พวกเขาส่งเสียงหวีดร้องอยู่บนรถสีสันสดใสที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆ สัมผัสได้ถึงลมเย็นที่หนาวจนทิ่มแทงกระดูกได้
สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่มหึมาในเวลานี้ก็เหมือนกับเด็กที่ถูกทอดทิ้ง สามารถมองเห็นโครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างได้รางๆ เขามองอย่างเงียบๆ นี่คือก้าวแรกที่เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อต้องการทำลายตระกูลเย่ให้พังพินาศ
“นี่! คุณมาทำอะไรที่นี่ ที่นี่ไม่มีการก่อสร้างแล้ว รีบไปเถอะ” คนงานที่มาลาดตระเวนถือไฟฉายพลางส่องไปที่เขา พร้อมตะโกนบอกเขา
เขาเหมือนกับรูปปั้นหินแกะสลักยืนนิ่งไม่ไหวติง คนงานก้มหน้าบ่นพึมพำ หันหน้าเดินกลับไปข้างๆเพื่อร่วมงาน ถอนหายใจ “งานนี้ตระกูลเย่ทำไม่ได้แล้ว งั้นตรุษจีนจะมีเงินให้ลูกไปเรียนได้ยังไง”
“ใช่ ก็มีความหวังว่างานนี้จะมีรายได้ไปจ่ายค่าเทอมให้ลูก นี่ก็ยังคิดอยู่ว่าจะไปหางานที่ไหนดี”
ลมพัดจนถุงปูนซีเมนต์ที่ใต้เท้าของเขาส่งเสียงดังกรอบแกรบ เขาก้มลงมองเหมือนเขาจะตกใจอย่างนั้น นานพักใหญ่ เขาก็หมุนตัวเดินจากไปด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก นำมาซึ่งความเยือกเย็น
เขาเดินไป สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าของท้องถนน เดินมุ่งหน้าไปยังจุดหมายในใจ ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหน เขาก็มาถึงประตูหน้าบ้าน
ด้านข้างก็คือบ้านตระกูลเย่ หลังจากที่พ่อตายไปแล้วแม่ก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ส่วนเขาหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็จากไปอย่างเตลิดเปิดเปิง ที่นี่สำหรับเขาแล้วก็คือกรงขัง คือแผลเป็น
เขายืนอยู่ที่ประตู เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาตีสองครึ่งแล้ว ห้องภายในบ้านกลับยังมีแสงไฟสว่างอยู่ เขารู้นั่นคือห้องหนังสือของพ่อ
ทันใดนั้นด้านหลังผ้าม่านก็มีเงาคนคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นมือสองข้างก็ยื่นออกมาปิดหน้าต่าง เขาสังเกตว่าร่างด้านหลังผ้าม่านผอมบาง ในใจเศร้าโศกหดหู่แทบไม่ไหว
“พี่โจ๋ซวน” เสียงเล็กๆดังมาจากด้านข้าง ราวกับกลัวว่าจะรบกวนเขา เสียงเบาลงอีก
เย่ชูฉิงออกมาจากหัวมุมกำแพง จมูกเย็นเฉียบจนแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งแตก เธอเลียริมฝีปากอย่างยากเย็นเล็กน้อย
เธอสวมเพียงแค่เสื้อสเวตเตอร์ขนสัตว์ กระดุมของเสื้อสเวตเตอร์ขนสัตว์ติดผิด ดูตลกเล็กน้อย เธอก้มศีรษะมองลงตามแนวดิ่ง รีบปลดกระดุมใหม่ “เมื่อกี้ฉันรีบร้อนออกมา เลยติดกระดุมผิด”
มือคู่หนึ่งยื่นมาใต้ดวงตาของเธอ ไห่โจ๋ซวนผลักมือเธอออกเบาๆ ช่วยเธอปลดกระดุมทีละเม็ด จากนั้นก็ติดใหม่อีกครั้งให้ถูก
เธอไม่กล้าเงยหน้า น้ำตาหยดลงบนหลังมือเขา นิ้วมือของเขาสั่นเล็กน้อยราวกับเป็นโรคทางประสาท ติดกระดุมต่อไป
ในที่สุดแสงสว่างภายในห้องก็ดับมืดลง ทั้งสองคนยืนอยู่ภายใต้แสงไฟข้างถนน แมลงเม่าจำนวนเล็กน้อยบินวนรอบแสงอบอุ่นสีเหลืองนวลไม่ยอมไปไหน
เย่ชูฉิงก้มหน้ารอจนเขาหมุนตัวเดินจากไป เธอตามหาเขาทั้งคืน สุดท้ายก็ได้แต่เฝ้ารอให้เขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ โชคดีที่เธอหาเขาเจอที่นี่อีกครั้ง โชคร้ายก็คือ เขาอาจจะไม่ได้สนใจเลย อาจจะรู้สึกว่าตนเองน่ารำคาญ
เธอก้มหน้าคิดฟุ้งซ่าน จนกระทั่งมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกจูงไป มือที่จูงเธออบอุ่นและแห้งกร้าน สามารถกุมมือทั้งมือเธอเอาไว้ได้ ราวกับสัมผัสได้ว่ามือของเธอเย็นเฉียบ สองมือที่จูงเธอนั้นยิ่งจับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เธอเดินตามไห่โจ๋ซวนไปอย่างซื่อๆ ส่วนสูงของเธอเห็นเพียงแค่แผ่นหลังกว้างของเขา เธอมองไม่เห็นสีหน้าเขา แต่กลับสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มที่มุมปากเขา
ลมแรงมาก ถนนยาวไกล ไฟข้างทางลากเงาของร่างที่ตามกันมาหน้าคนหลังคนจนยาวมาก ทำให้ถนนเส้นที่ยาวไกลดูสั้นลงมากอย่างเห็นได้ชัด
ภายในห้องผู้ป่วย ติงยียีจำไม่ได้ว่าตนเองถามเย่ป๋อกี่รอบแล้ว “เขาไม่เป็นไรจริงๆใช่มั้ย หาหมอแล้วหรือยัง”
เย่ป๋อที่ยืนอยู่อีกข้างยิ้มพลางเอ่ยว่า “จะยังไงคุณชายก็เป็นผู้ชาย ก็หวังว่าจะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดต่อหน้าคนที่ตนเองรัก คุณยียีไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
ติงยียีได้แต่พยักหน้า เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชิวไป๋เดินเข้ามา ตอนที่มองเห็นเย่ป๋อสายตาของทั้งสองคนก็เปล่งแสงสว่างวาบ แต่ทว่าไม่มีใครมีพิรุธเลยสักนิดเดียว
“ยียี คุณลุงเป็นยังไงบ้าง” ชิวไป๋เอาตะกร้าผลไม้วางบนโต๊ะพลางเอ่ยถาม ติงยียีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “คุณหมอบอกว่าในสมองพ่อยังมีเลือดคั่งอยู่ ตอนนี้ใช้วิธีกายภาพบำบัดก่อน ดูว่าเห็นชัดเจนหรือไม่”
ชิวไป๋มองเห็นเธอท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันช่วยเธอยกเลิกงานไปเยอะมากแล้ว แต่ครั้งนี้มีรายการวาไรตี้โชว์รายการหนึ่งฉันคิดว่าเธอควรจะไปร่วมด้วย”
“วาไรตี้โชว์เหรอ ไม่เคยร่วมรายการวาไรตี้โชว์มาก่อนเลยนี่คะ” ติงยียีมองเธออย่างสงสัย
ชิวไป๋พยักหน้า “ครั้งก่อนที่เธอทิ้งดีไซเนอร์ชาวปารีส ผลกระทบเลวร้ายมาก งานที่บริษัทจัดให้เธอ เธอจำเป็นต้องไป อีกหนึ่งสัปดาห์จะบันทึกเทป”
ติงยียีพยักหน้าอย่างอับจนปัญญา เวลานี้เองจู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงเย่ชูฉิงสะอึกสะอื้น “พี่ยียี พี่โจ๋ซวนหายไปแล้ว ฉันหาเขาไม่เจอ”
รอจนพวกของติงยียีมาถึง เย่ชูฉิงก็ร้องไห้น้ำตาท่วมแล้ว บอดี้การ์ดของตระกูลเย่ยืนห้อมล้อมอยู่รอบๆ
“เขาไม่ต้องการฉันแล้วแน่ๆ จึงโทรหาพ่อ แล้วตนเองก็หนีไป” เย่ชูฉิงร้องไห้สะอึกสะอื้น
ติงยียีรีบตบหลังเธอเบาๆเพื่อปลอบเธอ “เนี่ยนโม่รู้เรื่องหรือยัง”
เย่ชูฉิงพยักหน้าสะอึกสะอื้น ทุกคนมองไปยังเย่ป๋อเป็นสายตาเดียวกัน คิดจะล้วงข้อมูลจากเขา เย่ป๋อที่หน้าเคร่งขรึมแดงเล็กน้อยภายใต้สายตาที่จับจ้องของชิวไป๋ เขาถอนหายใจ “คุณโจ๋ซวนไม่ได้เป็นอะไรครับ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“เขาอยู่ที่ไหน” ดวงตาแดงก่ำของเย่ชูฉิง มองเขาทันที ชิวไป๋แม้จะไม่รู้จักเย่ชูฉิง แต่ก็เศร้าเสียใจไปกับเธอด้วย พูดว่า “คุณก็รีบบอกมาเถอะ เธอร้องไห้จนจะตายแล้วนะ”
เย่ป๋อไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องของเธอได้ อาจจะพูดได้ว่าอยากจะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าเธอด้วยจิตใต้สำนึก เขาถอนหายใจ เปิดโทรทัศน์ “วันนี้คุณโจ๋ซวนจัดงานแถลงข่าวโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ คุณชายเองก็เพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เองครับ”
เย่ชูฉิงจ้องมองไปยังคนที่สวมชุดสูทรองเท้าหนังในแบบตะวันตกในทีวีอย่างตกตะลึง ใบหน้าของเขาซูบผอม เบ้าตาลึกโหล ยังมองเห็นรอยเลือดสีแดงจางๆในดวงตาของเขาได้อยู่บ้าง เขาพูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงแฟลชสาดไปที่ใบหน้าของเขาไม่หยุด
“ฉันจะไปหาเขา” เย่ชูฉิงพุ่งตัวไปด้านนอกโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บอดี้การ์ดขวางเธอเอาไว้ “คุณหนู คุณท่านสั่งไว้ว่าคุณหนูออกไปไหนไม่ได้ครับ”
“คุณอย่ามาขวางฉัน!” เย่ชูฉิงร้องตะโกนด้วยดวงตาแดงก่ำ ในใจเธอมีอยู่เพียงความคิดเดียว จะต้องไปอยู่ข้างกายไห่โจ๋ซวนให้ได้
บอดี้การ์ดขวางเธอเอาไว้โดยไม่พูดไม่จา ชิวไป๋มองไปยังเย่ป๋อ เขาส่ายหน้า คำสั่งของคุณท่านเขาไม่อาจฝ่าฝืนได้ และฝ่าฝืนไม่ได้
สถานการณ์เข้าสู่ทางตัน เย่ป๋อลากติงยียีมา พูดเสียงเบาๆว่า “ตอนนี้มีเพียงคุณชายเท่านั้นที่ช่วยคุณหนูได้ คุณชายรักคุณขนาดนั้น คุณลองขอร้องเขาดูสิครับ”
ติงยียีส่ายหน้า “ไม่ เขาเอาตระกลูเย่วางไว้บนตำแหน่งที่สำคัญที่สุด เพื่อปกป้องชูฉิง เขาก็คงไม่รับปาก”
เย่ป๋อนิ่งเงียบ เขารู้ว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ผิด ทันใดนั้นชิวไป๋ที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นว่า “ถ้างั้นลองออดอ้อนดูมั้ย”
“ออดอ้อนเหรอ” ติงยียีกับเย่ป๋อหันมามองเธอพร้อมกัน เธอพยักหน้า “เธอต้องไม่เคยออดอ้อนเขาแน่นอน ผู้ชายทนการออดอ้อนของผู้หญิงไม่ไหวที่สุด เธอลองดู”
“อ้อนยังไงคะ” ติงยียีตบหน้าที่แข็งทื่อของตนเอง ชิวไป๋เองก็รีบร้อน หันไปทางเย่ป๋อ สายตามองไปที่เธอพูดว่า “ก็อย่างเช่นสมมุติว่าเขาคือคุณชายเย่ เธอก็บอกว่าคิดถึงเขามาก หวังว่าจะได้พบเขาเร็วๆอะไรประมาณนี้”
เธอพูดจบจึงพบว่าดวงตาของเย่ป๋อจ้องมองมาที่ตนเองไม่ขยับ เธอหน้าแดงทันที ในใจว้าวุ่น ราวกับว่าคำพูดหวานๆนั้นเป็นคำพูดที่พูดกับเขาอย่างนั้น!
ชิวไป๋หยิบโทรศัพท์มือถือยัดใส่ในมือติงยียีเพื่อเป็นการกลบเกลื่อน พูดอย่างเร่งรัดว่า “รีบโทรเถอะ”
ติงยียีกดโทรศัพท์ด้วยท่าทีลังเล ไม่นานก็รับสาย สถานที่ที่เย่เนี่ยนโม่อยู่นั้นดูเหมือนจะมีเสียงดังเอะอะโวยวาย
“เย่เนี่ยนโม่” เธอกลืนน้ำลาย
“อืม” ทางปลายสายนั้นเหมือนจะเปลี่ยนที่แล้ว รอบๆเงียบสงบลง เธอกลับยิ่งตื่นเต้น
ติงยียีเลียริมฝีปากแห้งอย่างไม่รู้ตัวภายใต้สายตาให้กำลังใจของชิวไป๋ ปลายสายนั้นเงียบ ไม่ได้เร่งรัด เสียงหายใจที่สม่ำเสมอแสดงว่าอีกฝ่ายยังอยู่
“ปล่อยชูฉิงไปหาโจ๋ซวนได้มั้ย” ติงยียีมองเย่ชูฉิงด้วยความรู้สึกผิด การจะให้เธอพูดคำหวานๆมันช่างยากเย็นเหลือเกินจริงๆ
“ไม่ได้” คำตอบที่เธอคิดเอาไว้แล้ว เธอเดินวนไปวนมาในห้องอย่างร้อนใจ เย่ชูฉิงอยู่ในสีหน้าท่าทางจะร้องไห้ออกมาอีก
เธอชะงักฝีเท้าลงทันที หลับตาลง พูดเสียงดังฟังชัดว่า “เย่เนี่ยนโม่ ตอนนี้ฉันอยากเจอคุณมาก คุณให้ชูฉิงออกไปได้มั้ยคะ!”
ชิวไป๋กุมขยับอย่างปวดหัว ก้มหน้าบ่นพึมพำว่า “สวรรค์ ฉันไม่เคยพบเคยเจอผู้หญิงที่ไหนออดอ้อนแล้วผลที่ออกมากลายเป็นพูดสุนทรพจน์มาก่อนเลย”
ติงยียีหุบปากทันที ลมหายใจแฝงด้วยความร้อนใจ ในสายไม่มีใครพูดอะไร แม้แต่เสียงหายใจก็ยังไม่เปลี่ยน
เธอเขินอายอย่างยิ่ง รีบพูดว่า “ขอโทษนะเมื่อครู่คุณฟังผิดไปแล้ว ฉันวางแล้วนะ”
เสียงกดคลิก เธอวางสาย มองไปยังสายตาแปลกประหลาดของคนรอบๆหน้าเธอก็ยิ่งแดง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของบอดี้การ์ดคนหนึ่งก็ดังขึ้น
บอดี้การ์ดรับสาย “ครับ! คุณชาย!” หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็วางสาย เปิดประตูยืนอยู่ด้านข้าง
นี่สำเร็จแล้วเหรอ หลายคนในที่นั้นมองหน้ากันไปมา เย่ชูฉิงวิ่งออกไปรวดเร็วปานลม คนกลุ่มหนึ่งรีบไปยังสถานที่จัดงานแถลงข่าว
ติงยียีและเย่ชูฉิงขับรถตะบึงออกไป ชิวไป๋กำลังจอดรถ มองเห็นเย่ป๋อยังนั่งอยู่บนรถ ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมคุณยังไม่ลงไปอีก”
เย่ป๋อสีหน้ายังเป็นปกติ แต่ใบหูแดงเรื่อ “รอคุณ”
เธออึ้ง เธออายุ32ปีแล้ว เวลานี้ในใจกลับเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นที่กำลังมีความรัก เธอรีบลงรถวิ่งตามติงยียีไป
ติงยียีกับเย่ชูฉิงเพิ่งจะวิ่งมาที่หน้าประตู ไห่โจ๋ก็เดินออกมา สองคนด้านข้างยึดแขนเขาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่โจ๋ซวน!” เย่ชูฉิงพุ่งตัวไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มีนักข่าวคนหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าอยากจะถ่ายภาพระยะใกล้พอดี เธอถูกชนอย่างแรงจนล้มลงบนพื้น
“ชูฉิง!” ไห่โจ๋ซวนร้องตะโกนอย่างร้อนใจ ขอร้องคนสองคนที่จับเขาไว้แน่น ทั้งสองกำลังคิดจะเดินไปข้างหน้า มีคนลงมาจากบนรถหนึ่งคนโบกมือให้พวกเขาถอยไป
ติงยียีจำหน้าเขาได้ พยักหน้าให้เขาอย่างมีมารยาท ถามเบาๆว่า “ขอถามหน่อยนะคะว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
Bakerถอนหายใจ “เขาเป็นคนบอกเองว่าเรื่องของศูนย์การค้าสากลเป็นฝีมือของเขา ตอนนี้เขาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฉ้อโกง ต้องกลับไปทำการสอบสวน”