รถจอดลงที่ร้านเครื่องประดับ ติงยียีมือคว้าเอาเอกสารแล้ววิ่งเข้าไปในร้าน พนักงานของร้านรีบเข้ามากล่าวทักทาย “คุณไม่ใช่นางแบบที่มาเดินโชว์วันนี้เหรอคะ?”
“สวีเห้าเซิงล่ะ?” ติงยียีหอบเบาๆ ด้วยความโมโห เอกสารในมือของเธอถูกกำไว้จนเปลี่ยนรูปร่าง
“ขออภัยค่ะ กรรมการสวี กับกรรมการอ้าวออกไปแล้วค่ะ” พนักงานตอบกลับอย่างระมัดระวัง
ติงยียีเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง เธอหยิบมือถือออกมา เสียงเรียกดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนสายจะถูกรับ สวีเห้าเซิงที่อยู่ปลายสายเหมือนกับว่าดีใจมากๆ ที่ติงยียีโทรมาหาเขา เสียงที่ดังออกมาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างชัดเจน “ยียี”
“คุณอยู่ที่ไหน?” ติงยียีพยายามอย่างมากที่จะเปิดปากพูดอย่างละมุนละม่อม ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่น จนกุญแจในมือกดเข้าที่ฝ่ามือของเธอจนรู้สึกเจ็บ
เสียงจากปลายสายเงียบไปสักครู่ ก็พูดชื่อที่อยู่ออกมา ติงยียีไปถึงอย่างรีบเร่ง สวีเห้าเซิงรอเธออยู่ที่ประตูของห้องอาหารอยู่แล้ว
“ยียี มีอะไรหรือ? แล้ววันที่หนาวขนาดนี้ทำไมไม่ใส่ถุงมือมาดีๆ ล่ะ?” เมื่อสวีเห้าเซิงเห็นเธอก็คิดจะถอดถุงมือของตนเองออกอย่างร้อนใจ
“พอได้แล้ว!” เธอตะโกนออกมาอย่างเย็นชา เอากุญแจและเอกสารทั้งหมดออกมาให้เขา เขายังถือไม่ดี เอกสารและกุญแจก็ร่วงลงสู่พื้น
หิมะที่ละลายก็ซึมตัวอักษรสีดำบนเอกสารอย่างรวดเร็ว กุญแจก็ตกลงบนหิมะพอดี เสียงของความอึดอัดใจก็ปรากฏออกมา ติงยียีเอียงหัว พูดอย่างเย็นชา : “ช่วยรับของพวกนี้กลับไปด้วย ฉันไม่ต้องการความสงสารของคุณ”
สวีเห้าเซิงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง : “แต่ว่าพ่อเป็นพ่อของลูกนะ”
ติงยียีสั่นไปทั้งตัว ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง เธอมองไปยังพ่อที่กำลังจูงมือลูกของตนเองเดินไปบนหิมะอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ไกล เธอมองไปอย่างอิจฉา พูดกลับไป : “ขอโทษด้วย ฉันมีพ่อแค่คนเดียว แล้วตอนนี้เขาก็กำลังรอให้ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านของฉัน”
ภายในร้าน เครื่องทำความร้อนที่กำลังทำงานอย่างเต็มที่ และผู้คนกำลังรับประทานอาหารในร้านอาหารตะวันตกที่หรูหราแห่งนี้ ก็มองไปยังคนสองคนที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าเป็นครั้งคราว
“พวกเขาคุยอะไรกันน่ะ?” ซือซือจิบไวน์แดง ให้ต่อมรับรสของเธอเต็มไปด้วยรสชาติของไวน์แดง แล้วถึงเอ่ยปาก
“ใครจะไปรู้กันล่ะ?” อ้าวเสว่หั่นสเต๊กเนื้ออย่างเชื่องช้า สายตาของเธอเหลือบไปมองติงยียีที่อยู่ด้านนอกเป็นครั้งคราว ประโยคที่เธอพูดว่าท้องยังทำให้หล่อนรู้สึกกลัวจนถึงตอนนี้
เธอจิ้มสเต๊กกินอย่างไร้ความรู้สึก วินาทีถัดมา ความรู้สึกอยากขับออกลอยมาจากกระเพาะจนเธอทนไม่ไหวรีบปิดปากแล้ววิ่งออกไป ในห้องน้ำ มือหนึ่งกุมท้องไว้ อีกมือรองน้ำจากก๊อกน้ำมาบ้วนปาก ไม่สนใจสักนิดว่าน้ำจะล้างเอาเครื่องสำอางออกไปด้วย
ด้านหลัง ซือซือมีสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ ท้ายที่สุดเธอก็เอ่ยปาก “เธอท้องหรือ?”
อ้าวเสว่ส่ายหน้า “หนูไม่รู้!”
ซือซือก็แสดงหน้าตาดีใจออกมาทันที ในน้ำเสียงเจือความลิงโลดอย่างชัดเจน “หรือว่าจะเป็นครั้งก่อนที่เธออยู่ด้วยกันกับเย่เนี่ยนโม่ในคืนนั้น? ฉันว่าแล้วว่ายานั่นจะต้องได้ผล ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็เข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกก้าวแล้ว”
“ไม่ใช่! หนูเป็นโรคกระเพาะ” อ้าวเสว่ขัดเธอด้วยเสียงคำราม คนที่มีอะไรกับเธอในคืนนั้นไม่ใช่เย่เนี่ยนโม่ ถ้าท้องก็เป็นลูกของเขา ไม่เอา เธอไม่ต้องการ
สีหน้าของซือซือหม่นลง นั่นคือการแสดงออกของความรู้สึกที่เชื่องช้า อยู่ระหว่างความดีใจและความประหลาดใจ ผ่านไปสักพัก ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลังมองดูเครื่องสำอางในกระจกเสร็จแล้ว เธอกวาดตามองอ้าวเสว่ แล้วก็เดินออกจากห้องน้ำไป
เมื่ออ้าวเสว่กลับมายังที่นั่งสวีเห้าเซิงก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้ว นอกประตูไม่มีเงาของติงยียีอีกแล้ว
“โอเคใช่มั้ยคะพ่อ” อ้าวเสว่อยากที่จะลืมการคาดเดาในหัวของเธอไปอย่างเร่งด่วน เป็นฝ่ายเริ่มถามสวีเห้าเซิงก่อนอย่างหาได้ยาก
ถ้าเป็นเวลาปกติ สวีเห้าเซิงจะต้องกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ใจของเขานั้นยุ่งเหยิงมากๆ ลูกสาวคนเล็กของเขานั้นหาเงินด้วยตนเองเพื่อซื้อบ้านให้กับพ่อเลี้ยง ยอมที่จะทำงานอย่างหนักดีกว่าที่จะรับเงินของตนเอง
นัยน์ตาของซือซือมองดูสีหน้าที่มีความรู้สึกหลากหลายของทั้งสองพ่อลูก รีบพูดทันที : “ใช่สิ อ้าวเสว่ช่วงนี้เธออารมณ์ดีนะ มีพัฒนาการอะไรระหว่างเธอกับเย่เนี่ยนโม่ใช่มั้ยล่ะ”
เธอพูดแบบนี้ สวีเห้าเซิงก็เงยหน้าขึ้นมา ในสายตาค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นและคาดหวัง อ้าวเสว่ตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้ “อาจจะเป็นเพราะเขาค่อนข้างยุ่ง ก็เลยไม่ได้ติดต่อกันเลย”
“จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง เธอโทรหาเขาตอนนี้เลยสิ ความบริสุทธิ์ของเธอก็เสียให้เขาไปแล้ว เขาจะมาข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งได้ยังไง?”
คำว่าความบริสุทธิ์สองครั้งทำให้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอแอบมองปฏิกิริยาของคนรอบตัวอย่างลับๆ
มองคู่รักที่กำลังพูดคุยกันอยู่ว่าได้ยินคำพูดที่น่าอายเหล่านั้นหรือไม่
คำพูดเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีในทันที แต่เธอก็ยังหยิบมือถือออกมา หลังจากต่อสายไป ก็ได้รับเป็นคำตอบมาตรฐานของเย่ป๋อ “คุณอ้าวเสว่ คุณชายเย่กำลังประชุมอยู่ครับ”
ไม่ต้องสงสัยเลย เย่ป๋อวางสายไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้เล่นละครตบตาเธอ คุณชายเย่กำลังพูดคุยเรื่องที่สำคัญมากๆ อยู่จริงๆ บนโซฟาสีขาวกว้างใหญ่ นิ้วมือเรียวยาวของชายหนุ่มเคาะที่วางแขนของโซฟาซ้ำไปซ้ำมา ทำให้คนรู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น
บนโต๊ะทำงานของชายหนุ่มยังมีเอกสารข้อมูลอยู่หนึ่งฉบับ นั้นคือหมายสอบสวนที่ออกโดยสำนักงานวิทยุ ภาพยนตร์และโทรทัศน์ของรัฐที่ส่งมาอย่างกะทันหัน เพื่อที่จะตรวจสอบภาพยนตร์ที่บริษัทของเขาเป็นเจ้าของอีกครั้ง เขารู้ว่าอาจจะเป็นสวีเห้าเซิงใช้เล่ห์เหลี่ยม กำลังรับมืออย่างสุดกำลัง คิดไม่ถึงว่าจะทำลายคุณชายของตระกูลเย่กลางคัน
“คุณชายเย่ ลมอะไรหอบคุณมาที่นี่ ผมจำได้ว่า2ปีก่อนเคยติดต่อบริษัทพวกคุณให้มาร่วมมือกัน แต่ว่าคุณปฏิเสธ” ชายหนุ่มสังเกตเย่เนี่ยนโม่อย่างละเอียดเงียบๆ พยายามที่จะยั่วโมโหเขาด้วยคำพูด
การแสดงออกของเย่เนี่ยนโม่ตั้งแต่ต้นจนจบมีแต่ความเย็นชา เขาหลับตาลงเล็กน้อย : “แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ตอบรับที่จะร่วมมือกับพวกคุณเหมือนเดิม”
“งั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรให้คุยแล้ว” ชายวัยกลางคนไม่อยากที่จะมีปัญหากับตระกูลเย่ แต่ว่าตอนปีนั้นเหตุผลที่หลานชายของเขาต้องติดคุก เเต่เย่เนี่ยนโม่พยายามอย่างมาก ตอนนี้ติงยียีก็อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทตนเองเท่ากับว่าตระกูลเย่กำลังขอร้องตนเอง
“ที่ผมมาวันนี้เพราะอยากจะเรียกสติคุณ โม่ซวนหลิงที่ทำงานอยู่ที่บริษัทของพวกคุณ ตอนนั้นลงทุนในภาพยนตร์《โล่วิเศษ》สร้างปัญหาไม่น้อยเลย ตอนนี้บริษัทของพวกเราวางแผนไว้ว่าจะดำเนินคดีกับเธออย่างเป็นทางการ”
ชายหนุ่มมองสายตาของเขาราวกับหมาป่ากำลังมองชิ้นเนื้อ เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้คุณชายเย่พูดถึงเรื่องเก่าขึ้นมาอีกไม่ใช่ว่าบีบให้ตนเองก้มหัวให้หรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของชายหนุ่มก็เย็นชาลง “คุณชายเย่คุณกำลังขู่ผมหรือ?”
เย่เนี่ยนโม่หัวเราะ ภายในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขามองดูรางวัลต่างๆ ที่แขวนอยู่บนผนังข้างโต๊ะทำงานของชายคนนั้น น้ำเสียงเจือด้วยการเยาะเย้ย “ผมเพียงแค่เสนอวิธีการสร้างผลกำไรสูงสุดก็เท่านั้น”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก การเซ็นสัญญากับEmilก็คือหนึ่งในความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขา แล้วตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องยุ่งๆ ของเธออีก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องมาโดนคนขู่อีก
“ตลกน่า! ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า ตอนนี้คุณมีทัศนคติแบบนี้กับคนอายุมากกว่า แล้วยังไม่กลัวธุรกิจจะมีปัญหา”
ชายหนุ่มเก็บน้ำเสียงไม่ลง
เย่เนี่ยนโม่ยืนขึ้น จัดรอยยับบนเสื้อสูทให้เรียบร้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ผู้ชาย “มีคำกล่าวอยู่ว่า คลื่นลูกใหม่แม่น้ำแยงซีซัดคลื่นลูกเก่า ขอให้โชคดีนะ”
เขาหัวเราะ หมุนตัวแล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก ปล่อยให้ชายที่ตกตะลึงนั้นยืนอยู่คนเดียว เย่เนี่ยนโม่เดินออกมาจากตึกระฟ้า ท้องฟ้าหายากที่หิมะจะไม่ตก แต่กลับเป็นฝนที่ตกลงมาอย่างมืดครึ้ม
สายฝนปนกับลมหนาวหาโอกาสที่จะสัมผัสกับผิวมนุษย์ เย่ป๋อกางร่มออก เย่เนี่ยนโม่เงยหน้านิดๆ เมฆดำบนท้องฟ้าสามารถพรรณนาถึงเงาของเธอได้
เขาหัวเราะตนเองทั้งที่พึ่งเห็นเธอเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้กลับคิดถึงเธอมากๆ เขาเหลือบมองเมฆเป็นครั้งสุดท้าย มองดูลมพัดน้ำที่ควบแน่นเป็นเมฆออกไป แล้วก็ขึ้นรถด้วยความสมัครใจ
รถขับออกมาแค่ครึ่งชั่วโมง เย่ป๋อก็เหยียบเบรกอย่างแรง หยุดรถอยู่กลางถนน เขากดข้อความ พูดออกมาทันที “คุณชายเย่ ชิวไป๋ส่งข้อความมาว่า คุณยียีตอนนี้กำลังอยู่ที่บริษัทครับ”
ย้อนรถกลับไปยังเส้นทางเดิม ร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ชั้นล่างของบริษัทปะการแสดงแสงดาวที่คุ้นเคย เธอสวมเสื้อขนเป็ด กำลังขอลายเซ็นจากคนที่เดินไปมา
ฝนที่ตกทำให้คนรู้สึกเบื่อ ดังนั้นคนที่ผ่านไปมาย่อมมีสีหน้าไม่ค่อยดี แม้ว่าคนที่ต้องการลายเซ็นจะเป็นคนดังที่เคยเห็นทางทีวีก็ตาม มีเพียงส่วนหนึ่งที่ปลาบปลื้มดีใจถือปากกากระดาษเซ็นชื่อของตัวเองอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางสายฝน
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงของเย่เนี่ยนโม่เย็นชามาก เย่ป๋อพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “ผู้จัดการของเธอบอกว่า คุณยียี เดินมาที่สำนักงานเพียงลำพัง อยากที่จะได้รับโอกาสที่จะเข้าร่วมรายการ และการขอลายเซ็นก็เป็นหนึ่งในการประเมิน
เย่ป๋อยิ่งพูดก็รู้สึกโกรธ “เห็นได้ชัดๆ ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากการที่คุณชายไม่รู้เพื่อลงโทษคุณยียี! คุณชาย ผมจะไปช่วยเธอ!”
เย่เนี่ยนโม่ลดกระจกรถลง ต้นการบูรกลายเป็นที่หลบซ่อนที่ดีที่สุดของเขา ท้ายที่สุดเขาก็สามารถใช้สายตาอย่างกำเริบเสิบสาน มองดูคนที่เขาเฝ้าคิดถึงทั้งวันทั้งคืน
ผ่านไปนาน เขาก็พูด “อย่าให้เธอรู้ว่าฉันช่วยเธออยู่”
เย่ป๋อขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่โต้แย้ง เปิดประตูเตรียมลงจากรถ “เดี๋ยวก่อน” เสียงของเย่เนี่ยนโม่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เป็นน้ำเสียงที่ต่างออกไปจากเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง “หาคนไปสั่งสอนจางถังในคุกด้วย ต้องทำให้เขารู้ซะบ้าง”
นี่ถึงเป็นเล่ห์เหลี่ยมของผู้สืบทอดตระกูลเย่ คนที่ไม่มายุ่งกับฉัน ฉันจะไม่ไปยุ่งด้วย ถ้าคนที่มายุ่งกับฉันก็อย่ามาโทษฉันว่าโกรธแล้วไม่ยอมไว้หน้าใคร
ในสำนักงานที่อบอุ่น ชายหนุ่มจ้องมองไปยังหน้าต่าง มองเห็นคนที่ปรากฏขึ้นจากทุกทิศทุกทางหลังจากนั้นก็หน้านิ่งไป เมื่อสักครู่ตอนที่ติงยียีมาหาถึงที่เขาก็คิดที่จะหาเรื่องลำบากให้เธอ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองเพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้นจึงตอบรับเย่เนี่ยนโม่ว่าจะปล่อยเธอไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายขนาดนั้น แต่ตอนนี้ดูแล้วต้องมีคนช่วยเธอแน่ๆ สายตาของเขาทอดลงไปยังเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง ตัวอักษรที่อยู่บนบทความก็ดูเหมือนเป็นการคุกคาม เขาหยิบแฟ้มแล้วขว้างทิ้งลงถังขยะอย่างโกรธเคือง เมื่อเลขาที่เข้ามาก็ถูกการกระทำนี้ทำให้ชะงัก พูดอย่างตัวสั่นๆ : “อันหรัน โทรมาด้วยตนเอง ให้รับไหมคะ?”
เขากดความโกรธภายในใจของเขาลง พยักหน้า รับสาย “ไม่เจอกันนานเลยนะ ผมอยากคุยกับท่านเรื่องในรายการวาไรตี้ล่าสุดเกี่ยวกับที่ติงยียีถูกเปลี่ยนบทบาท”
รอตอนที่ติงยียีเคาะประตูสำนักงานพร้อมกับถือบัตรที่มีลายเซ็นเต็มไปหมดก็ผ่านไปนานมากแล้วเธอมองดูเอกสารที่ยุ่งเหยิงที่กระจัดกระจายไปทั่วด้วยความประหลาดใจ ยื่นลายเซ็นในมือออกไปอย่างระมัดระวัง