“ยียี อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาประกาศแล้ว เวทีแฟชั่นโชว์ที่ปารีสก็มีคนมาหา แล้วยังดีไซเนอร์พวกนั้นก็รอเธออยู่” ชิวไป๋ยืนอยู่ข้างพลางเปิดสมุดบันทึก
เย่เยี่ยนโม่สีหน้าเรียบเฉย มองเธอพลางพูดว่า “ยินดีด้วย”
เธอคิดว่าตนเองจะไม่หวั่นไหวอีก แต่เมื่อได้ยินเสียงของเขาก็ยังมีความประหม่าอยู่บ้าง ปกปิดอารมณ์ทั้งหมดไว้ เธอยิ้มจนคิ้วโก่ง “รอให้ฉันไปเดินแบบที่ฝรั่งเศสกลับมาก่อนค่อยว่ากันนะคะ”
เย่เนี่ยนโม่แปลกใจเล็กน้อย เกือบจะหลุดพูดห้ามปรามออกไปอยู่แล้ว ติงยียีละสายตาออกไปจากสองคนตรงหน้าแล้ว
เธอเดินด้วยรองเท้าส้นสูงมาที่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องประดับมองอย่างพินิจพิจารณา ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “เครื่องประดับเหล่านี้ฉันชอบมาก ฉันซื้อหมดเลยแล้วกันนะคะ”
อ้าวเสว่ตกใจ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือความสงสัย เธอไม่เชื่อเลยสักนิดว่าติงยียีจะซื้อเครื่องประดับหลายสิบชิ้นนี้ได้
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเบาๆ ขยิบตาให้กับเย่ป๋อที่อยู่ข้างๆ เย่ป๋อเข้าใจ พยักหน้าเดินออกไปโทรศัพท์ให้ธนาคารถอนเงิน ในยามจำเป็นให้เขาเป็นคนออกหน้าช่วยคุณยียีชำระเงินเลย
ชิวไป๋ขมวดคิ้วแน่น ลากติงยียีไปกระซิบข้างๆ “พวกเรามีเงินมากมายขนาดนั้นที่ไหนกัน”
“ตอนนี้ใบบัตรฉันมีเงินเท่าไหร่คะ” ติงยียีเองก็พูดด้วยเสียงเบาๆเช่นกัน
“เดือนนี้ได้มาแปดหมื่นแล้ว ถ้าจะซื้อเครื่องประดับพวกนั้นอาจต้องใช้เงินหลายแสน” ชิวไป๋คิดว่าเธอเป็นน้องสาวของตนเองโดยไม่รู้ตัว ในน้ำเสียงมีแต่ความร้อนใจ
ติงยียีพยักหน้า หยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าถือของตนเอง “นับรวมในนี้ด้วยน่าจะพอนะคะ” นั่นคือบัตรที่สวีเห้าเซิงให้เธอมา ตอนนี้เอาบัตรที่เขาให้มาซื้อของลูกสาวเขาก็ไม่ถือว่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย
อ้าวเสว่เดินมาตรงหน้าเธอด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไง เลือกได้หรือยังว่าอันไหน ฉันลดราคาให้เธอได้นะ ไม่อย่างนั้นก็หลบไป ไม่ต้องทำให้คนอื่นเสียเวลา”
ชิวไป๋ไม่พอใจในน้ำเสียงเธอ สีหน้าเย็นยะเยือกลงพูดว่า “ไม่จำเป็น คุณติงยียีของเราจะซื้อทั้งหมด!”
อ้าวเสว่อึ้ง คิดไม่ถึงว่าติงยียีจะมีเงินจริงๆ เธอดึงสติกลับมาเรียกหาใครคนหนึ่ง “พาคุณติงไปจ่ายเงิน”
“ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณติง เรื่องพวกนี้ฉันไปก็ได้ค่ะ คุณติง รอสักครู่นะคะ” ชิวไป๋รักษาหน้าติงยียีเอาไว้ได้มาก เดินหน้าเชิดหลังตรงไป
อ้าวเสว่ทำหน้าไม่ถูก เย่ป๋อแอบไปที่หลังเวทีอย่างเงียบๆ ชิวไปกำลังรูดบัตรจ่ายเงิน
“ใช้ของผมเถอะ” เย่ป๋อเอาบัตรยื่นไปให้
ชิวไป๋เหล่มองหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆใจก็เต้นตึกตัก ไม่นานก็ดึงสติกลับมา “ไม่ต้อง”
เย่ป๋อพูดไม่ค่อยเก่ง เห็นอีกฝ่ายไม่รับ เอาบัตรเคาะบนโต๊ะ พูดว่า “ในบัตรมีสามแสน รหัสอยู่ด้านหลังบัตร!”
ชิวไป๋มองเขาเดินหายลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความแปลกใจ เนิ่นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้ รอจนชิวไป๋หยิบอัญมณีที่มีค่าสี่แสนออกมา ติงยียีก็ถูกแฟนคลับรุมล้อมจนเดินไปไหนไม่ได้แล้ว
“คุณติงพวกเราไปเถอะ” ชิวไป๋กวาดสายตามองไปรอบๆงาน มองเห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างๆผู้จัดการใหญ่เย่ ในใจก็พอจะมั่นใจขึ้น
“คุณติงค่อยๆเดินช้าๆนะคะ” พนักงานที่อยู่ด้านหลังพูดเสียงดัง สีหน้าอ้าวเสว่หม่นหมอง วันนี้ที่ติงยียีทำแบบนี้ก็เหมือนเป็นการตบหน้าตนเอง ทำให้ตนเองไม่พอใจ สำหรับเธอแล้ว ของจะขายให้ใครก็ได้ แต่ขายให้ติงยียี เอาเงินของหล่อนมาทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองตกต่ำอยู่คนละชั้นกัน!
ตอนที่เดินมาที่โรงจอดรถติงยียียังดึงสติกลับมาจากเพลงนั้นไม่ได้ เธอกำลังเตรียมตัวขึ้นรถ ก็มองเห็นรถเร่งเครื่อง มุ่งหน้ามาทางนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง รถจึงเร่งความเร็วขับกลับมา สีหน้าชิวไป๋แดงเรื่องอย่างไม่เคยเห็น “ขอโทษด้วย เมื่อครู่ผมไม่ทันสังเกตว่าคุณยังไม่ได้ขึ้นรถ”
ติงยียีเป็นกังวลเล็กน้อย “คุณไม่เป็นไรนะคะ” ชิวไป๋คิดทบทวน ทันใดนั้นก็เปิดประตูออกไป “รอฉันสิบนาที ฉันไปทำธุระหน่อย”
“แต่พวกเราไม่ใช่ว่าต้องไปคุยงานกับดีไซน์เนอร์ชุดที่จะใส่ที่ปารีสเหรอคะ” ติงยียีรีบรั้งเธอไว้
ชิวไป๋ไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไปหรืยัง ร้อนใจมากในมือเธอยังกำบัตรนั้นไว้ เธออยากพบผู้ชายคนนั้น เอาบัตรคืนให้เขา จากนั้นก็ถามชื่อของเขา
เธอแกะมือติงยียีออก “ฉันจงใจพูดต่อหน้าแฟนคลับ นัดพบกับดีไซน์เนอร์คือพรุ่งนี้!”
ติงยียีมองผู้ช่วยของตนเองที่สวมรองเท้าส้นสูงยังเดินได้รวดเร็วขนาดนั้น ได้แต่ถอนหายใจรอคนมา
รอไม่นาน ข้างโรงจอดรถก็มีเสียงฝีเท้าดังมา เธอรีบเอารองเท้าส้นสูงที่วางบนพื้นขึ้นมาใส่
เย่เนี่ยนโม่สาวเท้าเดินนำหน้ามา เย่ป๋อตามมาด้านหลังเขา ติงยียีย่อตัวลงแอบอยู่ที่พื้น
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มาสำรวจตรวจตราข้างๆถามอย่างแปลกใจว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้นั่งยองๆทำอะไรอยู่ที่พื้นครับ”
เย่เนี่ยนโม่และเย่ป๋อก็หันมามองทางนี้ ติงยียีลุกขึ้นอย่างอับอาย เมื่อครู่ตอนอยู่ในงานจัดแสดงเครื่องประดับยังรักษาท่าทีว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเย่เนี่ยนโม่ ตอนนี้เธอรู้สึกขายหน้าอยู่บ้างแล้ว!
เย่เนี่ยนโม่หันหน้าไปพูดอะไรบางอย่างกับเย่ป๋อ เย่ป๋อพยักหน้าขับรถจากไป ติงยียีมองเขาเปิดประตูรถของตนเองเข้าไปนั่งอย่างงงๆ
“ขึ้นรถ” เขามองเธอด้วยสายตานิ่งขรึม
“คุณทำอะไร ฉันเคยบอกแล้วว่าพวกเราอย่ามาเกี่ยวข้องกันอีก” ติงยียีอยู่ตรงประตูรถไม่ยอมขึ้นรถ
เย่เนี่ยนโม่ลงรถเดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวอุ้มเธอขึ้นมา เธอไม่ทันได้ยืนให้มั่น สองมือโอบรอบคอของเขาเพื่อรักษาสมดุล
เย่เนี่ยนโม่ฉีกยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข ก้มตัวอุ้มเธอเข้ามาในรถ หลังจากช่วยเธอรัดเข็มขัดนิรภัยแล้วจึงกลับไปที่นั่งคนขับ
ติงยียีอยากจะหนี แต่พบว่ารถถูกล็อกไว้แล้ว เธอเบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่างอย่างโมโห
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ขับรถ นิ้วมือเขาเคาะพวงมาลัยเบาๆ “ท่าทีที่แสดงออกเมื่อกี้นี้ไม่เลวเลยนะ”
เขาหันมามองเธอ แม้ว่าเธอไม่ได้พูดอะไร แต่โคนหูก็แดงเรื่อไปหมดจนน่าสงสัย เขายิ้มอย่างมีความสุข เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “ติงยียี ผมลืมคุณไม่ได้”
ติงยียีหันกลับมา มองเขาอย่างนิ่งเงียบ ในแววตาเรียกร้องอย่างเงียบๆ เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจ ยื่นมืออกมาปิดตาเธอไว้
เธอไม่ได้ขัดขืน ได้แต่นั่งเงียบๆ สัมผัสได้ว่ามีสิ่งที่อ่อนนุ่มทับอยู่บนเปลือกตาเบาๆ
เย่เนี่ยนโม่พิงเบาะ พูดอย่างช้าๆว่า“ตอนเด็กๆ มีคนคิดจะจับผมไปเรียกค่าไถ่” เปลือกตาที่อยู่ใต้ฝ่ามือขยับ มือของเย่เนี่ยนโม่ก็ขยับตาม พูดต่อไปว่า “ไอ้บ้านั่นมันจับผิดคนแล้ว คิดว่าไห่โจ๋ซวนคือผม พ่อเขาไปช่วยเขาก็เลยถูกยิงตาย”
เย่เนี่ยนโม่แหงนหน้ามองเพดานรถ อารมณ์ตกต่ำ จนฟังไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร “แม้ว่าคุณลุงไห่จะไม่ได้ตายเพราะไปช่วยผม แต่เรื่องนั้นก็เกี่ยวพันกับผม ผมเคยรับปากกับแม่ของผม ถ้ามีวันหนึ่งที่ผมชอบของสิ่งเดียวกับไห่โจ๋ซวน ผมจะเป็นคนนั้นที่ยอมปล่อยมือ”
ติงยียีลองพยายามที่จะพูดหลายครั้ง จึงจะพูดในสิ่งที่อยากพูดออกมาได้ “ทำไมต้องเอาเรื่องพวกนี้มาบอกฉัน”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม “อาจจะเป็นเพราะว่าคุณน่าหลงใหลเกินไปมั้ง ก็เมื่อกี้ท่าทางหยิ่งทระนงของคุณ ทำให้ผมกังวลใจมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าผมสูญเสียคุณไปแล้ว”
ติงยียีเอามือเขาออก หันหน้ามามองเขา “คุณไม่เคยครอบครองฉันมาก่อนเลย”
เย่เนี่ยนโม่กุมมือของเธอไว้ ใช้มือเดียวขับรถ “อาจจะใช่ อย่างน้อยวันนี้ก็ทำให้ผมใจอ่อน พรุ่งนี้ผมก็ยังคงพยายามที่จะให้ตนเองลืมคุณ”
คำพูดของเขาแฝงด้วยความเศร้าใจ นั่นคือความเจ็บปวดที่ไม่มีทางได้รับ เธอแปลกใจที่ตนเองกลับฟังออก หงุดหงิดใจจนทนตัวเองไม่ไหว
รถยนต์ค่อยๆขับออกจากโรงรถ เย่เนี่ยนโม่ถามว่า“จะไปไหน”
ติงยียีรู้ว่าตนเองควรจะปฏิเสธเขา แต่โพล่งออกมาว่า “ทำงาน”
กองถ่าย ผู้กำกับนั่งตัวตรงอย่างหดหู่ สายตาของผู้ชายคนนั้นด้านหลังเหมือนกันจะมองเขาให้ทะลุปรุโปร่ง ผู้ชายคนนี้เหมือนผู้จัดการส่วนตัวที่ไหนกัน เรียกว่าเหมือนท่านประธานมากกว่า!
เพื่อหลบเลี่ยงความอึดอัด เขารีบพูดกับติงยียีว่า “ครั้งนี้จะถ่ายโฆษณาปิ้งย่าง คุณกินไปพลางยื่นนิ้วโป้งออกมาพลาง ทำได้มั้ย”
ติงยียีพร้อมแล้ว ด้านหน้ามีเนื้อย่างฉ่ำๆวางเอาไว้ เธอพยักหน้า ผู้กำกับทำมือ ตอนนี้ในกองถ่ายเงียบลง
ติงยียีกินปิ้งย่างคำโตอย่างอร่อย พร้อมกันนั้นก็เดินไปทางกระจกยกนิ้วสองนิ้วขึ้นมา
“คัท! ยียี ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้น กระพุ้งแก้มโป่งขึ้นมาแล้ว ต้องสวยหน่อย”
เธอพยักหน้าอย่างเขินอาย ครั้งที่สองเริ่มขึ้น เธอเพิ่งจะคีบเนื้อสองชิ้นเข้าไปในปาก
“คัท!ยียี เนื้อสองชิ้นนั้นน่าเกลียดเกินไป คุณช่วยเลือกชิ้นเนื้อที่มันดูดีกว่านี้หน่อย”
ติงยียีพยักหน้า สายตาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ข้างๆ เขาก็กำลังมองเธอ ทั้งสองสบตากัน เธอรีบเบนสายตาหนีไปมองทางอื่น
“คัท”
“คัท”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ติงยียีกุมท้องที่ใหญ่ขึ้นมองเนื้อย่างที่กินไม่มีวันหมดตรงหน้า เธออยากจะทำออกมาให้ดี ทำให้เย่เนี่ยนโม่ชื่นชม แต่ยิ่งอยากให้สำเร็จมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพ่ายแพ้มากเท่านั้น เธอมองไปยังที่ที่เขายืนอยู่อย่างรู้สึกพ่ายแพ้
เย่เนี่ยนโม่ไม่รู้ว่าตนเองหายไปจากที่เดิมตั้งแต่เมื่อไหร่ ในใจเธอเสียใจเล็กน้อย ตนเองแบบนี้ไม่มีประโยชน์ทั้งยังทำให้เขาผิดหวังสินะ
ประตูถูกเปิดออก เย่เนี่ยนโม่เดินตรงไปที่ด้านหน้าของผู้กำกับ “บทเปลี่ยนนิดหน่อย แก้ตรงส่วนที่กินหน่อย”
ผู้กำกับถูกสายตาของเขามองจนขนลุก พูดด้วยลำคอตีบตัน “ทำไมคุณถึงกล้ามาพูดแบบนี้กับผม!”
เย่เนี่ยนโม่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างวิ่งมาเอาโทรศัพท์มือถือส่งให้เขา“เจ้านายใหญ่”
ผู้กำกับรับสาย ฟังโทรศัพท์ไปพลางสีหน้าก็เปลี่ยนไปพลาง เห็นสายตาของเย่เนี่ยนโม่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย เจ้านายในสายก็คือเพื่อนของเขา ที่ผ่านมาเขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ให้เขาเปลี่ยนคำพูดมันลำบากแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นแค่เรื่องถ่ายโฆษณาเรื่องเล็กๆแบบนี้
“ตกลงคุณเป็นใครกันแน่” ผู้กำกับวางสายอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
เย่เนี่ยนโม่เปิดกระดุมสองเม็ดบนของเสื้อเชิ้ต สีหน้าเกียจคร้าน “ผมก็แค่ผู้จัดการส่วนตัวเท่านั้นเองครับ”
ภายใต้ความคิดของผู้กำกับเนื้อหาในโฆษณาตอนแรกที่ต้องกินเนื้อย่างก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นต้องการให้คีบชิ้นเนื้อ รอจนถ่ายทำเสร็จความรวดเร็วเร็วกว่าที่คาดไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง
ติงยียีเดินออกมาจากกองถ่าย ผู้ช่วยคนหนึ่งรั้งตัวเธอไว้ “ยียี เขาเป็นผู้ช่วยเธอจริงๆไม่ใช่ดารานะ”
ติงยียีมองหล่อนอย่างนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร แขนถูกผู้ช่วยตีอย่างกะทันหัน เธอมองไปตามสายตาของหล่อน