ติงยียีเห็นเขานิ่งเงียบใจเย็น ก็รีบร้อนพูดขึ้นว่า “สวัสดีค่ะท่านประธานเย่ ฉันมีเรื่องจะพูดกับท่านค่ะ”
เย่เชินหลินไม่ตอบอะไร สายตามองไปยังแก้วชาที่มีชาอยู่เต็ม ติงยียีทำใจให้สงบนิ่ง ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับแก้วชาทั้งสองด้าน
ยกแก้วขึ้นมา วางที่ปลายจมูกก่อน จากนั้นก็จิบเบาๆอึกหนึ่ง แล้วแบ่งดื่มสองครั้งจนหมด
เย่เชินหลินมองเธอด้วยความรู้สึกที่ชื่นชมมากขึ้น นิสัยใจคอของคนที่รู้จักสงบจิตใจศึกษาเรื่องชาได้นั้นจะไม่เลวเกินไปนัก
ติงยียีดื่มหมดก็รีบพูดว่า “ท่านประธานเย่คะฉันมีเรื่องด่วนต้องการพบคุณจริงๆนะคะ”
เย่เชินหลินลวกอุปกรณ์ชงชา พูดอย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไปว่า “เพราะเนี่ยนโม่เหรอ”
ในใจเธอเต้นตึกตักอีกครั้ง ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
เก็บอารมณ์ความคิดที่สับสนเอาไว้ เธอพูดว่า “ศูนย์การค้าสากลสำคัญกับเขามาก ครั้งนี้มีแค่ท่านเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ จะอย่างไรท่านก็เป็นพ่อของเขานะคะ”
มือที่กำลังจัดการกับอุปกรณ์ชงชาของเย่เชินหลินชะงักไป มองเธออย่างครุ่นคิดแล้วพูดว่า “งั้นคุณมาด้วยฐานะอะไรอีกล่ะ”
“ฉันรักเขาค่ะ”
ติงยียีคิดว่าการจะพูดสามคำนี้ออกมานั้นเป็นเรื่องยากมาก แต่พอได้พูดออกมากลับพบว่ามันไหลลื่นคล่องปากมาก
เย่เชินหลินขมวดคิ้ว สายตาคมกริบขึ้นมาทันที พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ตระกูลเย่ของฉันไม่เคยให้ท้ายให้มาก่อน ถ้าครั้งนี้เขาไม่สามารถแก้ไขเรื่องศูนย์การค้าสากลได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก”
พอสิ้นเสียงของเขา ติงยียีก็รีบถามขึ้นมาเลยว่า “ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอคะ!”
เย่เชินหลินมองเธอ พูดช้าๆว่า “มี ถ้าคุณยอมไปจากเย่เนี่ยนโม่ ผมรับปากว่าจะช่วยเขา อ้าวเสว่ต่างหากที่เป็นคนที่แม่เขาเลือกเป็นลูกสะใภ้”
เห็นสีหน้าเธอขาวซีด ท่าทางเสียใจ เขาก็พูดต่อไปว่า “ถ้าเขาไปจากบริษัทเย่ซื่อแล้วต่อไปเขาก็จะไม่เหลืออะไร ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ต้องต่อสู้ดิ้นรนใหม่อีกครั้ง คุณทนเห็นเขาตกจากสวรรค์ลงมาเป็นคนธรรมดาได้เหรอ”
เย่เชินหลินลุกขึ้นยืน มองเธอจากด้านบนลงมา ผู้หญิงคนนี้ยังเด็กเกินไป เธอไม่เข้าใจว่าอะไรคือความรัก
เขาหมุนตัวเตรียมจะให้เลขาเข้ามาเชิญเธอออกไป เวลานี้เองก็มีเสียงที่มั่นคงหนักแน่นดังมาจากด้านหลัง
“ต่อให้ฉันปล่อยมือแล้วสามารถทำให้เขาเป็นเจ้าชายผู้สูงส่งต่อไปได้ฉันก็ไม่ยอม!”
“อ้าว” เย่เชินหลินหมุนตัวลากเสียงยาว สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
ติงยียีเดินไปประตูโค้งคำนับให้เขา ยืดหลังตรงพูดว่า “ถ้าสุดท้ายเขาต้องถูกไล่ออกจากบริษัทเย่ซื่อจริง อย่างนั้นฉันกับเขาก็จะไปสร้างตัวด้วยกัน ฉันเต็มใจที่จะลำบากกับเขา ไม่สนว่าตอนไหนเมื่อไหร่ค่ะ!!”
เธอเชิดหน้ายืดอกผลักประตู มองเห็นเย่เนี่ยนโม่ที่สีหน้าสับสนอยู่ด้านนอกประตู เธอหน้าร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นเมื่อครู่เขาได้ยินมากน้อยแค่ไหน
เย่เนี่ยนโม่คว้าแขนของเธอเดินไปข้างนอก เดินไปจนออกนอกบริษัทเย่ซื่อแล้วก็ยังไม่หยุด
มือของติงยียีถูกเขทจับเอาไว้แน่นมาก เธอถามอย่างสงสัย “พวกเราจะไปไหน”
เสียงแหบแห้งของเย่เนี่ยนโม่ดังมาจากด้านหน้า “ไม่รู้”
ติงยียีรั้งเขาไว้อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน ในฐานะผู้จัดการใหญ่วิ่งออกมาแบบนี้ไม่กลัวถูกหักเงินเดือนหรือยังไง”
เย่เนี่ยนโม่หันไปมอง ขมวดคิ้ว “ไม่ได้บอกว่าอยากจะสร้างตัวไปพร้อมกับผมเหรอ”
เขาได้ยินจริงๆ! ติงยียีหน้าแดงเรื่อ พูดอ้ำๆอึ้งๆ “ฉันยังต้องทำงาน ฉันไปก่อนนะ”
เธอก้าวเท้าไป ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น เธออิงแอบแนบชิดกับแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงของเขา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ติงยียี ตกลงต้องทำยังไงกับคุณกันแน่ บอกผมหน่อย ต้องทำยังไงถึงจะรักคุณให้น้อยลงอีกนิด”
“พวกเธอทำอะไรกัน!”
สวีเห้าเซิงเดินลงมาจากรถ เย่เนี่ยนโม่เอาตัวติงยียีมาปกป้องไว้ที่ด้านหลังตนเองอย่างเงียบๆ เขาพูดว่า “ลุงสวี”
สวีเห้าเซิงสะกดกลั้นความโกรธในใจ “อ้าวเสว่ต้องการนาย”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว ชี้ไปที่ติงยียี “แต่ผมต้องการเธอ”
คำพูดของเขาทำให้ติงยียีและสวีเห้าเซิงตกใจ ติงยียีมองเขาอย่างแปลกใจ จากนั้นใบหน้าแดงเรื่อ หัวใจเธอเต้นตึกตักเพราะคำพูดของเขา
สวีเห้าเซิงปกปิดความรู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างรวดเร็วมาก พูดอย่างอดทนว่า “ยียี อ้าวเสว่ถูกคนร้ายรังแก ตอนนี้ต้องการให้เนี่ยนโม่อยู่เป็นเพื่อน เธออดทนหน่อยนะ”
เย่เนี่ยนโม่แข็งทื่อ น้ำเสียงค่อยๆเข้มขึ้น “ลุงสวี”
ติงยียีเดินออกมาจากด้านหลังเขา เขาใจเต้น ตอนที่เขาคิดว่าเธอจะบอกว่าให้เขาไปอยู่ข้างๆอ้าวเสว่นั้นเองเธอกลับพูดว่า “ฉันหาเหตุผลที่ต้องยอมอดทนไม่ได้เลย”
“เธอ!” สวีเห้าเซิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะเห็นแก่ตัวขนาดนี้ โกรธจนเงื้อมือขึ้นมาจะฟาดลงไป
มือที่เงื้อขึ้นมาของเขาถูกเย่เนี่ยนโม่จับไว้แน่นกลางอากาศ “ลุงสวี ดูเหมือนว่าคุณลุงจะไม่มีสิทธิ์ที่จะตบเธอนะครับ บนโลกใบนี้ แม้แต่พ่อของเธอก็ทำร้ายเธอไม่ได้”
คำว่า“พ่อ” คำเดียวทำให้สายตาของติงยียีและสวีเห้าเซิง แววตาอ่อนไหวขึ้นมา สวีเห้าเซิงสะบัดมือเขาออก ส่ายหน้าหมุนตัวไป เย่เนี่ยนโม่มองแผ่นหลังที่เยือกเย็นของเขาก็อดไม่ได้ที่ก้าวไปข้างหน้า “ลุงสวี!”
สวีเห้าเซิงหันมามองเขา พยักหน้าให้เขา ตาซ้ายเขาหยีลงด้วยความคุ้นเคย นั่นคือดวงตาที่เมื่อก่อนได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่มองลุงสวีจากไป ในใจเสียใจอย่างที่สุด สำหรับการยืนหยัดในความรักจำเป็นต้องทรยศหักหลังญาติพี่น้อง ไม่ว่าใครที่ต้องจากไปล้วนทำให้เขายากที่จะเลือก
ติงยียียืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังของเขา ความเจ็บปวดที่ไม่ปิดบังเลยสักนิดของเขาทำให้เธอสงสารจับใจ เธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างเงียบๆ เย่เนี่ยนโม่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมหันหลังให้เธอ และความรู้สึกผิดของเขาที่มีต่อสวีเห้าเซิง ทำให้เขาไม่สังเกตว่า ติงยียีได้จากไปแล้ว
ติงยียีไม่ได้กลับไปที่สถานที่ถ่ายทำ และก็ไม่ได้กลับไปที่บ้าน เธอนั่งรถแท็กซี่ไปที่ยังชุมชนที่เธอคุ้นเคย
คฤหาสน์สองหลังที่คุ้นเคยคนที่มาเปิดประตูคือผู้หญิงที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง ติงยียีอึ้งตะลึง “ไม่ทราบว่าไห่โจ๋ซวนอยู่หรือเปล่าคะ”
หลินหลิงมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จู่ๆก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เขาไม่อยู่บ้าน เข้ามาก่อนเถอะ”
ติงยียีแปลกใจเล็กน้อย “คุณรู้จักฉันเหรอคะ”
หลินหลิงรินน้ำแก้วหนึ่งให้เธอด้วยตัวเอง “คุณเคยไปบ้านตระกูลเย่ เคยเห็นสองสามครั้งค่ะ”
ติงยียีเอ่ยขอบคุณแล้วรับน้ำมา เธอกังวลเล็กน้อย สายตาของผู้หญิงตรงหน้าเหมือนกับสายตาของพ่อเย่เนี่ยนโม่ น่ากลัวอย่างยิ่ง ราวกับว่ามองแค่แวบเดียวก็สามารถอ่านใจคนได้
หลินหลิงมองเธอเปลี่ยนท่าไม่หยุด ยิ้มอ่อนพลางพูดว่า “ฉันเป็นแม่ของไห่โจ๋ซวน เรียกฉันว่าน้าหลินก็ได้”
“คุณน้าหลิน สวัสดีค่ะ” ติงยียีรีบพูด พูดจบก็นั่งโง่ๆอีก บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย
หลินหลิงนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม กระโปรงที่ประณีตเรียบร้อยทำให้เธอมีความเฉียบคมของหญิงแกร่งมากขึ้น เธอรู้ว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ความระแวดระวังตัวผิดธรรมชาติที่แผ่ออกมาจากตัวเธอกลับไม่เหมือนกับเด็กในตระกูลใหญ่
เธอลูคลำแหวนที่อยู่ระหว่างนิ้ว พูดเบาๆว่า “เธอกับอ้าวเสว่ ชูฉิงแตกต่างกันอย่างมาก”
ติงยียีเงยหน้ามองเธอ ในสายตามีคำถาม หลินหลิงพูดต่อไปว่า “ชูฉิงคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แม้เธอจะนิสัยดี แต่ก็มีความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นในแบบคนรวย ส่วนอ้าวเสว่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านความจำ เกียรติยศตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอยิ่งมีความหยิ่งทระนงมากขึ้นไปอีก แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่รู้จะธรรมดาได้ขนาดไหนอีกคนหนึ่งเท่านั้น”
คำพูดของเธอแฝงด้วยความเหยียดหยามดูถูก ติงยียีขมวดคิ้วเบาๆ มารยาททำให้เธอไม่ได้ตัดบทหล่อนหลินหลิงพูดต่อไปว่า “แต่ว่า ถ้าจะเลือกคนรักสักคนให้โจ๋ซวน ฉันจะเลือกเธอ”
ติงยียีเงยหน้ามองเธออย่างแปลกใจ หลินหลิงยิ้ม “เธอกับแม่ของเนี่ยนโม่เหมือนกันมาก ไม่มีเล่ห์กลอุบายเหมือนกัน จิตใจดีเหมือนกัน ผู้หญิงแบบนี้ดึงดูดผู้ชายได้มากที่สุดไม่ใช่เหรอ”
ติงยียีมองดอกไม่สดที่วางอยู่ในห้องอย่างใจลอย พูดเบาๆว่า “คุณน้าหลินฉันไม่ใช่คนดี ฉันก็เห็นแก่ตัวมาก บางครั้งก็อยากจะเอาคนที่รักมาผูกไว้ข้างๆตัว”
หลินหลิงไม่ได้แปลกใจในคำพูดของเธอ ดึงดอกลิลลี่ดอกหนึ่งมาจากในช่อดอกไม้แล้วยื่นให้เธอ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายพ่อของโจ๋ซวน เขาอยู่ที่สุสานหมั่นหยวน ”
ในสวนเต็มไปด้วยความเยือกเย็น กิ่งไม้แห้งลอยละล่องไปตามลม ลมพัดผ่านใบไม้ที่ร่วงหล่น ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ปลิวขึ้น ในที่สุดก็ตกลงบนแผ่นป้ายหลุมศพทีละใบ
ตรงกลางหลุมศพ ชายคนหนึ่งยืนอยู่ เสื้อกันลมสีดำที่เขาสวมถูกลมพัดส่งเสียงดังพึ่บพับ บางครั้งใบไม้ก็ร่วงหล่นลงมาบนไหล่เขา เขากลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ได้แต่ยืนนิ่งเป็นรูปแกะสลัก ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงใครอยู่
ไห่โจ๋ซวนขยับแล้ว เขายื่นมือมาปัดใบไม้ที่ร่วงลงมาบนป้ายหลุมศพออก สายตามองไปที่กลางแผ่นป้ายยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
เขาจ้องมองที่รูปซึ่งมีเครื่องหน้าคล้ายคลึงกับตนเองอย่างมาก ในใจเศร้าโศก เขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็จะแก่ชรา แต่พ่อของเขากลับหยุดอยู่ในช่วงที่สวยงามที่สุดตลอดไป แม้แต่จะแก่ชราก็ยังไม่มีสิทธิ์
เขายืนตัวตรง พูดเบาๆว่า “พ่อครับ ผมใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ศูนย์การค้าสากลเปิดไม่ได้แล้ว อีกไม่นาน ทั้งบริษัทเย่ซื่อก็จะตกอยู่ในวิกฤติทางการเงิน”
ลมพัดปะทะรั้วของสุสานหมั่นหยวนที่อยู่ไม่ไกลนัก รั้วก็แกว่งไปมาพร้อมเสียงเอี๊ยดอ๊าด เขาเงยหน้าขึ้นมองไปไกลๆอย่างงงๆ แล้วหันกลับมามองเพื่อพูดต่ออีกครั้ง ตอนที่พูดน้ำเสียงของเขาตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย
“พ่อ ผมใกล้จะแก้แค้นสำเร็จแล้ว ในที่สุดตระกูลเย่ก็พังพินาศในมือผม พ่อได้ยินแล้วใช่มั้ยครับ
เสียงที่คมชัดดังขึ้น เขามองคนที่มีรอยยิ้มในภาพด้วยความประหลาดใจ วินาทีนั้นเขาคิดว่าเป็นพ่อของเขาที่ตอบสนองสิ่งที่เขาทำ ไม่นานเขาก็พบว่า เสียงนั้นมาจากข้างหลังเขา
เขาหันกลับไป รูม่านตาหดตัวลงทันที สีหน้ากลับสงบนิ่งราวกับน้ำ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ติงยียีถอยหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ เท้ากลับไปเหยียบดอกไม้สดที่ทิ้งอยู่บนพื้น กลีบดอกลิลลี่ถูกทับด้วยดินโคลน เห็นชัดว่าหมดหนทางจะช่วยแล้ว
พวกเขาก็ยืนอยู่อย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งติงยียีจึงตามเสียงของตนเองกลับมาได้ “ทำไมต้องทำแบบนั้น”
ไห่โจ๋ซวนถอดแว่นออกมาเช็ด ยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นรอยยิ้มก็หายไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าหม่นหมอง จนทำให้คนหวาดกลัว “นี่คือสิ่งที่ตระกูลเย่ติดค้างผม”
ร่างติงยียีโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย อธิบายอย่างไม่รู้ตัวว่า “ไม่ ไม่ใช่แบบนี้ เนี่ยนโม่บอกว่าพ่อของคุณตายเพราะไปช่วยคุณ!”
“เพ้อเจ้อไร้สาระ!” ไห่โจ๋ซวนตะคอก ดวงตาสองดวงที่มองเธอแดงก่ำ “เขาพูดแบบนี้ได้ยังไง! เห็นชัดว่าพ่อของผมไปช่วยเขา!”