นั่นคือความรักรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เย่เนี่ยนโม่ตบไหล่เขา ดื่มเบียร์จนหมด ตอนที่กระป๋องเปล่าโยนเข้าไปในถังขยะเกิดเสียงดังก้องสะท้อน เวลานี้เขาคิดถึงติงยียีอย่างที่สุด ไม่ใช่ว่าทุกความรักจะได้รับรักตอบ และตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความโชคดีอย่างที่สุด
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ต้องการจะโทรหาเธอ ที่ปลายสายมีเสียงดังว่าสายไม่ว่าง ยียีกำลังคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ ในใจเขาสงสัย ก็เหมือนกับดอกบัวห่อย่นอยู่ จู่ๆก็เบ่งบานออกมาอีก เขาควรจะให้เวลาส่วนตัวกับเธอให้มากขึ้นไม่ใช่หรือ
ปลายสายนั้น ติงยียีสีหน้าเคร่งเครียด เธอจับโทรศัพท์มือถือแน่นจ้องมองที่แขนสีขาวบนเก้าอี้เขม็ง “เธอบอกว่าเธอจะมาใช่มั้ย”
ในแววตาอ้าวเสว่เต็มไปด้วยความรำคาญ เธอเปิดลำโพงโทรศัพท์ พลางสวมสร้อยข้อมือเพื่อปกปิดแผลเป็นบนข้อมือ พูดว่า “บอกว่าจะไปก็ไปไง เธอนี่น่ารำคาญ!”
เธอกดวางสาย บรรจงปัดมาสคาร่าอย่างตั้งใจ “เมื่อกี้ลูกพูดว่าใครน่ารำคาญ” ซือซือเดินลงมาจากชั้นบนถามด้วยความสงสัย
อ้าวเสว่ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจ “พ่อของเธออยากจะเจอหนู ก็ไม่รู้ว่าเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา”
“เจอลูก! เขาฟื้นแล้วเหรอ” ซือซือยืนอยู่บนบันไดขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม มือของอ้าวเสว่หยุดชะงัก หันไปมองเธอ “แม่รู้ได้ยังไงคะว่าพ่อเขาอยู่ที่โรงพยาบาล”
ซือซือสีหน้าแปลกๆ เธอไม่ได้สนใจที่จะตอบลูก ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ผู้ชายคนนั้นฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมต้องอยากเจออ้าวเสว่ เขาบอกอะไรแล้วหรือเปล่า
เธอจมอยู่ในความคิดของตนเอง จนกระทั่งจู่ๆประตูก็เปิด สวีเห้าเซิงเดินเข้ามาพูดกับอ้าวเสว่ว่า “เสี่ยวเสว่เสร็จหรือยังลูก พวกเราไปเลือกของขวัญสักชิ้นในห้างก่อน”
“คุณเองก็ไป!” ซือซือมองเขาอย่างแปลกใจ ในใจเต้นระรัว หรือว่าเขาเตรียมที่จะเปิดไพ่ต่อหน้าทุกคน ว่าเธอเป็นคนผลักเขา
สวีเห้าเซิงแปลกใจเล็กน้อยกับปฏิกิริยาที่ตื่นเต้นเกินเหตุของเธอ ขมวดคิ้วถามว่า “คุณเองก็ไปด้วยกันเถอะ จะอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวของยียี ก็ต้องเจอหน้ากันอยู่แล้ว”
“ไม่ๆๆ” เธอพูดคำว่า‘ไม่’รัวติดกันหลายครั้ง เห็นสีหน้าแปลกๆของพวกเขาก็รีบพูดว่า “คุณเองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับตระกูลเย่น่าอับอายมาก ไม่กล้าแบกหน้าไปจริงๆ พวกคุณไปกันก็พอแล้ว”
สวีเห้าเซิงรู้ว่าเธอไม่อยากจะเจอกับคนตระกูลเย่ จึงไม่ได้บังคับฝืนใจ ซือซือเห็นทั้งสองคนเดินตามกันออกจากบ้าน ได้ยินเสียงรถยนต์สตาร์ทเครื่อง รอจนไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว เธอก็หยิบกระเป๋าบนโซฟาตามออกจากบ้านไป เธอต้องรีบไปพบกับผู้ชายคนนั้นก่อนพวกเขาให้ได้!
ภายในโรงพยาบาล เวลายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในใจติงยียีก็ยิ่งตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าอ้าวเสว่จะพูดอะไรกับพ่อ ติงต้าเฉินตบเบาๆที่หลังมือเธอ ดึงเธอออกมาจากความคิด
“ลูกกำลังคิดอะไรอยู่” เขาปรับท่านั่งของตนเองเล็กน้อย ศีรษะของเขายังปวดมาก แต่เพื่อลูกสาวเขายอมอดทนไว้
“ไม่มีอะไรค่ะ” ติงยียียิ้มพลางส่ายหน้า ติงต้าเฉินถอนหายใจ “ตอนเด็กๆไม่ว่าเรื่องอะไรลูกก็ชอบที่จะบอกพ่อ เช่นอาหารกลางวันที่โรงเรียนกินอะไรอร่อยก็ต้องบอกกับพ่อ ใช่แล้ว ในโทรศัพท์มือถือพ่อยังเก็บรูปตอนเด็กๆของลูกเอาไว้อยู่ตลอด โทรศัพท์มือถือของพ่อล่ะ ไม่ได้เห็นนานมากแล้ว”
ติงต้าเฉินกลอกตาไปมา ถามโดยใช้สายตาไม่ต้องส่งเสียง ติงยียีถอนหายใจ “วันนั้นตอนที่พ่อถูกส่งมาโรงพยาบาลก็ไม่เห็นโทรศัพท์มือถือพ่อแล้วค่ะ”
ติงต้าเฉินสีหน้าเศร้าหมองลง พักหนึ่งจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร หายแล้วก็หายไป ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
ติงยียีหยิบแอปเปิลบนโต๊ะไปล้างที่ห้องน้ำ หลังจากล้างเสร็จออกมาก็เห็นว่าพ่อก้มหน้าถอนหายใจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยโดดเดี่ยวอ้างว้าง
“พ่อคะ” เธอเดินไปนั่งข้างๆเขา กุมสองมือที่หยาบกร้านของเขาเอาไว้แน่น ติงต้าเฉินบ่นพึมพำว่า “เสียดายจังเลย ในนั้นมีรูปถ่ายลูกตอนเด็ก รู้แต่แรกพ่อเอาไปล้างนานแล้ว”
ยังมีเวลาเหลืออีกสองชั่วโมงที่จะได้พบพ่อกับพี่สาวแท้ๆของตนเอง เวลาเท่านี้มากพอที่เธอจะไปลองหาที่สะพานลอยที่เกิดเหตุ ถ้าโชคดีไม่แน่ว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้างนิดหน่อย
เธอรู้ว่าโอกาสที่จะหาโทรศัพท์มือถือของพ่อเจอนั้นแทบจะเป็นศูนย์ แม้ว่าโทรศัพท์นั่นจะตกรุ่นไปแล้ว เป็นโทรศัพท์ที่ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนวัยหนุ่มสาวเลย
ราวบันไดของสะพานลอยสั่นไหวเล็กน้อยเพราะถูกลมพัด คนที่เดินบนถนนแต่ละคนต่างก็เดินอย่างรีบร้อน พยายามเอาศีรษะซุกไว้ในคอเสื้อสูง บนบันไดเด็กวัยรุ่นที่มีท่าทางเหมือนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกำลังสะพายเป้ อุ้มใบปลิวหนาๆมองคนที่เดินผ่าน อย่างเฉยชาเล็กน้อย
น้อยคนที่จะรับใบปลิวเขาไว้ ต่อให้รับมา เดินไปไม่กี่ก้าวใบปลิวก็ลงไปอยู่ที่พื้น บางครั้งเขาก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยื่นมือออกไปต่อเหมือนกับเครื่องจักร
ติงยียียืนอยู่บนสะพานลอยอย่างหดหู่ท้อแท้ ลมพัดใบหน้าเธอ เธอรถราที่หนาแน่นข้างใต้สะพาน สองฟากถนนเต็มไปตึกสูง ที่บังเอิญก็คือ ที่นี่มองเห็นยอดแหลมๆของศูนย์การค้าสากลที่เริ่มก่อสร้างใหม่อีกครั้ง
เธอรู้ว่าหาโทรศัพท์มือถือของพ่อไม่เจอแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้เธอก็ยังเดินสำรวจอย่างละเอียดถึงสองครั้ง จู่ๆก็รู้สึกว้าเหว่ในหัวใจ เธอเริ่มเสียใจทีหลังเล็กน้อย เสียใจที่ไม่ได้นัดเจอกับเย่เนี่ยนโม่ในวันนี้
ลมแรงมาก พัดจนเสื้อคาร์ดิแกนสีเบจของเธอเสียทรงไปเล็กน้อย เธอค่อยๆหรี่ตา ในใจนึกถึงการนัดหมายของวันพรุ่งนี้ เธอคิดอะไรมากมาย ตัดสินใจอยู่นานมาก พรุ่งนี้อาจจะได้เวลาที่เธอจะบอกสามคำนั้นกับเขา ให้ความสัมพันธ์นี้ได้ขยายออกมาจริงๆจังๆสักที
เธอคิดจนใจลอย ดังนั้นขากางเกงถูกจับจนส่ายไปมาเธอก็กรีดร้องเสียงดังอย่างตกใจ ขอทานคนหนึ่งผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สองขาเขาลีบเล็กเหมือนกับเด็กสองสามขวบอย่างนั้น ใบหน้าสกปรกเลอะดินโคลนมองเธออย่างขอความเมตตา “คุณผู้หญิง ทำบุญทำทานหน่อยเถอะ”
เธอถอยหลังไปสองก้าวด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็หยิบเงินสองสามเหรียญออกมาก้มตัวใส่ในชามบนพื้น เธอเพิ่งจะเงยหน้าก็มองเห็นว่าขอทานแอบมองจากด้านข้างเข้าไปในเสื้อผ้าเธอ ในแววตาส่อเจตนาไม่ดี
ท้องไส้เธอปั่นป่วน ความขยะแขยงรุนแรงก่อตัวขึ้น เธอกำลังคิดจะลุกขึ้น สายตาของเธอ ก็มองเห็นโทรศัพท์ที่เหน็บอยู่ตรงเอวขอทาน
“โทรศัพท์นี้เป็นของฉัน!” ติงยียีรีบชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ
สีหน้าขอทานหมองลงทันที ดึงเสื้อผ้าที่เก่าขาดมาปิดตรงเอว มองเธอด้วยใบหน้าเอาเรื่อง คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนมองหญิงสาวหน้าตาดีกำลังหาเรื่องกับขอทานคนหนึ่ง ต่างก็มองเธอด้วยสายตาแปลกใจ
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ติงยียีเดินเข้ามาในตึกผู้ป่วยในพร้อมฮัมเพลงเบาๆ ในมือถือโทรศัพท์มือถือ ในที่สุดเธอก็ซื้อโทรศัพท์กลับมา ตอนนี้เธอสบายใจเหมือนกำลังล่องเรือในเดือนหก
ประตูห้องผู้ป่วยไม่ได้ปิดสนิท มีเสียงที่คุ้นหูพูดคุยกันดังออกมา ติงยียีชะงักฝีเท้า ภายในห้อง แม่แท้ๆที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานของเธอนั้นกำลังพูดอะไรบางอย่างตรงหน้าเตียง เธอได้ยินไม่ชัดนัก กำลังคิดจะผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมสูงดังมาจากในห้องทำให้เธออึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น
“เพื่อเด็กคนนั้น ฉันหวังว่าคุณจะไม่บอกเรื่องในวันนั้น จะอย่างไรฉันก็เป็นแม่แท้ๆของเธอ ข้อนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้” ซือซือมองผู้ชายบนเตียงอย่างระแวดระวัง แอบเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เธอต้องรีบหน่อย ไม่อย่างนั้นสวีเห้าเซิงก็จะมาแล้ว
ติงต้าเฉินนอนอยู่บนเตียง ถอนหายใจอย่างแรง มองผู้หญิงที่หน้าตาสวยตรงหน้า ในใจกลับผิดหวังแทนติงยียี
“ผมไม่เคยคิดจะเปิดโปงคุณมาก่อนเลย ก็คิดเสียว่าผมเป็นคนล้มลงไปเอง แต่ผมหวังว่าคุณจะดีกับเด็กคนนั้นหน่อย ตั้งแต่เด็กเธอไม่ได้รับความรักจากแม่เลย ในเมื่อคุณเองก็พูดว่าคุณเป็นแม่แท้ๆของเธอ ผมก็หวังว่าคุณจะไม่โหดร้ายกับเด็กคนนั้นแบบนั้น”
ติงต้าเฉินยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก ทันใดนั้นก็มองไปที่ประตูอย่างตกใจ สีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา “ยียี”
ซือซือค่อยๆหมุนตัวไป สบตากับติงยียีที่มองเธอเงียบๆอยู่ที่ประตู มือติงยียีสั่นอย่างอดไม่ได้ แทบจะจับโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กๆไว้ไม่อยู่
นานพักใหญ่เธอจึงได้ยินเสียงแหบพร่าของตนเองเหมือนวิทยุที่เสียพูดอย่างช้าๆว่า “คุณเป็นคนผลักพ่อของฉันล้มเหรอ”
ซือซือนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ติงต้าเฉินที่อยู่อีกด้านรีบดึงผ้าห่มบนตัวออก หยิบไม้เท้าที่อยู่ข้างเตียงมาคิดจะลงจากเตียง พลางเอ่ยว่า “ยียี! ไม่ใช่อย่างนี้ พ่อไม่ระวังกลิ้งลงไปเอง”
“ตึก!” เขาลุกอย่างรีบร้อนเกินไป พื้นก็เพิ่งถูเสร็จ ไม้เท้าลื่น ติงต้าเฉินล้มลงไปบนพื้นทั้งตัว สายน้ำเกลือล้มทับไปบนตัวเขา
“พ่อ!” ติงยียีรีบไปพยุงเขาขึ้น หมอที่เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์ก็มาช่วยเหลือ สองคนช่วยกันไม่นานก็ประคองติงต้าเฉินกลับมาบนเตียง
ซือซือรู้ว่าติงยียีไม่มีทางให้อภัยตัวเอง รีบทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “เขาก็บอกว่าเขาไม่ระวังล้มลงไปเอง ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไปแล้ว” ยังไม่ทันสิ้นเสียงเธอก็รีบเดินออกจากห้องไปแล้ว
ติงต้าเฉินขมวดคิ้วประคองข้อมือไว้ เมื่อครู่เพื่อพยุงร่างเอาไว้ ข้อมือของเขาจึงกระแทกลงกับพื้นเต็มๆ ตอนนี้ทั้งเจ็บทั้งชา เห็นลูกสาวที่อยู่ข้างๆหน้าตาจะร้องไห้เขาก็ลูบที่หลังมือของลูกสาวอย่างฝืนๆ “ลูก ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นแม่ของลูก พ่อก็เป็นแค่พ่อที่เลี้ยงดูเท่านั้น พ่อไม่สามารถอยู่กับลูกไปตลอดได้”
ติงยียีส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอปล่อยมือพ่อ ก้มหน้าก้มตาบ่นพึมพำว่า “ไม่ใช่แบบนี้ พ่อต่างหากที่เป็นพ่อของหนู เธอไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“ยียี!” ติงต้าเฉินยังอยากจะพูดอะไรต่อ จู่ๆติงยียีก็ลุกขึ้นยืน พูดเบาๆว่า “หนูออกไปแปบเดียวนะคะ”
ซือซือรีบเดินออกไปด้านนอกโรงพยาบาล อากาศอึมครึม เมฆหนาลอยละล่องอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าวินาทีต่อไปก็จะร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า ในใจเธอคิดไม่หยุด ติงยียีมั่นใจว่าตนเองเป็นคนทำร้ายพ่อเธอแล้ว ตอนนี้ที่เธอกังวลที่สุดก็คือเธอจะบอกเรื่องนี้กับเย่เนี่ยนโม่หรือไม่
เธอหยิบกุญแจรถออกมากด “ติ๊ด ติ๊ด” ปลดล็อกระบบเตือนภัย เธอเพิ่งจะเปิดประตูเข้าไปนั่ง เพิ่งจะสวมแว่นกันแดด หน้ารถก็มีร่างหนึ่งวิ่งออกมา
ติงยียีเคาะฝากระโปรงรถ คนที่เดินผ่านต่างให้ความสนใจกับเสียงดังปึงปังทางนี้ ต่างค่อยๆมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
ซือซือขมวดคิ้วลงจากรถ “เธอคิดจะทำอะไร”
“ทำไมวันนั้นคุณต้องผลักพ่อฉันตกลงไป” ติงยียีสาวเท้ามาตรงหน้าเธอ แม้ว่าเธอจะเตี้ยกว่าครึ่งช่วงศีรษะ แต่กลับแหงนมองเธออย่างไม่หวั่นเกรง
ซือซือชะงัก ในหัวกลับว่างเปล่า เธอนึกไม่ออกว่าวันนั้นผู้ชายคนนั้นพูดอะไรกับตนเอง ไม่อยากมีเรื่องกับติงยียีจนบานปลายเกินไป เธอลดน้ำเสียงให้อ่อนลง “วันนั้นฉันทำไม่ได้จริงๆ แต่ว่าพ่อเธอเป็นฝ่ายมาระรานฉันก่อน”
“อย่างนั้น” มือของติงยียีค่อยๆกำหมัดแน่น พูดต่อไปว่า “อย่างนั้นทำไมคุณไม่ช่วยเขาแต่เลือกที่จะหนีไป”