“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธออยากจะไปหาคุณยาย” น้ำเสียงของเย่เนี่ยนโม่ราบเรียบ เสียงที่เล่าไม่น่าดึงดูดเอาซะเลย และยังมีความแข็งกระด้างปนอยู่ในนั้น
ติงยียีปิดเสียงเพลงฟังอย่างเงียบๆ ปากเล็กพูดตาม นานพอสมควร เสียงเปลี่ยนหน้าหนังสือก็ไม่มีอีก เสียงของเย่เนี่ยนโม่ดังกลับเข้ามา “เรื่องนี้น้ำเน่าจริงๆ”
“แล้วใครบอกว่าไม่ใช่กัน?”ติงยียียืดเอวขึ้นมา หาวกว้างออกมา ทั้งสองคนคุยกันสักพักถึงจะวางสายไป
ติงยียีมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆดับลง ใจที่อบอุ่นแผ่ขยายตัวกว้าง เธอพูดกระซิบเสียงเบา: “อยากจะปลอบฉันก็พูดมาตรงๆก็ได้ จริงๆเลย!”
ราวกับว่าได้เติมกำลัง เธอเปิดเพลงเสียงดังที่สุดอีกครั้ง เริ่มต้นฝึกซ้อม ที่ประตูทางเข้า เอเลนมองเธอด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน สุดท้ายก็ขมวดคิ้วและปิดประตูเบาๆ
มือซ้ายของเย่เนี่ยนโม่เคาะไปที่เท้าแขนโซฟาไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เมื่อเขาเริ่มทำแพนด้าก็จะรีบวิ่งอย่างรวดเร็วออกมาจากห้อง ตอนนี้ภายในห้องเต็มด้วยความคิดถึง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน โจ๋ซวนและเย่ชูฉิงปรากฏตัวที่ประตูทางเข้า ไห่โจ๋ซวนเลิกคิ้ว “ดื่มสักแก้วไหม?”
ที่บาร์ ตรงหน้าของเย่ชูฉิงนั้นวางน้ำส้มไว้หนึ่งแก้ว เธอจ้องมองภายในแก้วของไห่โจ๋ซวนที่เป็นเหล้าของเหลวสีส้ม
“คุณดื่มไม่ได้นะ จำตอนที่ดื่มจนอาละวาดโวยวายที่ร้านอาหารในฝรั่งเศสไม่ได้แล้วเหรอ?”ไห่โจ๋ซวนเลื่อนแก้วออกมาเล็กน้อยอย่างชอบธรรม
แต่ว่าดูแล้วท่าทางน่าดื่ม เย่ชูฉิงมองไปที่แก้วเหล้าด้วยตาโตที่รูปร่างเหมือนลูกแอพริคอต ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย เธอจับนิ้วมือของไห่โจ๋ซวนด้วยท่าทางเศร้าสร้อย
ไห่โจ๋ซวนรู้ทั้งรู้ว่าเธอนั้นจงใจ แต่ว่ามองเธอที่ก้มหัวลง ท่าทางน่าจะสงสารแบบนั้น ในใจก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เขาถอนหายใจพูดออกมา “ดื่มได้แค่คำเดียวนะ”
ดวงตาของเย่ชูฉิงก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที ไห่โจ๋ซวนเลื่อนแก้วเหล้ามาให้ชิมหนึ่งคำ ใบหน้าเล็กคิ้วก็ขมวดขึ้นมา “รสชาติแย่มาก!”
“ก็บอกคุณแล้วไง ไม่ยอมฟังที่แนะนำ”ไห่โจ๋ซวนน้ำเสียงตำหนิ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เย่ชูฉิงแลบลิ้น “น่าเกลียด! ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
มองว่าตัวเธอเข้าไปในห้องน้ำแล้ว ไห่โจ๋ซวนจึงถอนสายตากลับมา ใบหน้ากลับมาเป็นสีหน้าเรียบเฉยเรียบร้อยแล้ว เย่เนี่ยนโม่ดื่มเหล้าที่ชนแก้วไปหนึ่งคำ “จะกลับเมื่อไหร่?”
“ถ้าไม่ใช่ว่าเรื่องของคุณทำให้ชูฉิงทุกข์ใจหนักใจ ตอนนี้พวกเราคงไปเยอรมันเป็นที่ถัดไป”ไห่โจ๋ซวนพูด
เขามองไปที่เย่เนี่ยนโม่ ลำคอบีบแน่น“อ้าวเสว่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด ถ้าคุณคิดที่จะแต่งงานกับเธอ ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี”
เย่เนี่ยนโม่เขย่าแก้ว ภายในแก้วมีของเหลวสีเหลืองเล็กน้อยกระทบกับก้อนน้ำแข็งจนเกิดเสียงดังชัดเจน เขาพูดเบาๆ: “ฉันรู้ ฉันรู้มาโดยตลอด”
เย่ชูฉิงออกมาจากในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ไห่โจ๋ซวนลุกขึ้น “ฉันนั้นไม่เคยคิดที่จะปล่อยวางเรื่องทั้งหมดนี้จริงๆ เพียงแต่ว่าฉันไม่ต้องการให้ชูฉิงเจ็บปวดใจ แนะนำคุณว่าอย่าทำให้คนหนึ่งคนเคียดแค้นคุณไปตลอดชีวิตเลย”
“เย่เนี่ยนโม่!”ด้านหลังของคนทั้งสองอยู่ดีๆก็มีคนหนึ่งคนพุ่งออกมา เหตุเกิดอย่างฉับพลันอะไรขนาดนั้น เย่ชูหวินใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีต่อยไปที่เย่เนี่ยนโม่
เดิมทีเขาสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ว่าเขาไม่ทำ เพียงแต่รอให้เขาออกจากกลุ่มคนอย่างเงียบๆ จากนั้นหมัดก็หล่นไปที่แก้มของตัวเอง
เกิดความโกลาหลโดยรอบ เย่ชูฉิงวิ่งเข้ามาตะโกนร้องอย่างเสียสติ “พี่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม!”
ไห่โจ๋ซวนรั้งเธอเอาไว้ พูดด้วยเสียงต่ำ “นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคน ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหา พวกเราก็ไม่มีทางที่จะได้เป็นเพื่อนกันตลอดกาล”
เย่ชูหวินหายใจหอบ “ยกเลิกการแต่งให้ฉันซะ”
“ไม่มีทาง”เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วขึ้น คิดไปคิดมา จึงพูดออกมา: “เรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
เส้นเลือดบนหน้าของเย่ชูหวินปูดขึ้นมา เขาโมโหอย่างถึงที่สุด คำพูดของคนอื่นที่พูดนั้นไม่สามารถฟังเข้าไปได้ ทำได้เพียงจ้องมองอย่างกินเลือดกินเนื้อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
เป็นเวลานาน เขายืนตัวตรง ใช้ง่ามมือที่ใช้แรงมากเกินไปอย่างกะทันหันจนฉีกขาดชี้ไปที่เย่เนี่ยนโม่ “ฉันจะใช้ทุกวิถีทางที่จะยับยั้งคุณ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตฉันก็ตาม”
“พี่ชูหวิน!”เย่ชูฉิงเป็นห่วงจนดึงแขนของไห่โจ๋ซวน ทั้งสองคนโดนไล่ออกไป ละครตลกฉากนี้ก็จบลงอย่างเงียบๆ เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจ หยิบเหล้าบนบาร์ขึ้นมาดื่มรวดเดียว
ติงยียีทไม่รู้เรื่องเหตุการณ์วุ่นวายมากมายที่เปลี่ยนแปลงภายในประเทศ ทุกวันเธอนั้นขยันเรียนเรื่องทุกอย่างที่ต้องการให้เธอเรียน และมีคนอยู่หนึ่งคนจ้องมองเธออยู่
ส้งน่า จ้องมองติงยียีอย่างไม่พอใจ เธอออดอ้อนเอเลน เป็นเวลานานขนาดนั้น อีกฝ่ายก็ไม่เคยหลุดปากว่าจะให้เธอเดินฟินนาเล่ชุดสุดท้าย อดไม่ได้ที่จะทำให้เธอคิดว่าอยากจะให้โอกาสนี้กับติงยียีหรือเปล่า ในเมื่อตอนเริ่มแรกเขานั้นแสดงออกมาว่าสนใจติงยียีเป็นอย่างมาก
ติงยียีกำลังเก็บกระเป๋า ส้งน่า จ้องมองเธอ ในใจนั้นเกิดความคิดขึ้นมา ใครจะไปสังเกตเห็นว่าที่เกิดเหตุนั้นคนหายไปหนึ่งคน ยิ่งไม่ได้คาดการณ์ว่าที่ระเบียงจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“พวกเราไปกันเถอะ”ชิวไป๋หยิบiPad วันนี้เอเลนนั้นไม่ได้มาคุกคามติงยียี ท้ายที่สุดเธอก็สามารถหายใจยาวๆได้แล้ว ตอนที่ติงยียีจะเดินออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมากะทันหัน
เธอหันไปสบสายตากับชิวไป๋ ใช้ภาษามือกับอีกฝ่าย ถึงจะรับโทรศัพท์ “คุณยียี”
น้ำเสียงของเย่ป๋อเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เธอไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า?”
“เธอ? สบายใจได้ ฉันจับตาดูเขาอยู่ ไม่ให้เอเลนมีโอกาสได้เข้าใกล้เธอหรอก”ติงยียีมองชิวไป๋ที่อยู่ไม่ไกลกำลังจับจ้องเอเลนตลอดเวลา พูดพึมพำกับตัวเอง แต่กลับถูกหูของเย่ป๋อได้ยินเข้า
“เอเลนเป็นใครกัน?” น้ำเสียงของเย่ป๋อลดต่ำลง นำพาซึ่งความกังวลเป็นอย่างมาก ติงยียีไม่เคยได้ยินเสียงจริงจังขนาดนี้ของเขามาก่อน
“เย่ป๋อคุณฟังฉันพูดนะ”ติงยียีพยายามที่จะอธิบายแต่กลับถูกอีกฝากตัดบท “คุณยียี ฉันยังมีเรื่องต้องไปดู ไว้จะติดต่อคุณไปอีกภายหลัง”
“ตู้ดตู้ด!”โทรศัพท์มือถือก็ถูกตัด ติงยียีถอนหายใจ ผู้คนบริเวณโดยรอบเดินออกไปหมดแล้ว ชิวไป๋เดินเข้ามาหา “คุยโทรศัพท์กับคุณชายเย่อีกแล้วเหรอ?”
ติงยียีมองเธออย่างละอายใจ “ฉันอาจจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป”
ทั้งสองคนหาเรื่องมาพูดคุยกันจนเดินไปถึงบันได นี่เป็นความเคยชินของติงยียี เพราะว่ามีเพียงแค่ห้าชั้น ดังนั้นตั้งแต่มาฝึกซ้อมที่นี่หลังจากนั้นก็เดินบันไดมาโดยตลอด
“ไอ้หย่า”ชิวไป๋ตะโกนออกมาอย่างรีบร้อน “ทำไมประจำเดือนถึงมาเวลานี้! คุณลงไปก่อนนะ ฉันจะไปห้องน้ำสักหน่อย”ชิวไป๋เอากระเป๋ามาปิดบังซ่อนที่บั้นท้ายด้านหลังและรีบร้อนจากไป
ติงยียียังไม่ทันจะเอ่ยปากพูดอีกฝ่ายก็วิ่งออกไปไม่เห็นเงาคนแล้ว เธอบิดตัวหันกลับไป ย่ำเท้า เดิมทีไฟที่ระเบียงควรจะส่องสว่างกลับไม่ตอบสนอง เธอเลยย่ำเท้าอีก
“ฮ่าฮ่า”ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ดังขึ้นมาจากในความมืด ติงยียีถูกทำให้ตกใจจนขนลุกขึ้นมา ร้อนรนควานหาแสงสว่างจะโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า
เปลวไฟดวงหนึ่งส่องสว่างขึ้นมาในความมืด เอเลนถือไฟแช็กอยู่ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ล้ำลึกนั้นล่องลอยอยู่ในความมืดที่ไม่ชัดเจนของเปลวไฟ “ไฟนี้เสียอยู่เป็นประจำ เดินไปที่ลิฟต์กันเถอะ”
ติงยียีมองไปที่เขา ครั้งหนึ่งส้งน่าเคยพูดยอมรับด้วยตัวเองว่าเคยมีความสัมพันธ์บนเตียงกับเขา และเขาก็เหมือนว่าจะสนใจชิวไป๋มาโดยตลอด นี่ทำให้บั่นทอนความประทับใจในตัวเขาของเธอลงไป
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”เปลวไฟนั้นมืดลงทันทีทันใด ตามมาด้วยลมหายใจร้อนอุ่น ติงยียีรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่พ่นมาที่ลำคอของตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถจินตนาการได้ว่าตอนนี้เขานั้นกำลังยิ้มอยู่ ถึงแม้ว่าดวงตานั้นจะเล็กแคบก็ตาม
“ไม่ได้คิดอะไร ฉันเดินไปก่อนนะ”ติงยียีหลบตัวไปทางด้านข้าง วางมือไปที่ราวบันไดเดินไปที่ประตูบันไดจากความทรงจำ เธอเดินด้วยความรีบร้อน ด้านหลังไม่มีเสียงฝีเท้าเดินตามมา ขณะที่กำลังโล่งอก เท้าเหมือนจะเหยียบโดนอะไรที่รูปร่างกลม เป็นสิ่งของที่ทำให้ลื่นได้
“อ๊ะ!”เธอร้องลั่น เสียงฝีเท้าและเสียงประหม่าของเอเลนก็ดังออกมาจากบนบันไดอย่างรวดเร็ว “เป็นอะไรหรือเปล่า!”
ติงยียีล้มลงบนพื้น ข้อศอกของเธอกระแทกบนพื้นอย่างรุนแรง เธอสัมผัสได้ถึงสิ่งของลักษณะกลม แต่ว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แสงไปส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เอเลนรีบเร่งก้าวเข้ามาตรงหน้าเธอ เขามาจับเท้าของเธอ ฟังเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของติงยียี พูดพึมพำว่า: “อาจจะกระดูกเคลื่อนแล้ว”
เขาถือไฟแช็กมองดูลูกแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น คิ้วขมวดแน่นขึ้นมา ใครกันที่เล่นตลกกับติงยียี?
ติงยียีพยายามที่จะลุกขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าปะทะเข้ามาจนเธอทนไม่ไหวนั่งกลับไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง เปลวไฟที่ส่องสว่างของไฟแช็กนั้นก็ยื่นมาตรงหน้าของเธอ
“ถือไว้ให้ดี” เอเลนพูด เธอทำตามด้วยความแปลกใจ มือทั้งสองข้างก็เข้ามาโอบล้อมหัวเข่าของเธอ เอเลนอุ้มเธอขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
เธอถูกอุ้มท่าเจ้าหญิง? ติงยียีหัวใจเต้นรัวอย่างที่จะลง เอเลนกัดฟันพูด: “ช่วยอยู่นิ่งๆให้ฉันหน่อยได้ไหม รู้หรือเปล่าว่าตัวเองนั้นหนักมาหขนาดไหน!”
ผู้หญิงนั้นรู้สึกแย่ที่สุดเมื่อถูกคนบอกว่าหนัก ติงยียีพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะให้ร่างกายของตัวเองทรุดลงไป พูดอย่างไม่เกรงใจ: “ฉันไม่ได้หนักเท่าไหร่หรอก!”
เอเลนอุ้มเธอกลับเข้าไปในห้อง เข้าประตูไป ติงยียีที่หัวใจเต้นรัวออกจากอ้อมกอดของเขา เมื่อเท้าแตะลงบนพื้น เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
สายตาที่เอเลนหันไปมองเธอนั้นมองออกถึงการเยาะเย้ยเหน็บแนม มองไม่เห็นอย่างรวดเร็ว เขาเดินตรงเข้ามาที่ตัวเธอ นั่งยองๆยื่นแขนออกมากุมข้อเท้าของเธอเอาไว้
ติงยียีรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายต่างชาติคนนี้จะสามารถใช้แพทย์แผนจีนในการต่อกระดูกได้จริงเหรอ “คุณทำได้หรือเปล่า? ถ้าไม่ได้รบกวนคุณพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาล……อ๊ะ……”
เสียงร้องตะโกนสุดท้ายนั้นก็หายไปพร้อมกับเสียงต่อกระดูกที่ได้ยินในขณะที่ติงยียีนั้นกัดฟันแน่น เอเลนปรบมือยืนขึ้นมา จ้องมองเธอจากทางด้านบน
“ขอบคุณ”ติงยียีค่อนข้างรู้สึกเกรงใจ รีบร้อนขอบคุณ เธอลงจากเตียงลองเดินไปหลายก้าว พบว่าเพียงแค่รู้สึกเจ็บเล็กน้อย เธอพูดอย่างดีใจ: “ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ!”
เอเลนฮัมเพลงเบาๆ สายตาจ้องมองเธออย่างลึกล้ำ ดวงตาของเขากวาดตามองไปที่ส่วนเอวของติงยียีที่เปิดเผยออกมาครึ่งหนึ่งเนื่องจากการดิ้นรน ดวงตาสีฟ้าลึกซึ้งขึ้นไปอีก
ติงยียีก้มลงไปจับที่ข้อเท้า ในใจคิดว่าควรจะใช้เวลานี้ที่ชิวไป๋ไม่อยู่พูดกับเอเลนให้ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรทั้งสองคนก็ไม่เหมาะสมกัน
“เอเลน ฉันมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณ”ติงยียีเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างจริงจัง
ในดวงตาของเอเลนส่องประกาย สีหน้าดูถูกเหยียดหยามยิ่งรุนแรงขึ้น น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน “พูดมาเถอะ”
“ชิวไป๋ไม่เหมาะสมกับคุณ” เธอพูดไปด้วยก็สังเกตปฏิกิริยาของเขาไปด้วย เอเลนตะลึง ชิวไป๋? เป็นผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายเธอตลอดเวลาคนนั้น?