ทางปลายสายนั้นอึ้งไป จากนั้นก็มีเสียงที่อ่อนโยนลงกว่าเดิมว่า “อืม”
ติงยียีฟังคำพูดเขาอย่างขำๆ ในใจคิดว่าที่แท้ความรักก็ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นลดทิฐิตัวเองลงได้
มองเห็นเย่ชูหวิน ในสายตาชิวไป๋ก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ อาศัยจังหวะที่เย่ชูหวินไปเข้าห้องน้ำ เธอก็ลากมือติงยียีมารีบพูดว่า “หน้าตาโดดเด่นมาก ดาราที่ฉันเคยปั้นมาบางคนยังสู้เขาไม่ได้เลย แต่ผอมไปหน่อย”
ติงยียีแกล้งหยอกเล่นว่า “ถ้างั้นให้คุณ”
ชิวไป๋นั่งอย่างเรียบร้อยทันที เหล่มองเธอ “ฉันเป็นคุณป้าผู้ใจกว้างเชียวนะ หล่อเหลาสูงใหญ่แบบนี้ไม่เหมะกับฉันหรอก”
“งั้นประเภทซื่อๆไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอย่างเย่ป๋อนั้นเป็นยังไง” ติงยียีรีบรับลูกต่อทันที
ชิวไป๋นิ่งเงียบ แกล้งทำเป็นหันหน้ามองวิวทิวทัศน์ ไม่ยอมตอบคำถาม เห็นเธอหลบเลี่ยงแบบนี้ ติงยียีได้แต่ถอนหายใจ
“รอนานเลย” สีหน้าเย่ชูหวินขาวซีดเล็กน้อย ริมฝีปากไม่มีสีเลือดเลยสักนิด ร่างกายโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่เหมือนจะพังทลายลงในวินาทีต่อมาอย่างนั้น
ติงยียีเป็นห่วงเล็กน้อย “คุณไม่เป็นไรนะคะ”
“ไม่เป็นไร” เย่ชูหวินมองเธออย่างดุดัน ติงยียีตัวเกร็งขึ้นมาทันที สีหน้าท่าทางก็เต็มไปด้วยร้อนรนกระวนกระวาย “เรื่องอะไร!”
เย่ชูหวินค่อยๆเข้ามาใกล้เธอ สีหน้าแน่วแน่ ชิวไป๋มองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความเข้าใจกระจ่าง เป็นผู้ชายที่ยอมทุ่มเทให้ติงยียีอีกคนหนึ่งแล้วสินะ
“คุณให้ผมกอดหนึ่งทีแล้วจะบอกคุณ” เย่ชูหวินห่างจากติงยียีเพียงสองสามเมตร เขากะพริบตา จู่ๆสีหน้าก็ผ่อนคลายลง พูดอย่างเนือยๆ
สีหน้าติงยียีแดงเรื่อ เธออุตส่าห์เป็นห่วงเขาขนาดนั้น เขากลับเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น!
เธอยื่นมือออกมา กระทุ้งศอกไปข้างนอก ศอกกระแทกที่ใต้ชายโครงเขา เย่ชูหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่สนใจคุณแล้ว!” ติงยียีลากชิวไป๋ไปนั่งบนรถอย่างโกรธๆ เย่ชูหวินยืนอยู่กับที่ ยิ้มอย่างอับจนหนทาง เขาก้มหน้าไม่รู้คิดอะไรอยู่ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่มีใครสนใจแล้ว
พิธีเปิดศูนย์การค้าสากล รถยนต์สีดำสองสามคันนำขบวนมาด้านหน้า รายล้อมรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนพิเศษคันหนึ่งอยู่
หญิงสาวที่ร่วมพิธียืนเข้าแถวเป็นสองแถว รถยนต์สีดำจอด คนวัยกลางคนคนหนึ่งเดินลงมา
เย่เนี่ยนโม่ที่สวมชุดสูทอย่างเป็นทางการเข้าไปรอต้อนรับ ทั้งสองคนจับมือกัน “เจ้าเมืองโจว สวัสดีครับ”
เจ้าเมืองโจวหัวเราะอย่างชอบใจ “เป็นคนหนุ่มที่เก่งมาก ทำประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับเมืองตงเจียง ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกพื้นที่”
“เจ้าเมืองโจวเองก็ทุ่มเททำงานงานเพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั่วทั้งเมือง”
ทั้งสองคนพูดยกย่องชื่นชมกันไปมา เย่ป๋อยืนอยู่ด้านหลังของคุณชาย เขาแอบเหลือบมองไปทางฝูงชนอย่างเงียบๆ หลังจากที่มองเห็นร่างที่คุ้นเคยสายตาก็สงบนิ่งลง
ชิวไป๋ขมวดคิ้วยืนอยู่นอกฝูงชน “เธอให้ฉันทิ้งงานทิ้งการบอกว่าจะมาสถานที่แห่งหนึ่งก็คือที่นี่เหรอ”
ติงยียีหัวเราะร่า “ก็ใช่นะสิ ในฐานะผู้ที่พักอาศัยอยู่ที่เมืองตงเจียงมายาวนานพวกเราก็ควรที่จะมาสนับสนุนหน่อยไง!”
สายตาเคลือบแคลงสงสัยของชิวไป๋มองกวาดไปมาที่เธอ เย่ชูหวินที่อยู่ข้างๆจู่ๆก็พูดขึ้นว่า “ขอโทษนะครับ เป็นผมเองที่อยากมาที่นี่”
ชิวไป๋เห็นอย่างนั้นน้ำเสียงก็อ่อนลง “ไม่เป็นไร พวกคุณดูกันไปเถอะ ฉันจะไปหาที่พักผ่อนหน่อย” พูดจบก็ไม่รอการตอบโต้จากทั้งสองคนเธอก็รีบเดินหายไปเลย
มองบนเวทีที่กำลังทำพิธีตัดริบบิ้น ติงยียีมองไปยังเย่เนี่ยนโม่ที่สวมชุดสูทอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยมีฝูงชนกั้นอยู่ในระยะไกล ปิดบังความรักที่เอ่อล้นในแววตาเอาไว้ไม่อยู่
“คุณยียี” เย่ป๋อยืนอยู่ด้านหลังเธอห่างออกไปไม่กี่ก้าว ไม่เห็นคนที่ใจพร่ำเพ้อหา สายตาเขาหม่นหมองลงเล็กน้อย “ที่นี่คนเยอะ กรุณาตามผมไปที่ห้องพักรับรองดีกว่า”
เย่ชูหวินก็อยากตามไปด้วย เย่ป๋อเห็นสายตาเขาก็รู้ว่าเขาก็ชอบติงยียี อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลแทนคุณชาย
พวกเขามาที่ห้องพัก เย่ป๋อพูดคุยด้วยสองสามประโยคก็ถอยออกเตรียมจะกลับไปหาคุณชาย ก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากระเบียงทางเดินไกลๆ
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหนคะ” ชิวไป๋โค้งตัวเล็กน้อย สองขาบิดเข้าหากันเพราะปวดจนทนไม่ไหว ความรู้สึกว่าท้องน้อยบวมขึ้นทำให้เธอรู้สึกเสียใจที่ตอนอยู่บนรถดื่มน้ำเยอะขนาดนั้น
เธอกัดฟันเดินสะเปะสะปะต่อไป มองเห็นคนที่สวมสูทยืนอยู่ตรงหัวมุมไกลๆ ดูเหมือนกำลังจะเดินไป เธอรีบพุ่งไป “ได้โปรดรอก่อนค่ะ!”
คนที่หันหลังให้เธอก็หยุดฝีเท้าลงจริงๆ จากนั้นหมุนตัวมามองเธอด้วยสายตาจริงจัง
“คุณเองเหรอ” เธอเขินเล็กน้อย เธอคิดว่าเอาของขวัญคืนกลับไปต่อไปทั้งสองคนอาจจะไร้การติดต่อพูดคุยกันอีก
เย่ป๋อเดินไปทิศทางหนึ่งสองสามก้าว เธอมองอย่างอึ้งๆ ภายในใจเกิดความสำนึกผิดสำหรับความขี้ขลาดของตนเองขึ้นมาในชั่วพริบตา ในใจคิดว่าเขาไม่สนใจตนเองแล้ว
เย่ป๋อที่เดินไปสองสามก้าวหันมามองเธอ ถามอย่างแปลกใจว่า “คุณไม่ได้หาห้องน้ำอย่างรีบร้อนอยู่หรอกเหรอ”
ภายในห้องน้ำ ชิวไป๋ลังเลจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เย่ป๋อจะรอตัวเองอยู่ที่ข้างนอกหรือเปล่า อีกเดี๋ยวจะพูดอะไรดี
“ขอโทษนะคะ กรุณาหลบหน่อยค่ะ” เสียงอ่อนหวานดังมาจากด้านหลัง เธอรีบหลีกทางให้ หญิงสาวที่ด้านหลังสวมกระโปรงตัวโคร่ง ดูแล้วเหมือนจะตัวบวมๆเล็กน้อย มีผู้หญิงสองคนตามมาข้างๆเธอด้วย ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยถือกระเป๋า ผู้หญิงอีกคนคอยระวังอยู่ข้างๆเธอ
สุดท้ายชิวไป๋ก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมเธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนั้น นี่ไม่ใช่ดีไซเนอร์ออกแบบเครื่องประดับที่เคยมีเรื่องกับติงยียีที่งานประมูลเครื่องประดับคนนั้นเหรอ
อ้าวเสว่เห็นว่าผู้หญิงด้านหลังมองตนเองอยู่ เธอก็ขมวดคิ้วอย่างเงียบๆ หลังจากเป่ามือตนเองแห้งแล้วก็เดินไปข้างนอก
เธอเดินไปทางห้องพักรับรอง เดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนขึ้นมาเล็กน้อย “คุณอ้าวเสว่” หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆรีบหยิบถุงออกมาข้างหน้าทันที
เธอโบกมือ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกนี้ไว้ รู้ว่าวันนี้เย่เนี่ยนโม่จะมาที่นี่เพื่อจัดพิธีเปิด ช่วงนี้เธอหาเขาไม่เจอเลย วันนี้ต้องให้เขาประหลาดใจสักครั้ง
เธอจัดทรงผมให้เข้าที่สวยงาม จากนั้นผลักประตูห้องพักรับรองเปิด ตอนที่มองเห็นติงยียีในห้องพักรับรองทั้งสองฝ่ายต่างก็อึ้งไปชั่วครู่
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” สีหน้าอ้าวเสว่บึ้งตึง ติงยียีจ้องมองเธอ “ทำไมฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“หึ” อ้าวเสว่หัวเราะเยาะ ยืดท้องโดยไม่รู้ตัว เย่ชูหวินเห็นว่าสายตาของติงยียีมองที่ท้องของอ้าวเสว่ เขาก็ใจเต้นระรัว คิดว่าถ้าติงยียีรู้เรื่องนี้เธอต้องบ้าแน่!
เขาคว้ามือของติงยียีเดินไปข้างนอก “ยียี ไปกับผม”
ติงยียีเดินตามเขาไปตามสัญชาตญาณ แต่สายตากลับจ้องมองที่อ้าวเสว่ รู้สึกแปลกใจมาก ทำไมจู่ๆอ้าวเสว่ถึงได้อ้วนแบบนี้ได้
เธอรั้งเย่ชูหวิน พูดอย่างสงสัย “เธอ····ท้องแล้วเหรอ”
เย่ชูหวินที่ยืนด้านหลังเธอตัวเกร็ง ส่งสายตาเตือนไปทางอ้าวเสว่ อ้าวเสว่ตกใจกลัวสายตาที่ดุร้ายของเขา ค่อยๆถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หญิงรับใช้ข้างหลังรีบมาประคองเธอไว้
“เธอท้องแล้วใช่มั้ย” ติงยียีถามซ้ำอีกครั้ง เสียงร้อนรนเล็กน้อย
“คุณอ้าวเสว่” เย่ป๋อสาวเท้าเดินมา ชิวไป๋เดินตามมาด้านหลังเขา สีหน้าชิวไป๋แย่มาก สายตาตอนที่มองติงยียีมีความสงสาร
ได้ยินเสียงของเย่ป๋อ อ้าวเสว่ก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เย่ป๋อยืนอยู่ข้างเธอ พูดช้าๆว่า “คุณชายกำลังรอคุณอยู่ อย่าลืมเรื่องที่คุณชายเคยกำชับไว้นะครับ”
คำเตือนของเย่เนี่ยนโม่และใบหน้าของโม่ซวนหลินผุดขึ้นมา อ้าวเสว่ก้มหน้าปิดบังความหวาดกลัวของตนเอง พูดเบาๆว่า“ฉันรู้แล้ว”
เธอรีบเดินไปด้านนอกทันที ติงยียีดึงข้อมือเธอเอาไว้ เธอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะ”
“อย่ามาพูดกับฉัน!” อ้าวเสว่ขัดขืนอย่างสุดชีวิต หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆรีบเข้ามาช่วย ทันใดนั้น ติงยียีก็ปล่อยมือออก
อ้าวเสว่เหลือบมองเธอแล้วรีบเดินจากไป ติงยียีหันไปมองเย่ป๋อ น้ำเสียงเธอทุกข์เล็กน้อย “อ้าวเสว่ท้องแล้วเหรอ”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา เย่ชูหวินขยับมาอยู่ข้างๆติงยียีอย่างเงียบ ถ้าเย่ป๋อยอมรับแล้วจริงๆ เขาก็จะได้เตรียมพร้อมที่จะพาเธอไป
“คุณยียีพูดอะไรของคุณครับ ความรู้สึกของคุณชายที่มีต่อคุณคุณเองก็รู้ดี” เย่ป๋อสีหน้าจริงจังเหมือนไม่ได้โกหก เขามองดูนาฬิกาข้อมือ พูดอีกว่า “น่าจะตัดริบบิ้นเสร็จแล้ว ผมออกไปหน่อยนะครับ”
ติงยียีมองไปที่ทางเดินระเบียงอย่างเหม่อลอย ในใจเธอว่างเปล่า สีหน้าท่าทางของอ้าวเสว่ การจากไปอย่างรีบร้อนของเย่ป๋อล้วนทำให้ติงยียีรู้สึกวิตกกังวล ถ้าอ้าวเสว่ท้องจริง เธอจะทำอย่างไรดี จะเลิกกับเย่เนี่ยนโม่ไปแบบนี้เลยเหรอ
ไหล่เธอถูกตบเบาๆ เธอหันไปพบกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเย่ชูหวิน เย่ชูหวินพูดว่า “อยากรู้มั้ยว่าผมทำอะไรบ้างตอนอยู่ที่อเมริกา”
เขาพาเธอมาที่ร้านหนังสือ หลังจากค้นหาอยู่สักพักก็เจอหนังสือหนึ่งเล่ม เขาเปิดหนังสือชี้ไปที่เมืองแห่งหนึ่ง ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนแสงไฟสว่างไสวทั่วทั้งเมือง เขาดึงเธอไปนั่งข้าง ๆ พูดเบา ๆ ว่า “อุณหภูมิในลอสแองเจลิสตอนเช้าและตอนกลางคืนต่างกันมาก ดังนั้นในตอนเช้าเราสามารถนั่งอาบแดดบนสนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างดีได้ เลี้ยงสุนัขได้สองตัว ตัวหนึ่งคือชาผี อีกตัวหนึ่งคือโกลเดินริทรีฟเวอร์ ”
“แพนด้าสามารถอยู่ที่ลอสแองเจลิสได้มั้ยคะ” ติงยียีมองรูปภาพที่สวยงามพลางเอียงคอถาม เย่ชูหวินครุ่นคิด “รูปร่างของมันแบบนั้นยุ่งยากเล็กน้อย”
“อ่าว” สีหน้าเธอหดหู่เล็กน้อย เย่ชูหวินที่อยู่ข้างลากเสียงยาว “ยุ่งยากเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่จะทำไม่ได้”
“ทุเรศ!” ติงยียีมองสายตากลั่นแกล้งของเขาก็แสร้งทำเป็นโกรธทุบที่ไหล่เขา เย่ชูหวินหัวเราะร่า
เขาเปิดไปอีกหน้า นั่นคือบ้าน 2 ชั้นขนาดเล็กที่หลังหนึ่ง ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย ด้านนอกมีหญ้าเขียวขจี ที่ใต้กันสาดมีเก้าอี้นอนขนาดใหญ่ 2 ตัววางอยู่ ด้านข้างคือสระว่ายน้ำขนาดเล็กหนึ่งสระ
ดอกเทียนฝรั่งที่ไม่ได้แน่นมากกำลังดีล้อมรอบสวนหย่อมเอาไว้ ด้านหน้ารั้วไม้นอกบ้าน มีเด็กชายผิวขาวคนหนึ่งจูงสุนัขเดินผ่านมา
“ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สะดวกสบายมาก ไม่เหมือนบ้านในแบบคอนโดอย่างในประเทศที่ทำให้หายใจไม่ออก แพนด้าต้องชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้แน่นอน”
เย่ชูหวินลูบคลำภาพบนหน้ากระดาษ สายตาย้อนนึกถึงอดีต ติงยียีนั่งอยู่ข้างๆเขาชี้ไปที่ต้นมะพร้าวสองต้นที่ขนานกันอยู่ในลานบ้าน “สามารถเอาชิงช้าสองอันมาวางตรงต้นมะพร้าวนั้น ตอนเย็นก็นั่งกินไอศกรีมบนชิงช้า”