอย่างแผ่วเบาว่า “ในชีวิตไม่ได้มีเพียงแค่ความรัก หากตอนนี้เขามีเรื่องให้ฉันช่วยเหลือ ฉันจะช่วย”
ในโทรศัพท์เงียบไปสักพัก เหมือนมีเสียงสำลักเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่มีเจตนาจะเป็นสุภาพบุรุษที่ปลอบโยนผู้หญิง วางสายลง จู่ๆเขาก็เอนตัวไปทางข้างหลัง
โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง นิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย เป็นไปได้ไหมที่ติงยียีเห็นประวัติการโทรแล้วโทรกลับ?
เขารีบหยิบโทรศัพท์มา หลังจากเห็นข้อความที่แสดงบนหน้าจอแล้วก็มีความผิดหวังที่ไม่สามารถปกปิดได้ รับโทรศัพท์ เสียงที่กังวลของสวีเห้าเซิงดังผ่านมา “เนี่ยนโม่ เมื่อกี้พวกเราเห็นข่าวแล้ว ฉันโทรเบอร์ยียีไม่ติดเลย นายหาเธอเจอหรือยัง?”
เย่เนี่ยนโม่บีบไปที่สันจมูก พูดด้วยความเหนื่อยล้าว่า “ยังครับ”
สวีเห้าเซิงยิ่งรนไปใหญ่ หากแม้กระทั่งเย่เนี่ยนโม่ก็ยังหาเด็กนั้นไม่เจอ งั้นเธอหายไปไหน? เขาไม่ได้สนใจนัยน์ตาที่สงสัยของเซี่ยชีหรั่นเลย วางสายแล้วเตรียมตัวจะออกไปตามหาเอง
เซี่ยชีหรั่นเห็นเขารนจนสีหน้าซีดขาวไปหมด ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยไปใหญ่ อดไม่ได้ถามขึ้นว่า “พี่สวี เหมือนพี่จะเป็นห่วงยัยเด็กนั่นมาก?”
สวีเห้าเซิงมองเธอ ไม่อยากจะปิดบังอีกต่อไป เขาพูดขึ้น “ติงยียีคือ…”
“คุณพ่อคะ!” อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆขัดเขาไว้กะทันหัน ในแววตามีความกระวนกระวายที่ปกปิดไม่อยู่ “คุณพ่อคะ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนคุณพ่อจะเคยให้บ้านเขายืมเงินไปรักษา แต่ว่าคุณพ่อทำดีมามากเกินไปแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเขาแบบนี้แล้วค่ะ”
เห็นว่าเขายังจะพูดต่อ อ้าวเสว่รีบดึงเขาออกจากประตูบ้านของตระกูลเย่ นอกบ้านตระกูลเย่ สวีเห้าเซิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าบางทีเขาก็ไม่รู้ว่าอ้าวเสว่กำลังคิดอะไรอยู่ “ลูก หนูรู้อยู่ว่าเธอคือพี่สาวของหนู ที่พ่อจะไปตามหาเธอก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่หนูพูด”
อ้าวเสว่คิดคำพูดแก้ตัวไว้ตั้งนานแล้ว “คุณพ่อ พ่อไม่รู้ว่าตอนที่เรียนมหาลัยเรื่องที่เธอลอกเลียนแบบถูกคุณน้าเซี่ยจับได้พอดี ตอนนี้ก็มีข่าวเสียหายกับดารา พ่อจะให้คุณน้าเซี่ยคิดยังไง? สู้เราหาโอกาสดีๆแนะนำอีกครั้งไม่ดีกว่าเหรอคะ”
อ้าวเสว่พูดอย่างรีบเร่งและกระวนกระวายเล็กน้อย แอบโล่งใจไปที ที่คุณน้าเซี่ยเอ็นดูตัวเองขนาดนี้ สนับสนุนเธอกับเย่เนี่ยนโม่ก็เพราะว่าเธอเป็นลูกสาวของสวีเห้าเซิง หากเธอไม่มีความสัมพันธ์ด้านนี้ หรือว่าหากคุณน้าเซี่ยรู้ว่าติงยียีกับตัวเองเป็นลูกของสวีเห้าเซิงเหมือนกัน งั้นข้อได้เปรียบของเธอก็จะหายไป เธอจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด
หากปกติแล้ว สวีเห้าเซิงไม่มีทางโดนเป่าหูง่ายขนาดนี้แน่นนอน ทว่าตอนนี้เขาเป็นห่วงติงยียีมาก ไม่ได้คิดอะไรมาก พูดเตือนอ้าวเสว่ไปไม่กี่ประโยคก็รีบขึ้นรถไป
อ้าวเสว่เห็นรถขับออกไปด้วยความเร็ว ยิ้มโค้งขึ้นที่มุมปาก เธอและติงยียีถือเป็นพี่น้องอะไรกัน? ละครเรื่องนี้ที่กำกลับโดยเธอที่เป็นน้องสาวและคุณแม่แท้ๆพึ่งได้เริ่มขึ้น!
ปลายฤดูหนาวของเมืองตงเจียงมักจะไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ อึมครึมทั้งวัน ก้อนเมฆเหมือนจะตกลงมาทับหัวคนเลย
เที่ยงตรง บ่ายโมง บ่ายสาม ห้าโมงเย็น เวลาค่อยๆ ผ่านไป เย่เนี่ยนโม่ตามหาติงยียีอย่างบ้าคลั่งในสถานที่ที่เธออาจจะไป ห้าชั่วโมงนี้เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลยซักหยด ลำคอของเขาแห้งกร้านมาก เขากลับไม่อยากจะเสียเวลาห้านาทีเพื่อนไปซื้อน้ำ
โทรศัพท์ของเขาจะดังขึ้นทุกสิบนาที และในตอนที่ฟังรายงานจากสายโทร หัวใจของเขากลับเย็นลงทุกที จู่ๆสมองของเขาก็มีสถานที่หนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาขับรถอย่างเร็วโดยไม่สนใจชีวิตเลย ระยะทางค่อยๆเข้าใกล้วิลล่าของไห่โจ๋ซวน หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นแปลกๆ
หน้าวิลล่าหลังหนึ่ง ผ้าม่านตรงห้องรับแขกถูกปิดไว้ จากข้างนอกสามารถมองเห็นผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา
เย่เนี่ยนโม่มองติงยียีอย่างเงียบๆ แสงอาทิตย์หลังจากช่วงเย็นไม่ได้อบอุ่น หักเหลงบนหลังของเธอในบางคราว ทำให้รู้สึกผิดเหมือนว่าเธอจะจากไปแล้ว
เขามองดูไห่โจ๋ซวนค่อยๆเดินเข้าใกล้เธอ ทั้งสองแนบติดชิดกัน คำตอบผุดออกมา มือที่วางอยู่บนพวงมาลัยมีเส้นเลือดเผยออกมาเพราะความโกรธ และสั่นเพราะการยับยั้ง
หลังจากที่เย่เนี่ยนโม่สตาร์ทรถแล้ว หัวใจของเขาเจ็บปวดมาก ในสมองมีภาพที่ทั้งสองพึ่งรู้จักกันแรกๆ ลอยออกมา และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกอุ่นใจมาก รู้ว่าเธอไม่เป็นไร รู้ว่าเธอมีคนปลอบใจ แค่นี้ก็พอมากๆ แล้ว
เขามองเธอ เก็บเธอไว้ในส่วนลึกของสมองครั้งสุดท้าย รถถูกขับออกไป ตัดความกังวลและความคิดถึงทั้งหมดทิ้งไป
นัยน์ตาของไห่โจ๋ซวนหยุดอยู่บนทางที่เย่เนี่ยนโม่จากไป มุมปากของเขามีรอยยิ้มเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ปลีกตัวออกจากร่างกายของติงยียีที่เขาตั้งใจเข้าใกล้ ก้มหน้ามองเธอ นัยน์ตามีความลึกซึ้งยากที่จะคาดเดา
“โจ๋ซวน ฉันดีขึ้นมากแล้ว” ติงยียีดึงผ้าปิดตาที่ใส่น้ำแข็งไว้ออก ดวงตาก็ยังบวมเล็กน้อยเพราะว่าร้องไห้มาก่อน
ไห่โจ๋ซวนยื่นโทรศัพท์ให้เธอ “พ่อของเธอกับเย่เนี่ยนโม่ตามหาเธอมาโดยตลอด”
ติงยียีมองดูประวัติการโทร ข้างบนเต็มไปด้วยสายที่ไม่ได้รับของเย่เนี่ยนโม่และสวีเห้าเซิง ขณะนี้ในใจของเธอกลับมีความสงสัยที่แปลกใหม่ “นายรู้ได้ยังไงว่าเขาคือพ่อของฉัน?”
เธอมั่นใจว่าเธอไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครเลย บนโลกใบนี้คนที่รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของสวีเห้าเซิงน่าจะมีเพียงคนในบ้านและพวกอ้าวเสว่ ไห่โจ๋ซวนรู้ได้ยังไง?
ไห่โจ๋ซวนไม่อยากให้เธอสงสัย พูดตามความจริงไปว่า “อ้าวเสว่เป็นคนบอกผมเอง แต่ว่าผมไม่สนใจหรอก ไม่ว่าคุณเป็นใคร ผมก็ชอบคุณ”
ได้ยินคำสารภาพจากปากของเขาอีกครั้ง ติงยียีไม่ได้หวั่นไหว ยิ่งไปกว่านั้นคือความทำตัวไม่ถูก เธอก้มหน้าเลื่อนโทรศัพท์เพื่อปกปิดตัวเอง ส่งข้อความให้สวีเห้าเซิงก่อนจะดีกว่า
“ฉันสบายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ”
พึ่งส่งออกไป ก็มีสายโทรเข้ามา เสียงของสวีเห้าเซิงมีความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัดเจน “ยียีหนูอยู่ที่ไหน? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ความเป็นห่วงของเขาทำให้ติงยียีตะลึงงันไปเลย ทว่าทั้งหมดที่เขาทำกลับทำให้เธอไม่กล้ามีความหวังต่อผลตรวจดีเอนเอชุดนี้ เธอพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ขอบคุณความเป็นห่วงของคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ”