“คุณว่าอะไรนะ?”แววตาของเย่เนี่ยนโม่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าแววตารักษาความเคร่งขรึมของปกติไว้ เหมือนกำลังคุยเรื่องทางการยังไงอย่างงั้น
“ฉันบอกว่า!”ทันใดนั้นติงยียีได้ลากเสียงสูงและพูดเสียงดังต่อ:“ต่อไปอย่าให้ฉันเรียกคุณเนี่ยนโม่อีก!”
เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างบริสุทธิ์ใจ“แต่เมื่อกี๊คุณได้เรียกไปแล้ว”
ติงยียีพูดไม่ออก ตาคมสวยเบิกตากว้างเล็กน้อย ปลายจมูกเรียวเล็กหดตัวเล็กน้อยเนื่องจากโกรธ
“ฮ่าๆๆ”เย่เนี่ยนโม่หัวเราะดังลั่น จากนั้นได้พลิกฝ่ามือมากุมฝ่ามือของเธอไว้แน่น ทั้งสองเกี่ยวก้อยกันไว้ เขาพาเธอเดินไปข้างหน้าอย่างไว
ผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล
คุณหมอทายาให้เย่เนี่ยนโม่เสร็จก็ได้ปล่อยทั้งสองออกมาแล้ว เดินมาถึงทางริมทางเดินที่ไปยังห้องผู้ป่วย ทั้งสองก็ไม่เคยปล่อยมือเลย
สุดทางของริมทางเดิน ร่างเงานึงกำลังจ้องมองดูพวกเขาอยู่ ติงยียีรีบปล่อยมือ“พ่อคะ”
ติงต้าเฉินพยักหน้าแล้วพูด“พ่อมีอะไรจะคุยกับเขา”
แววตาของติงยียีมืดมนลง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเนื้อหาที่คุยคืออะไร ศีรษะของเธอถูกลูบเบาๆสองครั้ง เธอกลั้นน้ำตาไว้และหันหน้ามา พอหันมาก็สบตากับสายตาอ่อนโยนของเย่เนี่ยนโม่
มองติงยียีจากไป ติงต้าเฉินถอนหายใจทีนึง“สมัยเด็กๆเพื่อช่วยเพื่อนที่ดีที่สุดของยียี ยียีเคยเกือบจะพลัดตกตึก จนถึงตอนนี้เธอก็เลยยังกลัวความสูงอยู่”
เย่เนี่ยนโม่คอยฟังเขาพูดอย่างเงียบๆ ติงต้าเฉินถือไม้เท้าไว้และมองนอกหน้าต่างเหมือนกับว่าจมปลักเข้าไปในความทรงจำ“ถ้าเธอชอบคนๆนึงเข้าก็จะรักเดียวใจเดียวมากจริงๆ ถึงจะต้องเสียใจ เธอก็ยังจะพุ่งชนไปข้างหน้าอย่างไม่แคร์อะไรเลย”
“ผมจะปกป้องเธอให้ดีครับ”เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ จู่ๆนึกถึงเรื่องของอ้าวเสว่เขาได้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาอีก
ติงต้าเฉินไม่เห็นสีหน้าแววตาของเขา หลังจากได้ยินก็แค่พูดของเขาอยู่คนเดียว“วันนี้คุณเกือบตายไปแล้วสองครั้ง ฉันเชื่อว่าคุณรักลูกสาวของฉันจริงๆ”
เขามองหน้าเย่เนี่ยนโม่ ราวกับป่าวประกาศอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วยังไงอย่างงั้น“ฉันมอบลูกสาวของฉันให้คุณได้ แต่ฉันหวังว่าคุณอย่าทำให้เธอร้องไห้อีก”
สีหน้าแววตาของผู้ชายทั้งสองเคร่งขรึมมาก ราวกับได้เข้าสู่พิธีรับช่วงต่อที่ละเอียดรัดกุมที่สุด เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าอย่างหนักแน่น ในที่สุดก็ได้ยกภูเขาออกจากอกเสียที
ตอนที่ติงต้าเฉินกลับมาถึงห้องผู้ป่วย ติงยียีนั่งอยู่บนโซฟาที่อยู่ข้างๆ ผลตรวจของทั้งสองคนได้วางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ ได้ยินเสียงฝีเท้า ติงยียีได้หันมามอง“พ่อ”
ติงต้าเฉินพยักหน้าแล้วเอาผลตรวจมาดู จู่ๆได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ไม่นึกเลยว่าคนแก่อย่างพ่อร่างกายจะแข็งแรงขนาดนี้ ดูท่าอยู่ต่ออีกหลายปีคงไม่มีปัญหาแน่นอน”
“พ่อ นี่พ่อพูดอะไรคะ พ่อจะต้องมีชีวิตยืนอีกหลายร้อยปีแน่นอนค่ะ!”ติงยียีมองเขาอย่างไม่พอใจ ติงต้าเฉินหัวเราะเสียงดัง จู่ๆได้พูดว่า:“ลูกชอบพ่อหนุ่มคนนั้นจริงๆเหรอ?”
เธออึ้งค้างไว้ จากนั้นได้พยักหน้าเบาๆ ติงต้าเฉินลูบหัวเธอ“พ่อยอมให้ลูกสองคนอยู่ด้วยกัน”
“พ่อคะ”น้ำตาของติงยียีไหลออกมาจากเบ้าตา
เบ้าตาของติงต้าเฉินก็เปียกชุ่มเล็กน้อย“เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม ต่อไปถึงลูกจะถูกคนหัวเราะเยาะ พ่อก็จะอยู่กับลูกตลอด ใครใช้ให้ลูกชอบพ่อหนุ่มคนนั้นล่ะ!”
ติงยียีอดกอดเขาไว้ไม่ได้ เธอทำจมูกฟุดฟิดไว้สุดฤทธิ์ พยายามไม่ให้น้ำตาไหลลงมา ติงต้าเฉินได้ลูบหลังเธอ“ไปเถอะ เขาอยู่ที่ริมทางเดิน”
ติงยียีพยักหน้าจากเศร้ามาเป็นดีใจ จากนั้นได้หันหลังวิ่งออกไปข้างนอก เธอดึงประตูห้องออกและชะโงกศีรษะด้วยความตื่นเต้น ตรงริมทางเดินกลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ในห้อง เย่ป๋อกับบอดี้การ์ดยืนอยู่ข้างๆไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง“ไปตามหาเดี๋ยวนี้ แล้วก็ส่งคนไปคุ้มกันติงยียีเยอะกว่านี้หน่อย”
เย่ป๋อพยักหน้า จู่ๆเสียงมือถือได้ดังขึ้นในเวลานี้ เขารับสายขึ้นมาสักครู่แล้วสีหน้าเปลี่ยนไป“คุณชายครับ โม่ซวนหลินเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วครับ”
ริมคูเมือง
ตำรวจกำลังใช้รถเครนล้วงรถยนต์ที่กระแทกจนพังยับเยินขึ้น บนสนามหญ้ามีศพที่เปียกชื้นนอนอยู่
สภาพศพมีรอยช้ำอยู่ตามตัว ศพถูกชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้นใช้พลาสติกคลุมไว้อย่างเรียบง่าย เวลามีลมพัด ยังสามารถมองเห็นใบหน้าซีดเซียวที่อยู่ใต้ถุงพลาสติกได้
ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน ผู้ชายที่สวมใส่ชุดสูทผลักฝูงชนออกไป จากนั้นได้กลับมาที่หน้ารถที่จอดห่างออกไปหลายเมตร
“คุณชายเย่ครับ คือEmilyจริงๆครับ ชาวบ้านที่อยู่ระแวกนี้บอกว่ารถหักหลบเลยตกลงไปจากสะพานครับ และยังได้พบเงินถุงนึงและพาสปอร์ตด้วยครับ”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า ในเมื่อคนได้ตายไปแล้ว งั้นทุกอย่างที่เธอทำก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว
จู่ๆในหมู่คนมีเสียงที่ดังโหวกเหวกก้องมา หญิงวัยกลางคนๆนึงผลักฝูงชนออกไป ร้องไห้คร่ำครวญกระโจนไปที่ข้างศพ
เย่เนี่ยนโม่มองไปตามเสียงร้องคร่ำครวญของหญิงวัยกลางคนแล้วตกใจ ผู้หญิงคนนั้นเหมือนเขาจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน ใช่แล้ว เธอเคยมาหาแม่ตัวเอง
“ไปตรวจสอบผู้หญิงคนนี้ดู”เย่เนี่ยนโม่เลื่อนกระจกรถขึ้นอย่างช้าๆ
ยามค่ำคืนเงียบมาก เมืองตงเจียงได้จมอยู่กลางสายลมเย็น
ติงยียีนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง เธอรอสายเรียกเข้าอยู่นานมาก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอพักอยู่บ้านหลังเก่า พรุ่งนี้เธอก็จะย้ายเข้าบ้านใหม่แล้ว
จู่ๆมือถือได้สว่างขึ้น เธอกระโจนไปอย่างดีใจ หน้าจอที่สว่างขึ้นมีแค่สองคำสั้นๆ“good night”
เธอดูรอบแล้วรอบเล่า ในหัวมีสีหน้าแววตาเคร่งขรึมของเย่เนี่ยนโม่ตอนที่เขาพิมพ์ข้อความโผล่ขึ้นมา จู่ๆเธอส่งเสียงหัวเราะออกมา เจ้าแพนด้าได้เดินวนอยู่รอบตัวเธอ เหมือนจะรับรู้ความรื่นรมย์ของเธอ
เธอพิมพ์คำว่าGood Nightเสร็จก็ได้ลังเลไปอีกครู่นึง สุดท้ายได้เพิ่มอีโมจิรูปยิ้มไปที่ท้ายข้อความ ที่นี้ถึงส่งข้อความออกไป
วันถัดมา หนังสือพิมพ์ของทั่วทั้งเมืองต่างก็ปรากฎข่าวพร้อมๆกันว่า“Emilyดาราหญิงตกกระป๋องฆ่าตัวตาย ละครเรื่องสุดท้ายที่เล่นคือ‘เวทมนตร์’”
อ้าวเสว่นั่งเหม่อลอย จิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกัน ทำไมโม่ซวนหลินจู่ๆถึงได้คิดฆ่าตัวตาย ตอนที่เธอกับโม่ซวนหลินแยกกัน อีกฝ่ายไม่มีใจที่อยากจะตายเลยสักนิด เป็นไปได้ยังไง
“คุณอ้าวเสว่?”ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นคนเช็คร่างกายให้เธอเอง เห็นเธอจ้องหน้าจอโทรทัศน์อยู่ตลอดเวลา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลถอนหายใจทีนึง“ดาราสมัยนี้นี่คิดสั้นจังเลย คุณอ้าวเสว่รู้จักเธอเหรอครับ?”
“ไม่รู้จักค่ะ!”เธอโต้แย้งเสียงดังด้วยจิตใต้สำนึก เห็นอีกฝ่ายมองตัวเองอย่างประหลาดใจ เธอรีบฉีกรอยยิ้มออกมาแล้วนอนลงบนเตียงให้หมอตรวจ
“เด็กแข็งแรงมากครับ เชื่อว่าคุณชายเย่จะต้องดีใจมากเลยครับ”ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพูดจากใจจริง
จู่ๆอ้าวเสว่ได้ลุกขึ้นมา“ผู้อำนวยการคะ ขอฉันอยู่คนเดียวสักห้านาทีได้มั้ยคะ?”
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพยักหน้า พอเขาออกจากห้องปุ๊บ อ้าวเสว่ก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาทันที โทรออกไปตั้งนานถึงรับสาย เสียงของซือซืออ่อนโยนกว่าทุกครั้ง“ลูก เด็กในท้องแข็งแรงดีมั้ย”
“แม่คะ แม่ทำอะไรโม่ซวนหลินคะ?”อ้าวเสว่ถามอย่างซีเรียส รถคันนั้นเป็นรถที่ยืมกับแม่ของเธอ โม่ซวนหลินไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอน งั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างเดียว มีคนเล่นตุกติกกับรถคันนั้น
“ลูก ข้าวน่ะกินซี้ซั้วได้ แต่พูดซี้ซั้วไม่ได้นะ”ซือซือทำน้ำเสียงให้หนักขึ้น แฝงด้วยการตักเตือน
อ้าวเสว่อดนึกถึงเรื่องที่ตัวเองกับจางถังก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อสามปีก่อนไม่ได้ ตอนนั้นแม่ก็สีหน้าเรียบเฉยเหมือนกัน ทำไมถึงมีคนที่ไม่แคร์ชีวิตคนขนาดนี้ เธอตัวสั่นไปที แม้แต่เสียงก็สั่นไปด้วย“บอกหนูมา แม่เป็นคนทำร้ายเธอใช่มั้ยคะ”
“พอได้แล้ว!”ซือซือตะคอกเสียงดัง“ลูกจะไปเข้าใจอะไร เก็บคนแบบนั้นไว้จะต้องมีภัยตามมาทีหลังแน่นอน หรือลูกจะรอให้มันไปเปิดโปงลูกที่ตรงหน้าเย่เนี่ยนโม่ ลูกลองคิดดูถ้าตระกูลเย่รู้ว่าว่าที่ผ่านมาลูกทำร้ายติงยียีมาโดยตลอด ลูกยังจะได้อยู่ดีมีสุขหรอ!”
อ้าวเสว่ถูกคำพูดของเธอทำเอาตกใจและกลัวจนเงียบไปตั้งนาน
น้ำเสียงของซือซือได้ช้าลงมาบ้าง“เพราะเส้นทางในวงการบันเทิงไม่ราบรื่น โม่ซวนหลินถึงได้คิดฆ่าตัวตาย ลูกเข้าใจหรือยัง!ลูก ที่แม่ทำไปก็หวังดีกับลูกทั้งนั้น ไม่นานก็จะเข้าไปอยู่ที่ตระกูลเย่แล้ว เวลานี้จะเกิดเรื่องเกิดราวอีกไม่ได้”
ซือซือที่อยู่ในสายยังพูดอะไรอีก แต่อ้าวเสว่กลับฟังไม่เข้าแล้ว เธอทิ้งมือถือลงแล้วเดินมาที่ริมหน้าต่าง นอกหน้าต่างสายลมหนาวดังฟิ้วๆ ถุงพลาสติกสีดำใบนึงหมุนอยู่กลางอากาศและลอยไปทางไกลอย่างไม่ขาดสาย
ผ่านไปครึ่งค่อนวันเธอถึงหันหน้ามา เย่เนี่ยนโม่มือกอดอกยืนมองเธออยู่หน้าห้อง ไม่รู้ว่าได้ยืนอยู่นานเท่าไหร่แล้ว
“เนี่ยนโม่!คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”เธอทั้งกลัวและตกใจ แต่ต้องแสร้งพูดอย่างสงบนิ่ง
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว“คุณกำลังกลัวอะไรอยู่?”
“ไม่มีอะไรค่ะ?เมื่อกี๊คุณหมอบอกว่าลูกแข็งแรงมากค่ะ”อ้าวเสว่รีบฉีกรอยยิ้มออกมาและมองเขาอย่างระมัดระวัง
ตอนที่เย่เนี่ยนโม่ได้ยินเธอพูดถึงลูกสีหน้าแววตาถึงซอฟลงมา เขาหันไปก่อน“ไปกันเถอะ”
อ้าวเสว่รีบเดินตามหลังเขา เหมือนเย่เนี่ยนโม่รู้สึกได้ว่าเธอเดินตามไม่ทัน ฝีเท้าของเขาได้ค่อยๆช้าลง
ตระกูลเย่
ทั้งสองเพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน เซี่ยชีหรั่นก็รีบเดินมาหาเลย สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง“เสี่ยวเสว่ คุณหมอว่ายังไงบ้าง?”
“ลูกแข็งแรงมากค่ะ”อ้าวเสว่พูดด้วยรอยยิ้ม เย่เชินหลินที่อยู่ข้างๆคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของทางนี้อยู่ตลอดเวลา พอได้ยินแล้วพูดว่า“หมอที่พ่อเชิญมาจากอเมริกาอีกสองวันก็มาถึงแล้ว ถึงเวลาก็รอคลอดอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจก็พอแล้ว”
อ้าวเสว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ทั้งครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกัน เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ข้างๆกลมกลืนเข้าร่วมกับบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เลย สถานการณ์ของตอนนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขา
เย่เชินหลินลุกขึ้นแล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง:“มากับพ่อ”
ในห้องอ่านหนังสือ
เย่เชินหลินพูดหันหลังให้กับเขา:“แกกำลังสงสัยว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของแกใช่มั้ย?”
เย่เนี่ยนโม่อึ้งไปครู่นึง เขาสงสัยก็จริง แต่ความสงสัยแบบนี้มีไม่มาก อ้าวเสว่มีใจให้เขาๆรู้มาโดยตลอด
เย่เชินหลินมองเขาอย่างเข้าใจ พร้อมพูดช้าๆว่า:“ลูกในท้องของเธอมีความเกี่ยวโยงกับเรื่องศูนย์การค้าสากลใช่มั้ย”
“พ่อครับ!”เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
น้ำเสียงของเย่เชินหลินเย็นชา“ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของแกหรือเปล่า ตระกูลเย่ไม่เคยติดค้างสินน้ำใจคนอื่น แต่งงานกับเธอซะ หลังจากแต่งงานแล้วแกอยากทำอะไรก็แล้วแต่แก”
คำพูดของเขาทำให้เย่เนี่ยนโม่อยากหัวเราะ แต่งงานกับอ้าวเสว่เพื่อเป็นการชดเชย หลังจากแต่งงานก็รักษาความสัมพันธ์กับติงยียีไว้
เขารู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดี ทั้งได้ทำตามหน้าที่และยังได้ครอบครองความรักไว้ แต่ว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงทั้งสองคนเลย เขาดูรูปครอบครัวที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพูดทีละถ้อยคำ:“ผมจะดูแลเด็กคนนั้นดีๆ แต่ผมไม่มีทางแต่งงานกับอ้าวเสว่ คนที่ผมรักมีแค่ติงยียีคนเดียวเท่านั้น”
เย่เนี่ยนโม่ออกไปแล้วปิดประตูอย่างแรง
เย่เชินหลินยืนอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า สีหน้าแววตาของเขามีความกังวลอยู่เสี้ยวนึง เซี่ยชีหรั่นเดินมาข้างหลังเขาและกอดเขาจากด้านหลังไว้เบาๆ