ชิวไป๋มองเขา “คุณเย่ ด้วยศักยภาพของคุณแล้วแน่นอนว่าจะต้องทำบริษัทการแสดงที่มีแค่เปลือกนอกออกมาได้รวดเร็วอยู่แล้ว แต่ว่าวงการบันเทิงเป็นที่ที่ด่างพร้อยได้ง่าย ทำแบบนี้เท่ากับว่าเปิดเผยเธอต่อหน้าสื่อมวลชน หลังจากนี้ชีวิตของเธอก็จะต้องระมัดระวังมากขึ้นไปอีก”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว นี่คือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด เขาอยากเอาเธอมาผูกไว้ข้างตัว แต่เขาก็รู้ว่าอิสระคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ
ชิวไป๋ถอนหายใจออกมา “บางทียียีเธออาจจะไม่ชอบอาชีพนักแสดงจริงๆ” เธอเห็นหล่อนทำงานอย่างระมัดระวัง ปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่ในสายตาของเธอกลับไม่มีความกระตือรือร้นเลย ไม่มีความปรารถนาที่จะเจิดจรัสอยู่บนเวที
เย่เนี่ยนโม่เข้าใจความหมายของเธอ ชั่วพริบตาในหัวปรากฏภาพของติงยียีกำลังถือพู่กันวาดภาพ นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของเธอตอนที่ร่างภาพแหวนวงหนึ่งอย่างมีชีวิตชีวาเขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย ถ้าตอนแรกเขาไม่บังคับให้เธอหนีไป ไม่คิดที่จะอยากปกป้องเธออย่างรีบร้อน แบบนั้นการก้าวเดินของเธอคงจะดีกว่านี้สักหน่อย
“ช่วงนี้เธอดูไม่มีชีวิตชีวาเลย โดยเฉพาะเธออยากจะซื้อบ้านสักหลังอีก” ชิวไป๋มองสีหน้าของเขาดุเดือดขึ้นมา พูดอย่างสำรวม เพียงแค่พูดถึงติงยียี เธอก็สามารถเห็นการแสดงออกที่แตกต่างจากในสายตาของเขาได้
ไม่นาน เย่เนี่ยนโม่ก็กลับคืนสู่ท่าทางที่ดูลึกลับดังเดิม สายตาของเขากลับมาอยู่บนแก้วชาที่ประณีตอีกครั้ง แล้วพูดว่า : “ขอบคุณมาก”
เขาพูดแค่ขอบคุณมาก? เขาจะยอมแพ้เหรอ? คิดจะเฝ้ามองอยู่แค่ข้างๆ? จนกระทั่งถึงตอนบ่ายไปดูบ้านเป็นเพื่อนติงยียี ชิวไป๋ก็ยังคิดถึงปัญหาเหล่านี้อยู่ตลอด
เธอรู้ว่าคนแบบเย่เนี่ยนโม่ไม่ใช่คนที่จะมองออกง่ายๆ แต่เธอยังอยากรู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีกสักหน่อย อย่างน้อยก็ทำแบบนี้เพื่อติงยียี
“คุณผู้หญิงทั้งสองคน ลองดูวิลล่าแบบนี้ก็ได้ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของครอบครัวหนึ่งมาก สองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ห้องน้ำห้องครัวแยกเป็นสัดส่วน โดยเฉพาะแต่ละหลังล้วนมีสวนหลังบ้านภายในสวนหลังบ้านนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ แล้วยังมีบ่อน้ำพุร้อนขนาดเล็กอีกหนึ่ง น้ำพุร้อนทั้งหมดต่อท่อออกมาจากตาน้ำ”
เห็นผู้จัดการขายบ้านพูดนำเสนอไม่หยุด เขาจำติงยียีได้ เมื่อเธอดูเหมือนไม่อยากจะซื้อมากนัก เขาก็ยิ่งพยายามหนักขึ้นอีก : “บอกพวกคุณอีกเรื่องหนึ่งนะครับ จริงๆ แล้วไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นดาราก็เลยบอกคุณเลยนะเนี่ย
จริงๆ แล้วที่นี่มีคนใหญ่คนโตอาศัยอยู่มากมาย สวีเห้าเซิงรู้จักไหม! เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับประเทศ ตอนนี้ที่อเมริกาก็ยังมีภาพเหมือนของเขาอยู่ในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของที่นั่น ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่นี่ อยู่ข้างบ้านหลังที่พวกเราเพิ่งไปดูมาเมื่อกี้นี้”
เดิมทีผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์คิดว่าเขาจะได้เห็นสีหน้าแปลกใจของทั้งคู่ ในความเป็นจริงกลับมีเพียงผู้หญิงที่ค่อนข้างเข้มแข็งมาโดยตลอดที่เผยความรู้สึกตกใจออกมา ส่วนดาราอีกคนที่ชื่อติงยียี นับวันใบหน้ากลับยิ่งดูอึมครึม
“ฉันไม่คิดจะเอาที่นี่แล้ว พวกเราไปกันเถอะ” ติงยียีดึงชิวไป๋ออกมาอย่างรีบร้อน ก้มหน้าก้มตามุ่งหน้าไปยังทางออก
“คุณสวี! ไปหาลูกสาวอีกแล้วหรือครับ” ผู้จัดการฝ่ายบัญชีเห็นสวีเห้าเซิงเดินออกมาจากบ้านเลยทักทายอีกฝ่ายอย่างมีความสุข
สวีเห้าเซิงพยักหน้าให้เขา เนื่องจากติงยียีสวมหมวกอยู่ เพราะงั้นเขาจึงจำเธอไม่ได้ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีก็ยังพูดไม่หยุดอยู่ด้านข้าง “ร้านเครื่องประดับของลูกสาวคุณเปิดกิจการวันนี้ใช่ไหม ได้ยินมาว่าเชิญแซ่ถิงถิงที่เป็นดาราสาวแถวหน้ามาเดินแบบให้ด้วย ช่างสุดยอดจริงๆ”
ติงยียีก้มหน้า ทั้งที่บอกกับตัวเองมาโดยตลอดว่าอย่ารู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้ แต่อดไม่ใส่ใจไม่ได้ เขาเอ็นดูและรักอ้าวเสว่มากจริงๆ สินะ ถึงลงมือช่วยเธอทำเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกเศร้า ออกซิเจนในฤดูหนาวก็ดูเหมือนยากที่จะสูดเข้าไป แทบจะดึงชิวไป๋อย่างแรงขึ้นอีกหน่อย เธอหมุนตัว และก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ยียีช้าลงหน่อย ทำไมอยู่ๆ ถึงรีบเดินขนาดนั้น!” ชิวไป๋ถูกเธอลากจนเซไปมา รีบตามไปทันที
ทั้งคู่เดินไปไม่กี่ก้าว มีเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนลอยมาจากด้านหลัง สวีเห้าเซิงรีบวิ่งมาดักหน้าติงยียี “ยียี เป็นเธอจริงๆ ด้วย”
ชิวไป๋มองไปยังติงยียีอีกครั้งแบบเงียบๆ บอกว่าเธอเป็นคนจน แต่ว่าเธอไม่เพียงแค่ทำให้คุณชายเย่ตามจีบเธออย่างแน่วแน่ ตอนนี้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็ยังพูดคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“ยียี เธอจะซื้อบ้านเหรอ?” สวีเห้าเซิงมองเห็นเธอแล้วดูดีใจมาก หลังจากเกิดเรื่องที่ไม่พอใจขึ้นที่โรงพยาบาล เขาก็อยากที่จะชดเชยอย่างร้อนใจ กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี
ติงยียีก้มหน้า จนกระทั่งข้อมือของเธอถูกชิวไป๋มาดึงนิดหน่อย ถึงช้อนสายตาที่เจ็บปวดราวกับเด็กน้อยที่หวาดกลัว ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าตัวเองควรที่จะยิ้มอย่างสดใสบ้าง เธอจึงหันไปยิ้มแบบที่ตนเองคิดว่าสดใสที่สุดให้เขา “คุณสวี คุณรีบเกินไปแล้ว ฉันเห็นข่าวที่ลูกสาวของคุณจะเปิดร้านแล้ว ดูไม่เลวเลย อย่าไปสายนะคะ”
เธอหมุนตัวแล้วเดินจากไป สวีเห้าเซิงอยากจะเข้าไปจับมือของเธอเอาไว้เขาอยากที่จะอธิบาย แต่กลับถูกสายตาที่เธอหันมามองอย่างเจ็บปวดตรึงเอาไว้
สายตานั้นราวกับขอร้องวิงวอน อ้อนวอนเขาให้ปล่อยเธอไป อ้อนวอนเขาอย่ามาเข้าใกล้ตนเองอีก
รู้ตัวอีกทีแม้แต่ภาพเงาเลือนรางในสายตาก็ไม่เห็นแล้ว ผู้จัดการฝ่ายบัญชีเห็นภาพด้านหลังของเขาที่ยืนแข็งทื่อ อยากจะตะโกนเรียกเขา แต่กลับพบว่าเขาก้าวขายาวๆ เดินไปอย่างรวดเร็ว
สวีเห้าเซิงขับรถอย่างไม่มีสติ ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาไปบ้านของลูกสาวคนโต มองดูชุดสวยๆ ของเธอ สวมใส่สร้อยคอราคาแพง อีกไม่นานเธอก็จะกลายเป็นดาราที่ถูกมวลชนจับจ้องภายในร้านของตนเอง แต่ลูกสาวคนเล็กของเขาแม้กระทั่งบ้านสักหลังก็ยังไม่มี
เขาสุดที่จะทนได้ จอดรถข้างทาง หยิบมือถือออกมาแล้วโทรศัพท์ไปหาผู้จัดการฝ่ายบัญชีเมื่อสักครู่ทันที จองวิลล่าสักหลัง
“ซื้อวิลล่าให้ใครหรือคะ?” อ้าวเสว่พูดอย่างไม่ใส่ใจ ในใจของเธอรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย วันนี้เธอจะก้าวข้ามอีกขั้นของหลักชัยสูงสุดในวงการเครื่องประดับอย่างแท้จริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอก็จะอยู่ในสังคมชั้นสูงจริงๆ แล้ว!
แต่ตอนนี้ เธอต้องการมีใครสักคนมาพูดคุยกับตนเอง เพื่อให้ตนเองไม่ร้อนใจขนาดนี้ สวีเห้าเซิงคุยโทรศัพท์เสร็จ ก็ตอนกลับไปแบบสบายๆ ว่า “ซื้อให้น้องสาวของลูกน่ะสิ”
“ซื้อให้เธอทำไม?” อ้าวเสว่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้สนใจอะไรมาก ทำทานให้น้องสาวที่น่าสงสารของเธอสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร
รถที่จอดอยู่ข้างถนน ริมถนนมีผู้คนกลุ่มเล็กๆ ที่กระจุกกันถือโทรศัพท์มือถืออยู่ ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่และหรูหราวางเรียงรายอยู่เต็มทางเดิน และพรมแดงที่สะดุดตาผู้คนอย่างมาก
สิ่งที่น่าประหลาดใจเพียงหนึ่งเดียวคือ ร้านเครื่องประดับที่เปิดใหม่ร้านนี้เลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าระดับนานาชาติ และนี่ทำให้นักข่าวบางส่วนที่ตอนแรกเห็นเธอกับคุณชายเย่ปรากฏตัวพร้อมกันในงานภาพยนตร์ นั้นมีการคาดเดาใหม่แล้ว
ทันทีที่อ้าวเสว่ลงจากรถก็มองไปโดยรอบเพื่อหาภาพคนที่ตนเองอยากจะเจอ ในที่สุดก็เห็นเขา แต่กลับพบว่าเขากับดาราสาวคนหนึ่งกำลังคุยอะไรกันสักอย่างอยู่
ดาราสาวคนนั้นหัวเราะอย่างมีความสุข โน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อย เย่เนี่ยนโม่เองก็ให้ความร่วมมือเอียงตัวลงเล็กน้อย ท่าทีของทั้งสองดูคลุมเครือและดูสนิทสนมกัน
อ้าวเสว่รู้สึกว่าถึงแม้ตนเองจะแต่งหน้าอย่างงดงามก็ไม่มีทางปกปิดอารมณ์โกรธของตนเองไว้ได้เลย เธอยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินเข้าไป แทรกกลางระหว่างทั้งสองคน มองไปยังดาราสาวอย่างยั่วยุ
“สวัสดีค่ะ ยินดีด้วยนะคะ” ดาราสาวยิ้มแล้วพยักหน้าไปทางเธอ หันกลับมามองเย่เนี่ยนโม่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยร่องรอยความเจ้าเล่ห์ นี่ทำให้อ้าวเสว่สัมผัสได้ถึงความอันตรายที่เข้มข้น
“เนี่ยนโม่ ขอบคุณที่มาร่วมงานเปิดร้านของฉันในวันนี้ ฉันมีครูอยู่ไม่กี่คนที่สอนฉันมาตลอดฉันอยากที่จะให้พวกเขามาพบคุณ บางทีพวกคุณอาจจะรู้จักกัน” อ้าวเสว่ควงแขนของเขาไว้พลางยิ้มหวาน
“ไม่ต้องหรอก” เย่เนี่ยนโม่ได้ข้อมูลที่ตนเองต้องการเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทติงยียีก็มาด้วย นี่คือเหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่
“เนี่ยนโม่ อ้าวเสว่!” เซี่ยชีหรั่นสวมใส่เดรสยาวสีน้ำเงินที่ดูสบายๆ มือถือกระเป๋าคลัทช์ที่ดูประณีตงดงาม ผมสีดำปักปิ่นไว้แบบหลวมๆ
พออ้าวเสว่มองเห็นเซี่ยชีหรั่นก็เข้าไปต้อนรับด้วยความดีใจ “คุณน้าเซี่ย ในที่สุดน้าก็มาแล้ว คุณลุงเย่ล่ะคะ?”
เซี่ยชีหรั่นค่อยๆ กวาดตามองระหว่างทั้งสองคนที่มีระยะห่างเล็กน้อย พูดอย่างชัดเจน: “คุณลุงเย่ของหนูกำลังคุยธุระกับคนอื่นอยู่น่ะ”
อ้าวเสว่พยักหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดลงอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้นหนูยังไม่เข้าไปแล้วกันค่ะ คุณน้าก็รู้ว่าตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นหนูกลัวที่จะต้องพบเจอผู้คนอยู่บ้าง”
คำพูดของเธอทำให้เย่เนี่ยนโม่กับเซี่ยชีหรั่นชะงักไปนิดหน่อย คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ยิ่งขมวดแน่นขึ้น เหมือนกับว่าอ้าวเสว่จะไปกระตุ้นความทรงจำที่เขาไม่อยากจะจดจำมากที่สุด และนัยน์ตาของเซี่ยชีหรั่นก็ค่อยๆ อ่อนลง น้ำเสียงมีความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น “ไม่ต้องกลัวนะลูก ให้เย่เนี่ยนโม่อยู่เป็นเพื่อนกับหนูแล้วกัน”
อ้าวเสว่กัดริมฝีปากเบาๆ ทำหน้าตาลำบากใจเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่นานก็พยักหน้าลง เธอหันหน้าไปมองเย่เนี่ยนโม่ “เนี่ยนโม่ อยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม?”
เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าเธอตั้งใจพูดแบบนั้น แต่เพราะอยู่ภายใต้สายตาที่คาดหวังของแม่ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้นี่คือสิ่งที่เขาติดค้างเธอ มีเพียงการชดใช้ ไม่มีทางที่จะหนีได้
“แย่แล้ว ดาราสาวที่ตกลงกันเอาไว้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว มาไม่ได้แล้วแน่ๆ” ผู้จัดการฝ่ายการควบคุมงานก้าวใหญ่ๆ มาตรงหน้าของสวีเห้าเซิง
ความโกลาหลตรงนี้ดึงดูดความสนใจของเย่เนี่ยนโม่โดยปริยาย เขาเดินเข้าไปหา “คุณลุงสวี เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
ผู้จัดการฝ่ายการผลิตก็ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกกับเย่ป๋อว่า : “รีบไปหาบริษัทนายหน้าเดี๋ยวนี้เลย ให้พวกเขาส่งนักแสดงคนหนึ่งเข้ามาภายในเวลาที่สั้นที่สุด”
เมื่อเย่ป๋อออกไป ในรายชื่อในโทรศัพท์ของเขาก็ปรากฏเบอร์โทรของผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนายหน้า แล้วยังมีเบอร์ของผู้กำกับหวู ไม่ใช่ปัญหาเลยที่จะเชิญดาราสาวระดับแนวหน้ามา แต่มือของเขากลับค่อยๆ เคลื่อนไปกดเลขหมายที่คุ้นเคย
ติงยียีกำลังปลอกแอปเปิลให้พ่ออยู่ที่โรงพยาบาล “พ่อ ตอนนี้หนูกำลังดูบ้านอยู่นะ พวกเราย้ายบ้านกันเถอะ”
ติงต้าเฉินยังคงเอาแต่กัดแอปเปิล สีหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจพอสมควร “ทำไมล่ะ?”
ติงยียีเอาเปลือกแอปเปิลวางไว้บนกอง แล้วพูดว่า : “จำได้ไหมว่าวันนั้นที่หนูเข้าร่วมพิธีจบการศึกษา หนูบอกเอาไว้ว่าหลังจากนี้จะดูแลพ่อให้ดี ที่ผ่านมาหนูคิดมาโดยตลอดว่ายังมีเวลาอีกเยอะที่จะรักษาคำสัญญาของหนู แต่ว่าตอนนี้หนูพึ่งจะพบว่า เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว น้อยจนกระทั่งรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว หนูอยากจะใช้เวลาที่มีจำกัดนี้ทำเรื่องดีๆ บ้าง”
คำพูดของเธอทำให้ติงต้าเฉินตาแดง เพื่อไม่ให้ลูกสาวได้เห็นสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของตนเอง เขาก็เลยรีบหันหน้าไปเรียกเจ้าแพนด้า
สองสามวันมานี้แพนด้ากำลังขนร่วง คุณหมอบอกว่าก่อนหน้านี้กินยาของคนมากเกินไป แม้ว่าตอนนี้จะเลิกกินยานั้นไปแล้ว แต่สารพิษที่เหลืออยู่ก็ยังคงส่งผลต่อสุขภาพได้