ชิวไป๋กลั้นขำไว้พร้อมพยักหน้า“ใช่ เธอถูกเรียนเชิญให้ไปเป็นนางแบบบนรันเวย์ของเสื้อผ้าคอลเลคชั่นนึงที่ปารีสแฟชั่นวีค”
“แต่ว่า เพราะอะไร?”ติงยียีค่อนข้างจับต้นชนปลายไม่ถูก เวลานี้ชิวไป๋ได้พูดว่า“ยังจำรายการวาไรตี้ที่ตอนนั้นเธอไปร่วมออกรายการได้มั้ย ที่จริงคนที่รับผิดชอบแฟชั่นวีคของครั้งนี้เป็นคนจีน คราวก่อนเธอพลาดโอกาสที่จะได้เจอหน้ากับพวกเขา คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขายังจำเธอได้อยู่ หลังจากที่ได้เห็นรายการแล้วก็ตัดสินใจจะเชิญเธออีกครั้ง”
ติงยียีดีใจจะแย่อยู่แล้ว นั่นคือความสุขอย่างนึงที่เรียกว่าความสำเร็จที่กำลังจะมาถึง เธอถือการ์ดเชิญเดินไปเดินมาในกองถ่าย ในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากบอกเรื่องนี้กับเย่เนี่ยนโม่
พอเลิกงานเธอก็ได้มาถึงที่บริษัทเย่ซื่ออย่างอดรอใจรอไม่ไหว เพิ่งเข้ามา พนักงานหน้าเคาท์เตอร์ก็ได้เรียกเธอไว้ เธอรีบพูดว่า:“สวัสดีค่ะ ฉันมาหาผู้จัดการติงค่ะ”
พนักงานหน้าเคาท์เตอร์เป็นเด็กผู้หญิงอายุ20ต้นๆ เธอกระพริบตาปริบๆแล้วพูดว่า:“ฉันรู้ค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณเซ็นต์ลายเซ็นต์ให้หน่อยค่ะ”
ติงยียีอึ้งไปครู่นึง จากนั้นได้รีบรับปากแล้วเซ็นต์ชื่อลงบนสมุดที่อีกฝ่ายเอาออกมา
ตลอดทางราบรื่นไม่มีสิ่งกีดขวาง เธอเดินมาถึงชั้นบนสุด พอออกมาจากลิฟท์ในใจถึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ
เย่ป๋อเพิ่งออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง หลังจากเห็นเธอแล้วก็ได้อึ้งไปครู่นึงแล้วพูดอย่างมีความสุข:“คุณชายอยู่ในห้องทำงานครับ เขาเองก็คงต้องดีใจมากแน่ๆเลยที่เห็นหน้าคุณ”
ติงยียีพยักหน้าอย่างเขินอาย เย่ป๋อพาเธอไปที่ห้องทำงานของคุณชาย ตลอดทางทั้งสองไม่มีคำพูด จู่ๆเขาได้พูดว่า:“เธอสบายดีมั้ยครับ?”
ติงยียีถอนหายใจทีนึง“เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ไม่เคยเผยอารมณ์ออกมาทางสีหน้าเลย”
เย่ป๋อพยักหน้า เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ตอนที่ใกล้ถึงหน้าออฟฟิศ จู่ๆเขาได้พูดว่า:“รบกวนรอผมครู่นึงครับ”
ติงยียีพยักหน้าเสร็จก็เห็นเขากลับไปทางเดิมอย่างรีบร้อน ไม่นานก็โผล่มาที่สุดทางอีกครั้ง ในมือของเขาถือกล่องไว้ใบนึง
“รบกวนคุณช่วยเอาอันนี้ให้เธอได้มั้ยครับ”เย่ป๋อพูดอย่างค่อนข้างเก้อเขิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายไปจีบผู้หญิง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเก้อเขิน
ติงยียีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ในห้องทำงาน เย่เนี่ยนโม่เห็นทั้งสองยืนอยู่หน้าห้องผ่านประตูกระจกตั้งนานแล้ว ในใจเขาพึมพำอย่างหดหู่ สองคนนั้นกำลังคุยอะไรกัน หน้าตาดูมีความสุขเชียว!
ในที่สุดประตูก็ถูกผลักออก เขารีบก้มหน้าแกล้งทำเป็นกำลังดูเอกสารอยู่ เย่ป๋อปิดประตูเบาๆ ติงยียีเห็นเขาหมกมุ่นอยู่ในเอกสารไม่เห็นตัวเองมา ก็เลยยืนอยู่หน้าห้องรอเขาเห็นซะเลย
เย่เนี่ยนโม่วางปากกาลงอย่างจนปัญญา จากนั้นได้เงยหน้ายื่นมือมาที่เธอ“มานี่”
ติงยียีเดินไปอย่างยึกๆยักๆ หลังจากถูกเขาห้อมล้อมในอ้อมอก เธอแกล้งทำเป็นจะหนี จากนั้นก้นได้ถูกตีด้วยการลงโทษไปหลายที
“เย่เนี่ยนโม่”เธอเปิดปากด้วยความตื่นเต้น บนไหล่มีการกัดกินที่ไม่หนักเม่เบาส่งมา เสียงของเย่เนี่ยนโม่เรียบเฉย“เมื่อกี๊คุณเรียกผมว่าอะไรนะ?”
เธอเลียริมฝีปากแห้งและเปิดปากพูดเบาๆ“เนี่ยนโม่”
ทีนี้เย่เนี่ยนโม่ถึงร็สึกพึงพอใจ ได้‘อืม’คำนึงเพื่อตอบเธอ
“ฉันจะไปปารีสแฟชั่นวีคแล้วค่ะ!”ติงยียีพูดอย่างมีความสุข เพิ่งพูดจบก็เห็นสีหน้าแววตาของเย่เนี่ยนโม่มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนอยู่เสี้ยวนึง
“คุณเป็นอะไรไปคะ?”เธอมองเขาอย่างค่อนข้างเป็นห่วง เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆเข้าใกล้เธอ ถอนหายใจทีนึงแล้วพูด:“พอนึกถึงคุณจะบินไปสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เหมือนนกน้อยทีไร ผมก็อยากจะหักปีกของคุณ และกักขังคุณไว้ที่ข้างกายผมทุกที”
คำพูดที่หยอกเย้าทำเอาเธอหน้าแดง เธอทุบไหล่ของเขาอย่างเก้อเขิน“คนบ้า!อ้อใช่ ฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะคะ!”
ติงยียีเพิ่งออกไป สีหน้าของเย่เนี่ยนโม่ก็ห้อยลงมา เขาดึงลิ้นชักแล้วหยิบเอกสารของด้านในที่เพิ่งได้มาจากมือของนักสืบส่วนตัวออกมา
ในเอกสารมีรูปถ่ายแนบอยู่ด้วย ในรูปถ่าย อ้าวเสว่ใส่แว่นดำเดินเข้าไปในบ้านของโม่ซวนหลิน อีกสิบนาทีต่อมาโม่ซวนหลินกับโม่เสี่ยวโนได้ส่งอ้าวเสว่ส่งออกมา
เขาครุ่นคิดด้วยสีหน้าตึงเครียด การตายของโม่ซวนหลินกับอ้าวเสว่มีความเกี่ยวข้องยังไงกันแน่?
ประตูถูกเปิดออก คนที่เดินเข้ามาเป็นอ้าวเสว่
“เนี่ยนโม่ ฉันมารบกวนคุณหรือเปล่าคะ”อ้าวเสว่ยืนอยู่หน้าห้อง เห็นเขามองตัวเองอย่างเงียบๆ เธอได้ยิ้มอย่างรู้สึกผิด“เดิมทีฉันก็ไม่กล้ามาหรอกค่ะ แต่คุณน้าบอกว่าคนท้องต้องออกมาผ่อนคลายจิตใจหน่อย บอกว่าให้ฉันมาหาคุณได้ค่ะ”
เสียงของเธอยิ่งอยู่ยิ่งเบา จู่ๆได้ขมวดคิ้วขึ้นมาแน่น ฝีเท้าโซเซไปข้างหลังหลายก้าว มือจับประตูไว้อย่างหมดแรงและหายใจหอบเล็กน้อย
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วและลุกเดินมาที่ข้างกายเธอ จู่ๆอ้าวเสว่ได้หลบซบเข้ามาในอ้อมอกเขา แขนที่อ่อนช้อยเหมือนไม่ม่กระดูกได้ไต่อยู่ที่ช่วงเอวเขา พร้อมทั้งตัวสั่นเล็กน้อย
“เนี่ยนโม่ ขอโทษด้วยค่ะ ฉันเวียนหัวมากจริงๆ”อ้าวเสว่ทำตัวน่าสงสารและพูดเสียงเบาอยู่ตรงทรวงอกเขา
เย่เนี่ยนโม่ตัวแข็งทื่อไว้ อดทนไว้ไม่ผลักเธอออก เพราะยังไงซะในท้องเธอมีลูกตัวเองอยู่ “คุณรอเดี๋ยว ผมไปเรียกหมอ”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ คงจะเป็นเพราะวันนี้ฉันไม่ได้ทานข้าวก็ออกมาเลย ก็เลยไม่ค่อยสบายค่ะ”มือสองข้างของอ้าวเสว่กอดแน่นยิ่งขึ้น
ติงยียีครวญเพลงเดินมาจากสุดริมทางเดิน เธอมีความเคยชินอยู่อย่างนึงคืออยากจะดูว่าเย่เนี่ยนโม่กำลังทำอะไรอยู่ผ่านประตูกระจก แต่กลับเห็นเรื่องที่ทำให้เธอไม่อาจลืมเลือน
มองจากมุมของเธอ อ้าวเสว่กอดเขาไว้ ส่วนแขนของเขาได้เอื้อมมาที่ไหล่ของเธอเบาๆ เมื่อไม่นานมานี้มือคู่นี้ยังได้ใช้ท่าที่เหมือนกันกอดเธออยู่เลย
เธออดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไหล่ตกลงมาเล็กน้อย เหมือนกระเป๋าที่อยู่บนไหล่มีน้ำหนักเป็นตัน ในใจเธอเริ่มแก้ตัวแทนเขา
เขาไม่ใช่คนแบบนี้ เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นอ้าวเสว่ที่จงใจกอดเขาไว้ เขาไม่สามารถขัดขืนออก เพราะยังไงซะอ้าวเสว่ก็เป็นโรคซึมเศร้า อีกอย่างเพราะเรื่องศูนย์การค้าสากลในก่อนหน้านี้จิตใจก็เลยค่อนข้างอ่อนแอ
เธอคอยปลอบใจตัวเอง จนกระทั่งเธอได้ยินเย่เนี่ยนโม่พูดคำว่า“อย่าให้ผมรู้อีกว่าคุณไม่ทานข้าวดีๆ”
คำแก้ตัวทุกอย่างดูเหมือนตลกไปเลย ไม่นึกเลยว่าเขาจะกำลังเป็นห่วงว่าเธอทานข้าวดีๆหรือเปล่า เธอยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ไม่ได้หันหลังจากไป ไม่ได้เปิดปากร้องเรียน ราวกับว่าเป็นคนนอกคนนึงยังไงอย่างงั้น
เย่เนี่ยนโม่ก้มหน้าดูนาฬิกาแว๊บนึง รู้สึกว่าติงยียีไปเข้าห้องน้ำนานเกิน เขาเอามือสองข้างที่อยู่ช่วงเอวของตัวเองออกอย่างหงุดหงิด ในใจคิดอยู่ว่าจะต้องไล่คนไปก่อนที่ติงยียีจะกลับมา
เขาเงยหน้ามองไปที่นอกห้องด้วยความเคยชิน จากนั้นก็เห็นติงยียีที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
แววตาเขาเศร้าและตื่นเต้นเล็กน้อย คอยจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าเธอ
อ้าวเสว่มองไปตามสายตาของเขา ตอนแรกคืออึ้งก่อน จากนั้นมุมปากได้ยกขึ้นเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สายตาของติงยียีจ้องไปมาอยู่ที่บนตัวทั้งสอง เธอเดินไปหาทั้งสองคนทีละก้าว กระเป๋ากระทบกระแทกอยู่ที่เอวของเธอ มุมแหลมของกล่องของขวัญที่อยู่ในกระเป๋าคอยทิ่มเอวของเธออยู่เรื่อยๆ
“เธอเองเหรอ”อ้าวเสว่แกล้งทำเป็นประหลาดใจ หางตาได้ยกขึ้นอย่างเร็ว หลังจากเห็นใบหน้าอันเขียวดำและแววตาของเขาก็เข้าใจในทันที
ดูท่าเย่เนี่ยนโม่ยังไม่ได้บอกเรื่องที่เธอท้องให้กับติงยียี เพราะตามนิสัยของติงยียีแล้ว ถ้ารู้ว่าเธอท้อง ติงยียีจะต้องจากไปแน่นอน
เธอยิ่งคิดยิ่งสะใจ กำลังจะเปิดปาก แขนก็ถูกเย่เนี่ยนโม่จับไว้ก่อน
เขาจับไว้แน่นมาก นิ้วมือทั้งห้าราวกับจะทิ่มเข้าไปในเส้นเลือดของเธอยังไงอย่างงั้น เธอสบตากับแววตาที่เต็มไปด้วยการตักเตือนของเขา
“คุณไปก่อน”เย่เนี่ยนโม่พูดกับติงยียีด้วยสีหน้าเย็นชา เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวขึ้นมาทันทีของอีกฝ่าย หัวใจเขาเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็ซอฟลงมาด้วย“เดี๋ยวผมโทรหาคุณ”
“อย่าไปสิ เราสามารถคุยเรื่องในอดีตได้หนิ ยังไงเมื่อก่อนก็เป็นศิษย์เก่าที่โรงเรียนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”อ้าวเสว่พูดออกมาคำนึงก็รู้สึกว่าแรงที่ข้อมือได้หนักมากยิ่งขึ้น เธอทนความเจ็บปวดไว้ แสร้งทำเป็นพูดอย่างมีความสุขสุดๆ
ติงยียีมองเย่เนี่ยนโม่จับมือของอ้าวเสว่อย่างเงียบๆ ทั้งสองยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเอง เหมือนตัวเองต่างหากที่เป็นส่วนเกิน
เธอเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง ราวกับได้ยินเสียงหัวใจแตกสลายของตัวเอง“คุณจะให้ฉันไปหรือว่าให้เธอไป?”
บรรยากาศในห้องเยือกเย็นถึงจุดต่ำสุด เย่ป๋อที่มาอย่างเร่งรีบก็ไม่รู้จะทำยังไงในชั่วขณะ อ้าวเสว่พูดอย่างอ่อนโยน:“ฉันไปดีกว่าค่ะ ดูท่ายียีค่อนข้างโกรธนะคะ”
เธอขัดขืนออกมาจากมือของเย่เนี่ยนโม่แล้วได้เดินมาข้างหน้าก้าวนึง จากนั้นได้เข่าอ่อนล้มไปด้านหลังอีก เย่เนี่ยนโม่ไปปกป้องท้องของเธอด้วยจิตใต้สำนึก
ติงยียีเห็นภาพนี้แล้วได้พูดอย่างหัวเราะเยาะตัวเอง:“ดูท่าคำตอบได้ถูกเปิดเผยแล้ว”
“ยียี!”เย่เนี่ยนโม่มองแววตาที่ผิดหวังของเธอแล้วตกใจ แขนกลับถูกดึงไว้เบาๆ เขาหันไปมองอ้าวเสว่ ตอนที่หันมาอีกทีก็ไม่เห็นเงาติงยียีแล้ว เย่ป๋อได้วิ่งตามออกไป
เลขาเดินผ่านหน้าห้องอย่างเร่งรีบ ไม่กล้าหยุดอยู่นาน อ้าวเสว่ลูบท้องและพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด:“ฉันได้สร้างความเดือดร้อนให้คุณหรือเปล่าคะ?”
เธอรู้สึกตัวเองได้ทำศึกที่สวยงามศึกนึง อารมณ์ดีสุดๆ แต่หลังจากเห็นแววตาของเย่เนี่ยนโม่แล้วได้ตกใจจนสะดุ้ง
แววตาของเขาไม่มีความโกรธกริ้วที่มากกว่า กลับกันยังแฝงด้วยความชัดเจน เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ถูกเปลือยออกมาวางอยู่ที่ตรงหน้าของสายตาของผู้คน
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเย่เนี่ยนโม่ก็ได้เปิดปากพูด“รู้มั้ยว่าทำไมผมถึงให้คุณอยู่ต่อ?”
อ้าวเสว่อึ้ง ในใจค่อนข้างลนลาน ใบหน้ากลับทำเป็นมึนงงไม่รู้เรื่อง“เพราะฉันตั้งครรภ์”
เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มแว๊บนึง จากนั้นได้เอาเอกสารบนโต๊ะโยนลงที่พื้น
ถุงของเอกสารถูกสลัดออก รูปถ่ายที่อยู่ด้านในหล่นออกมาหมด
อ้าวเสว่จ้องรูปถ่ายหนึ่งในนั้นไว้ ในรูปถ่ายโม่ซวนหลินกับแม่ของเธอส่งตัวเองมาถึงหน้าบ้าน ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง
แต่ตอนนี้ คนที่อยู่ในรูปถ่ายหนึ่งในนั้นได้นอนอยู่ที่ห้องเก็บศพแล้ว ผลสรุปของตำรวจคือฆ่าตัวตาย
สักพัก เธอถึงยกศีรษะที่แข็งกระด้างขึ้นมา รอยยิ้มของเธอแฝงด้วยความฝืนใจ“ฉันกับเธอเป็นเพื่อนกันค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่ยกมุมปากขึ้น ไม่ได้พูดขัดจังหวะเธอ สมองของเธอทำงานอย่างเร็ว คอยสรรหาคำโกหก“หลังจากที่ฉันกลับมาถึงพบว่ายังมีตัวตนของเธออยู่ ตอนแรกฉันนึกว่าคุณชอบเธอ จึงเคยตั้งใจไปหาเธอโดยเฉพาะ ต่อมาถึงรู้ว่าเธอเองก็เป็นแค่ตัวสำรองคนนึงเฉยๆ”
อ้าวเสว่ก้มหน้าไว้เพื่อหลบหลีกสายตาเฉียบคมของด้านหน้า หัวใจเธอกระสับกระส่าย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเย่เนี่ยนโม่จะถามคำถามอะไรตัวเอง
สายตาของเย่เนี่ยนโม่กวาดผ่านคางแหลมของเธอ และพูดอย่างช้าๆ:“ขอแค่เอาของพวกนี้ให้ตำรวจ จะตรวจความเกี่ยวข้องของคุณกับเธอไม่ยากเลย”