ชิวไป๋ดันประตูเข้าไป “มีงานพิเศษมาให้ งานง่ายๆ แค่งานเดินแบบ”
หน้าประตูของร้านเครื่องประดับ ติงยียีกับอ้าวเสว่มองหน้ากัน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ อ้าวเสว่พูดขึ้นเสียง “นี่คือคนที่คุณหามาหรือ?”
สวีเห้าเซิงเองก็วางตัวไม่ถูก จะให้ลูกสาวคนเล็กมาเดินแบบให้ลูกสาวคนโตก็ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมกับลูกสาวคนเล็ก ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว “หาคนมาใหม่เถอะ”
“ไม่ต้องแล้ว ในเมื่อฉันรับงานมาแล้ว ฉันก็จะทำให้ดีที่สุด” ติงยียีพยักหน้าให้อ้าวเสว่เบาๆ อยากผ่านพ้นตัวของเธอไป เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านหลังเธอก็ชะงัก
สายตาที่มองกันนั้นดูดีใจเหมือนหลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี เหมือนเสียดายที่ยังไม่ได้เป็นคนรักมากกว่า ตอนนี้เธอคิดว่าตัวเองจะเคลิบเคลิ้มไปกับนัยน์ตาที่ลุ่มลึกนั้น กลับพบว่าตนเองกลับมีสติรับรู้ทุกอย่าง
เย่เนี่ยนโม่มองภาพด้านหลังที่ดูดื้อรั้นของเธอ อยากที่จะหัวเราะเบาๆ ชั่วพริบตาเดียวภาพคนคนหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
อ้าวเสว่ที่ดื้อรั้นมายืนปรากฏอยู่ในสายตาของเขา คิดไปเองว่าทำแบบนี้แล้วในสายตาของเขาก็จะมีแค่เธอคนเดียว
ที่ประตูก็ปรากฏเสียงพูดคุยกันนิดหน่อย เย่เนี่ยนโม่เห็นคนที่เป็นเป้าหมายของตนเองออกมา เขาเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ยังดูค่อนข้างหนุ่ม สเปรย์ฉีดผมที่อยู่บนศีรษะสะท้อนแสงเล็กน้อย
เขากำลังจะก้าวไปด้านหน้า ร่างของคนที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าของเขา สวีเห้าเซิงเองก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ของยียี หลังจากรู้ว่ายียีถูกเปลี่ยนตำแหน่งก็รู้สึกกังวลมาก หลังจากตรวจสอบหลายๆ ฝ่ายถึงหากุญแจสำคัญเจอ
“คุณสวี ยินดีกับการประสบความสำเร็จของลูกสาวคุณด้วย ลูกชายคนเล็กของผมชอบอ่านหนังสือของคุณมาก เขาบอกว่าโตขึ้นก็อยากจะเป็นเหมือนคุณ”
ชายคนนั้นยื่นมือมาให้สวีเห้าเซิงอย่างเป็นมิตร
สวีเห้าเซิงจับมือกันกับเขา พูดอย่างแฝงความหมายเอาไว้ว่า : “ผมไม่ได้มีลูกสาวเพียงคนเดียว”
สายตาของชายวัยกลางคนเผยความสงสัยออกมา ว่ากันว่านักวิทยาศาสตร์คนนี้มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว แต่ว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน ผู้หญิงที่มีลูกกับเขาก็เป็นปริศนามาโดยตลอด และการที่เขาบอกสิ่งนี้กับตนเองในวันนี้มีจุดประสงค์อะไร?
สวีเห้าเซิงสังเกตสีหน้าของเขา รู้ว่าเขาสงสัยแล้ว สถานะทางสังคมของติงยียีในตอนนี้ค่อนข้างอ่อนไหว เพื่อเธอแล้ว เขาไม่กล้ายอมรับสถานะของทั้งสองคนต่อสาธารณชน คิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดว่า : “ได้ยินมาว่ามีดาราสาวคนหนึ่งชื่อว่าติงยียี เขาจะมารายการวาไรตี้โชว์ด้วยใช่มั้ย?”
ชายวัยกลางคนตกใจมากเขาพึ่งจะเตือนสติตัวเองว่าเขามีลูกสาวคนเดียว ตอนนี้มาพูดถึงติงยียีอีกแล้ว หรือว่าติงยียีคนนั้นเป็นลูกของเขา
เขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือออกมา สวีเห้าเซิงทำเพียงแค่ยิ้มเบาๆ ทุกอย่างนี้คงต้องอาศัยตัวเขาเข้าใจเองแล้ว เขาพูดเพียงว่าตนเองมีลูกสาวคนหนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าลูกสาวของตนเองคือใคร
ชายวัยกลางคนก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว คิดถึงหลานของตนเองที่อยู่ในคุกก็รู้สึกโกรธเคืองแม้ว่าติงยียีนี้จะเป็นลูกของสวีเห้าเซิงจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะไปยุ่ง
“คุณสวี ดูเหมือนว่าคุณยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับวงการบันเทิงนะ แต่เหมือนว่าวงการบันเทิงนี้ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ไปรอบๆ นี่น่าจะไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์สักเท่าไร” ชายวัยกลางคนพูดจบด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะเดินนวยนาดไปยังโต๊ะวีไอพี ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้า เซี่ยชีหรั่นที่เป็นแม่ของตระกูลเย่ เขาก็คงออกไปแล้ว
ติงยียีมองตนเองในกระจกที่เต็มไปด้วยเมคอัพหนักๆ มีสีหน้ากระสับกระส่ายอยู่ ชิวไป๋เดินเข้ามา กระซิบที่ข้างหูของเธอ : “ฉันเพิ่งเห็นว่าผู้บริหารระดับสูงเองก็มาแล้ว คนคนนั้นถึงเป็นผู้ตัดสินใจที่แท้จริง ถ้าเธอสามารถทำให้เขาเปลี่ยนความคิดได้ อย่างนั้นเขาก็อาจจะให้เธอออกรายการอีกครั้ง”
ติงยียีพยักหน้าอย่างมึนงง เธอไม่รู้ว่าตนเองอยากจะทำแบบนี้รึเปล่า ชิวไป๋ถอนหายใจออกมา ยกมือทั้งสองข้างมาวางบนบ่าของเธอ มองใบหน้าอันงดงามของเธอในกระจก “อยากให้พ่อของเธอมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เป็นดาราคือทางที่ดีมากๆ”
ติงยียีรู้ว่าที่หล่อนพูดมาไม่ผิดเลย เธอต้องซื้อบ้าน เธออยากให้พ่อมีชีวิตที่ดีที่สุด เพราะอย่างนั้นเธอก็ต้องทำในสิ่งที่ตนเองไม่อยากจะทำบ้าง
ภายใต้แสงไฟ อ้าวเสว่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เธอสวมเดรสยาวสีดำปาดไหล่ ที่เอวมีพู่ที่พลิ้วไหวไปมาเบาๆ ตามการเคลื่อนไหว เธอมีท่าทีที่เข้าถึงง่าย สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปมองรอบๆ
เซี่ยชีหรั่นดีไซเนอร์ชื่อดังชาวอิตาลี สวีเห้าเซิงมีชื่อเสียงอยู่ที่ต่างประเทศ เธอนึกถึงแม่ของตนเองขึ้นมากะทันหัน เมื่อไหร่กันหล่อนถึงจะสามารถมายืนอยู่ท่ามกลางสาธารณชนกับตนเองได้อย่างสง่าผ่าเผย?
แม้ว่าหล่อนจะทำให้ตนเองต้องเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้ว่าหล่อนจะถือว่าตนเองเป็นเพียงเครื่องมือในการจัดการกับตระกูลเย่ แต่ทำไมหล่อนถึงไม่ได้หลอกหาผลประโยชน์จากเธอกันเล่า?
สายตาของเธอเคลื่อนไปยังร่างของชายที่เธอรักมากที่สุดอีกครั้ง เธอพบเขาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาจะรับเลี้ยงเธอแล้ว แต่เธอกลับสละสิทธิ์
สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรักความผูกพันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เธอคิดว่าเขากำลังมองเธอ ทันใดนั้นภายในก็ดีใจขึ้นมา กลับพบในทันทีว่าสายตาของเขามองผ่านเธอไปอย่างเย็นชา ไปยังด้านหลังของเธอ
อ้าวเสว่หมุนตัวไป แสงไฟส่องกระทบใบหน้าอันซีดเซียวของเธอ ติงยียีซึ่งสวมใส่เดรสที่ดูเรียบง่าย แสงไฟส่องไปบนตัวเธอ เธอยิ้มบางๆ ไม่มีท่าทีของนางแบบที่เย่อหยิ่ง และมีกลิ่นอายที่เข้าถึงได้ง่าย
ติงยียีรู้ว่า เธอรู้ว่าในงานมีสายตาที่พิเศษมองมาที่เธอสายตาคู่นั้นราวกับไฟ ทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจ
เธอเดินไปถึงหน้าเวที สายตาก็ค้นหาเงาของคนที่ตนเองต้องการหา พบว่าชายหนุ่มหลังจากรับโทรศัพท์แล้วก็เดินออกนอกประตูไป เธอรีบก้าวลงจากเวทีอย่างกระวนกระวายใจ แม้แต่เมคอัพยังไม่ทันลบทิ้งก็วิ่งตามออกไปแล้ว ในใจของอ้าวเสว่เกิดสงสัยขึ้นมา อยากจะตามออกไปดู จิตใต้สำนึกบอกให้หันไปมองเย่เนี่ยนโม่ พบว่าเขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่คิดจะใส่ใจ จึงได้แต่หยุดฝีเท้าลง
ติงยียีวิ่งตามผู้ชายคนนั้นมา เข้ามาขวางอีกฝ่ายหนึ่งไว้ก่อนที่ชายคนนั้นจะขึ้นรถ “มีอะไรหรือ?” คนขับรถและบอดีการ์ดของชายคนนั้นมองมาที่เธออย่างระแวดระวัง
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อติงยียี ฉันอยากจะขอรบกวนเวลาท่านสัก 2นาที” ติงยียีเคาะกระจกรถ คนขับรถทนไม่ได้อยากที่จะยื่นมือไปจับเธอไว้ ไม่รู้ว่าก้อนหินลอยมาจากทางไหนมาโดนข้อมือของเขา เขาเจ็บจนขยับมือออก ติงยียีจึงฉวยโอกาสรีบเปิดประตูรถออก
ชายหนุ่มดูไม่มีท่าทีของการหมดความอดทน ฟังสิ่งที่เธอพูดเงียบๆ จนจบ แล้วก็พูดแค่ประโยคเดียว “ผมจะลองคิดดู”
ติงยียีรีบร้อนไปยืมกระดาษกับปากกาที่ร้านค้าข้างๆ แล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตนเองลงไปบนกระดาษ หลังจากขอบคุณอยู่ยกใหญ่ก็ออกมา
หลังจากติงยียีออกมาแล้ว ชายหนุ่มก็จ้องมองไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่บนกระดาษ แล้วหัวเราะเยาะเย้ยออกมา ฉีกกระดาษออกเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจ “ออกรถ”
เสียงของรถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เย่ป๋อเดินออกมาจากซอยเล็กๆ เขาโยนก้อนหินในมือทิ้งไป มองกระดาษด้านล่างที่ละลายไปกับหิมะ
ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ติงยียีกลับเข้ามาในร้านเครื่องประดับ ไม่รับรู้ถึงสายตาที่กดดัน เธอเงยหน้ากวาดตามองผู้คน เย่เนี่ยนโม่ ไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่ตอนไหนแล้ว
เธอถอนใจออกมา ด้านหลังของเธอก็มีเสียงแหลมดังขึ้น “ทำไม ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าจะไม่ติดต่อกับฉันแล้วหรือ? แต่ตอนนี้ฉันต้องให้ค่าจ้างเธอน่ะสิ”
ติงยียีสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะหมุนตัวไปหาเธอ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยอม “ท้ายที่สุดใครเป็นคนจ่ายเงินให้ฉัน ฉันคิดว่าเธอกับฉันรู้ดี”
สีหน้าอ้าวเสว่หมองคล้ำลง จริงๆ แล้วร้านของเธอก็เป็นพ่อที่ช่วยเปิดให้เธอ ค่าใช้จ่ายเป็นเขาออกให้ทั้งหมด มองเห็นสีหน้าท่าทางของติงยียีแบบนี้ เธอเหมือนแมวที่กำลังพองขนขู่ “เป็นของเขาแล้วมันทำไม เป็นสิ่งที่เขาติดหนี้ฉัน แล้วเขาก็เป็นคนริเริ่มจะทำมัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย!”
เธอพูดจบอย่างโกรธเคือง เห็นติงยียีมองไปด้านหลังของตนเองราวกับคิดอะไรอยู่ เธอหันหน้าไป เสียงตะโกนออกมาอย่างเกร็งๆ เล็กน้อย “พ่อ”
สวีเห้าเซิงมองไปยังนัยน์ตาของเธออย่างโศกเศร้าอาดูร เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่เคยให้อภัยตนเองมาโดยตลอด แต่เมื่อการปฏิเสธทั้งหมดกลายมาเป็นคำพูด ความเจ็บปวดแบบนั้นยิ่งเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่า
“พวกลูกคุยกันเถอะ พ่อไปก่อนนะ” เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร? ต้องตะโกนดุด่าลูกสาวคนโตของตนเองอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ ที่เธอพูดไม่ได้ผิดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเขาสมัครใจทำเอง
อ้าวเสว่มองเขาจากไป ตะโกนออกมาอย่างผิดหวัง “เธอจงใจสินะ!”
ติงยียีเลิกคิ้วขึ้น จริงๆ แล้วเธออยากที่จะเรียกสติหล่อน แต่เมื่อเห็นความยโสโอหังในตาของหล่อน คิดถึงความเจ็บปวดที่หล่อนสร้างให้พ่อแล้ว คำพูดทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นความเงียบ
“โอ้ก!” อ้าวเสว่ปิดปากและผลักติงยียีออกไป แล้ววิ่งไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่นานภายในห้องน้ำก็มีเสียงอาเจียนดังออกมา
ติงยียียืนอยู่ที่เดิม มีความคิดวนเวียนอยู่ในหัว เธอป่วย หรือว่าท้อง?
เธอได้ยินเสียงหัวใจตนเองกับเสียงฝีเท้าของเธอเคลื่อนไหวด้วยจังหวะเดียวกัน ในห้องน้ำ สีหน้าของอ้าวเสว่ซีดเซียว จับก๊อกน้ำไว้มือหนึ่ง พลางฟุบหายใจหอบอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
“เธอท้องหรือ?” ติงยียีพูดออกไปอย่างเชื่องช้า แต่ละเสียงที่เปล่งออกมาจะออกมาพร้อมกับเสียงหายใจเข้าออกถี่ๆ
“เธอจะบ้าหรือ!” อ้าวเสว่รีบปิดก๊อกน้ำอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมามองติงยียีที่อยู่ด้านหลังอย่างเกลียดชัง น้ำในฤดูหนาวเย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูกได้เลย หน้าของเธอกลับแดงขึ้นเพราะความโมโหอย่างสุดขีด
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากติงต้าเฉิน วันนี้เขาจะออกจากโรงพยาบาล แต่ต้องการลายเซ็นของลูกสาว เมื่อวางสายแล้ว ติงยียีมองอ้าวเสว่อย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง แล้วค่อยหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อเสียงของฝีเท้าดังไกลออกไป อ้าวเสว่เดินเซถอยหลังไปสองสามก้าว เอนหลังพิงประตูห้องน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง มือทั้งสองข้างของเธอสัมผัสไปยังหน้าท้องแบนราบของตนเอง หลังจากนั้นก็กอดกระชับไว้ เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
ในโรงพยาบาล ติงต้าเฉินมองติงยียีอยู่ครู่หนึ่ง ขนาดคุณหมอยังแซว “คุณติง วันนี้คุณสวยมากเลย”
ติงยียีเช็ดลิปสติกบนริมฝีปากอย่างเก้อเขิน แล้วรีบไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล ชิวไป๋มารอเธออยู่นอกประตูโรงพยาบาลอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้านติง เพิ่งจะลงจากรถ เงาของร่างร่างหนึ่งก็เข้ามาทักทาย ชิวไป๋จำได้ว่านั่นคือผู้จัดการฝ่ายบัญชีที่ตนเองไปดูวิลล่าเป็นเพื่อนติงยียี
ในมือของผู้จัดการฝ่ายบัญชีถือข้อมูลกองหนาอยู่ ก่อนจะทักทายกันด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า : “คุณติง คุณกลับมาแล้ว ขอแสดงความยินดีกับบ้านใหม่สไตล์สวนน้ำพุร้อน กุญแจอยู่นี่ โฉนดของบ้านกับเอกสารอื่นๆ ก็อยู่นี่ คุณเซ็นชื่อได้เลย!”
ติงยียีกับชิวไป๋หันมองหน้ากัน แต่ติงต้าเฉินก็หยิบเอกสารมาแล้ว ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง “สองล้านสาม! ยียีลูกเอาเงินมากขนาดนี้จากไหนมาซื้อบ้าน?”
ติงยียีปฏิเสธที่จะรับกุญแจ เธอจ้องผู้จัดการฝ่ายบัญชี ก่อนจะยืนยันว่ายังไม่เคยซื้อบ้าน ผู้จัดการฝ่ายบัญชีถอนหายใจออกมา ได้แต่บอกเรื่องที่สวีเห้าเซิงให้บ้านกับเธอ
ทันทีที่พูดจบ ติงต้าเฉินกับชิวไป๋ก็พูดออกมาพร้อมกัน “ยียี เธอจะไปไหนน่ะ”