ติงยียีรีบพูดว่า “แค่นี้ก่อนเถอะค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว”
สวีเห้าเซิงพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็พูดว่า “ลูก เพราะพี่สาวของลูกทำให้ก่อนหน้านี้ พ่อทำเรื่องเหล่านั้นที่ไม่ยุติธรรมกับลูก”
ติงยียีรีบเงยหน้าขึ้นมามองเขา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอีก แต่แขนอีกข้างที่อยู่ข้างลำตัวสั่นเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งมากุมไว้ นิ้วมือสอดประสานกัน เธอหันไปมองเย่เนี่ยนโม่ อีกฝ่ายยังมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด แต่มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ
สวีเห้าเซิงเลียริมฝีปากที่แห้งกร้าน “พ่อจะไปอยู่เยอรมันสักระยะนะ”
ข่าวนี้ทำให้ติงยียีตกใจเล็กน้อย เธอถาม “ทำไมคะ”
สวีเห้าเซิงยิ้ม “ไม่มีอะไร ทางนั้นอยากเชิญพ่อไปให้คำชี้แนะ พ่อเองก็อยากใช้โอกาสที่ยังไม่แก่สู้อีกสักครั้ง”
ติงยียีรู้ว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง แต่กลับไม่ได้โต้แย้ง เธอกำลังรอให้เขาพูดต่อ
“พ่อรู้ว่าลูกไม่ใช่คนที่ละโมบเห็นแก่เงินแบบนั้น แต่สิ่งที่พ่อทำให้ลูกได้ ก็มีเพียงแค่เงินเท่านั้น”สวีเห้าเซิงพูดพลางดึงเอกสารชุดหนึ่งออกมา
เอกสารหน้าแรกก็คือพินัยกรรม บนพินัยกรรมเขียนว่าทรัพย์สิน80%ของสวีเห้าเซิงยกให้ติงยียี ที่เหลือยกให้อ้าวเสว่
ติงยียีมองดูรายการทรัพย์สินที่แสดงรายชื่อร้านค้ายาวเหยียดและยังมีชื่อกองทุนระบุอยู่บนพินัยกรรม เธอนิ่งเงียบ สวีเห้าเซิงรีบพูดว่า “ลูก พ่อแค่อยากทำหน้าที่ของพ่อให้เต็มที่”
“ฉันยอมรับค่ะ” คำพูดที่สั้นๆตรงไปตรงมาของติงยียีทำให้สวีเห้าเซิงกับเย่เนี่ยนโม่แปลกใจเล็กน้อย สวีเห้าเซิงตกใจเล็กน้อยจจากนั้นก็ตอบรับด้วยความดีใจ เย่เนี่ยนโม่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทุกอย่างมันราบรื่นเกินไป ราบรื่นจนทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ เห็นท่าทางติงยียีกินอาหารอย่างนิ่งเงียบ เขายิ่งไม่วางใจ
สวีเห้าเซิงพูดอย่างดีใจอยู่ข้างๆว่า “แบบนี้ดีมาก วันมะรืน พวกเราไปที่สำนักงานทนายความเพื่อแก้ไขตามขั้นตอนนะ”
วันมะรืน ติงยียีหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอรู้ วันที่ตนเองต้องจากไปอาจจะยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว
พอกลับมาที่บ้าน ติงยียีรีบโทรหาพ่อ เธอรู้ว่าตนเองไปพบเขาไม่ได้ มิเช่นนั้นเย่เนี่ยนโม่ต้องสงสัยแน่นอน
โทรศัพท์โทรติดแล้ว ติงต้าเฉินรับสาย “ลูกรัก” ทำให้ติงยียีน้ำตาคลอเบ้า เธอส่งเสียงตอบรับ
“ทำไมถึงโทรมาหาพ่อได้ล่ะ คงไม่ใช่ว่าไอ้เจ้าคนตระกูลเย่นั่นมันทำอะไรลูกหรอกนะ” น้ำเสียงติงต้าเฉินดุดันขึ้นมา ติงยียีได้ยินเสียงของป้าที่เข้ามาพูดอะไรเล็กน้อยด้วย
“ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่คิดถึงพวกคุณ อีกอย่างจะบอกพวกคุณว่าหนูต้องไปถ่ายหนังเรื่องหนึ่งที่ต่างประเทศสักระยะนะคะ”
“ไปถ่ายหนังที่ต่างประเทศ งั้นดีมาก ถือว่าตระกูลติงของพวกเราผลิตคนคุณภาพแล้วสินะ” ติงต้าเฉินหัวเราะลั่น
น้ำตาติงยียีคลออยู่ในเบ้าตา ความจริงแล้วเธออกตัญญูมาก ที่ทำให้คนแก่ในบ้านต้องคอยเป็นห่วงตนเองตลอด
เธอสูดลมหายใจลึกๆเพื่อให้อารมณ์กลับมาสงบตามปกติ แล้วจึงเอ่ยว่า “พ่อ หนูโอนเงินหนึ่งแสนเข้าบัญชีพ่อนะ พ่ออยากซื้ออะไรก็ซื้อตามปกติได้เลย ไม่ต้องประหยัด”
“หนึ่งแสน!” ติงต้าเฉินพูดอย่างแปลกใจ “ลูกไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน เงินนี้เก็บเอาไว้เป็นสินเดิมเถอะ”
ติงยียีฝืนยิ้มพูดว่า “อย่าลืมสิคะว่าตอนนี้ลูกสาวพ่อเป็นดาราดังนะ เอาละ หนูต้องไปทำงานแล้ว แค่นี้นะคะพ่อ”
หลังจากที่เธอวางสาย ก็ทนไม่ไหวร้องไห้โฮออกมา หลังจากร้องพอแล้ว เธอก็เริ่มเก็บสัมภาระด้วยดวงตาที่บวมทั้งสองข้าง เธอคิดดีแล้ว วันที่เธอไปรับรองเอกสารกับสวีเห้าเซิงนั้นเป็นโอกาสที่ดี เธอจะไม่ยอมให้คนอื่นชักนำความรักแม้จะสำคัญ แต่ถ้าต้องทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เธอไม่ยอม
ไม่นานเธอก็พบว่าบางอย่างผิดปกติ พาสปอร์ตหายไปแล้ว หลังจากที่กลับจากบาหลีเธอก็ไม่ได้แตะต้องกระเป๋าเดินทางอีกเลย พาสปอร์ตก็น่าจะวางไว้ในกระเป๋าเดินทางถึงจะถูก ในใจเธอนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ความคิดแบบนี้ทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว
เวลานี้เองโทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆก็ส่งเสียงดังขึ้นมา เสียงเย่เนี่ยนโม่ยังคงน่าฟังเหมือนเช่นที่ผ่านมา “กำลังทำอะไรอยู่”
ติงยียีมองห้องที่รกรุงรัง พูดเบาๆว่า “ไม่มีอะไร กำลังเก็บของในห้อง”
ทั้งสองลาเรื่องมาพูดคุยกันเรื่อยๆ จนกระทั่งวางสาย คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ยังไม่คลายออกจากกันเลย เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตกลงว่าตรงไหนที่ผิดปกติกันแน่ เขาก็ไม่รู้
“ต้องส่งคนไปคอยคุ้มครองคุณยียีหรือเปล่าครับคุณชาย ” เย่ป๋อเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง” เย่เนี่ยนโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ ในเมื่อติงยียีไม่อยากให้เขาทำแบบนี้ เขาก็จะไม่ทำแบบนี้ เขาอยากให้เธอมีช่องว่างทางอิสระมากพอ แบบนี้เธอก็จะไม่คิดที่จะจากเขาไป
เขาเปิดลิ้นชัก มองพาสปอร์ตที่อยู่ข้างในอย่างเงียบๆ ถอนหายใจอย่างแรง
คืนวันนั้น ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หลังจากเย่ชูหวินและชิวไป๋ฟังแผนการทั้งหมดของติงยียีแล้วต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจ
“เธอคิดดีแล้วจริงเหรอ ที่จะไปต่างประเทศ” ชิวไป๋มองติงยียีอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย เธอไม่เคยคิดเลยว่าติงยียีจะตัดสินใจเด็ดขาดขนาดนั้น
“อย่าเป็นห่วงเลย ตอนนี้ฉันเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วนะ ต่อให้ฉันใช้เงินเดือนละสองหมื่นโดยไม่ต้องทำงาน ฉันก็สามารถอยู่ได้50กว่าปีเลยนะ “ ติงยียีคนกาแฟในแก้วแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง แพนด้าหมอบกินมาการองอยู่
“ไปต่างประเทศก็ได้ แต่ให้ผมจัดการสถานที่ให้คุณนะ” เย่ชูหวินพูดด้วยเสียงหนักแน่น เขาไม่ยอมให้เธอไปอยู่ข้างนอกคนเดียวเด็ดขาด
“ไม่มีปัญหา” ติงยียีไม่คัดค้าน และยังมีรอยยิ้มด้วย
เย่ชูหวินสงสัยเล็กน้อย เขารู้สึกว่าติงยียีเชื่อฟังมากเกินไป นี่ไม่เหมือนเธอเลย
ชิวไป๋เห็นติงยียียืนกรานอย่างนี้ก็ไม่อยากขัดขวาง อย่างไรก็ตามมีเย่ชูหวินที่ต้องปกป้องติงยียีได้แน่นอน เธอถามอย่างลังเล “งั้นพาสปอร์ตทำยังไงดี”
“ให้ผมจัดการเถอะ” เย่ชูหวินสะกดกลั้นความกังวลใจภายในใจ เขาหันไปตบศีรษะติงยียีเบาๆยิ้มพลางเอ่ยออกมา
ทั้งหมดเตรียมการพร้อมแล้ว เหลือเพียงรอให้วันมะรืนมาถึง ติงยียีนอนอยู่บนเตียง เวลาบนนาฬิกาปลุกค่อยๆผ่านไปทีละนิด เธอกลับไม่ง่วงนอนเลยสักนิดเดียว
ความคิดของเธอสับสนวุ่นวายมาก สักพักก็ลอยไปยังภาพที่พบกับเย่ชูหวินและชิวไป๋ อีกเดี๋ยวก็ลอยไปอยู่ที่เย่เนี่ยนโม่
เธอลุกจากเตียง สวมเสื้อออกกำลังกาย ใส่รองเท้าผ้าใบออกจากบ้าน แพนด้ากัดที่ชายกางเกงของเธออย่างตื่นเต้น เธอก้มไปลูบหัวมัน “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้จะไป ต่อให้ไปก็ต้องเอาแกไปกับฉันด้วย”
แพนด้าอ้าปากปล่อยราวกับเข้าใจคำพูดเธอ ติงยียีออกจากบ้าน เวลาในร้านสะดวกซื้อริมถนนแสดงให้เห็นว่าเป็นเวลาตีสาม เธอวิ่งไปตามทางเดินอย่างไม่เร่งรีบ จนกระทั่งเห็นภาพที่คุ้นเคย
เธอวิ่งมาสองชั่วโมงแล้ว ในที่สุดก็มาถึงบ้านตระกูลเย่ รอบๆบ้านตระกูลเย่ถูกล้อมด้วยกำแพงสูง เธอยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไกลๆมองไปยังแสงไฟที่สว่างอยู่ในอาคาร เดาว่าภายใต้แสงไฟนั้นจะมีคนที่เธอคิดถึงอยู่
“วันนี้เขาไม่ได้กลับมา” เสียงที่ด้านหลังดังขึ้นเบาๆ ติงยียีหันไปมองอ้าวเสว่
ท้องของอ้าวเสว่ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เธอมองติงยียี “นับตั้งแต่ที่ฉันมาบ้านตระกูลเย่ เขาก็พักอยู่ที่บริษัท น้อยครั้งที่จะกลับมานอน”
ใจเธอขมขื่นเล็กน้อย ช่วงหลายวันนี้เธอนอนไม่หลับตลอด อดนอนตลอดทั้งคืน เธออยากให้เย่เนี่ยนโม่อยู่เป็นเพื่อนตนเองมากแค่ไหน แต่กลับรู้ว่าทั้งหมดล้วนสิ้นหวัง
“ไม่ต้องเอาเรื่องพวกนี้มาบอกฉัน” ติงยียีเหลือบมองเธอ หมุนตัวแล้วเดินไป อ้าวเสว่เรียกเธอไว้ “ฉันชนะแล้ว”
ติงยียีหยุดฝีเท้า เธอหันมา “เธอแน่ใจเหรอ”
คำพูดของเธอทำให้อ้าเสว่โกรธ ท่าทางที่ไม่สนใจและคำที่ย้อนถามทำให้เธอไม่สบายไปทั่วทั้งตัว เธอเชิดหน้า “สักวัน ฉันก็จะกลายเป็นนายหญิงของตระกูลเย่ ฉันจะรอเขา รอให้เขาเปลี่ยนใจ”
ติงยียีมองพี่สาวของเธอคนนี้ จู่ๆก็รู้สึกเศร้าใจ จุดศูนย์กลางของเธอทั้งหมดหมุนวนอยู่รอบผู้ชายหนึ่งคน แต่กลับลืมไปว่าบนโลกนี้นอกจากผู้ชายคนนี้แล้วยังมีอีกมากมายหลายสิ่งที่ควรค่าให้เธอไปไขว่คว้า
“เธอลืมตัวตนของเธอในตอนแรกไปแล้ว” ติงยียีพูดพลางจ้องมองเธอ อ้าวเสว่ขมวดคิ้ว “เธอพูดอะไร”
ติงยียีพูดใหม่อีกครั้งด้วยความอดทน “ถ้ามีวันหนึ่ง เย่เนี่ยนโม่ไม่ต้องการเธอแล้ว ตระกูลเย่ไม่ต้องการเธอ แล้วเธอจะเหลืออะไร”
อ้าวเสว่อึ้ง เธออดไม่ได้ที่จะเอามือลูบท้อง เธอกัดฟันพูดว่า “เป็นไปไม่ได้!”
ติงยียีมองเธอเงียบๆ ดวงตาของทั้งสองคนที่มีความคล้ายคลึงกันมากที่สุดนั้นมืดหม่น อ้าวเสว่หลบสายตาของเธออย่างไม่มั่นใจ
“ฉันไม่มีทางไม่เหลืออะไร ฉันยังมีร้าน นั่นคือแบรนด์ของฉันเอง!” อ้าวเสว่พูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“ร้านนั้นเป็นของเธอจริงเหรอ” ติงยียีถามเสียงกร้าว อ้าวเสว่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไม่ผิด ร้านนั้นทั้งหมดเป็นสิ่งที่พ่อจัดหาให้เธอ เธอแค่ไปที่นั่น จากนั้นเอาเครื่องประดับที่ตนเองออกแบบไปวางไว้ หลังจากเธอตั้งครรภ์ เธอลืมไปแล้วว่าตนเองไม่ได้จับปากกามานานแค่ไหนแล้ว
หัวใจเธอสับสนวุ่นวายเล็กน้อย อยากจะโต้แย้งแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ติงยียีมองการแสดงออกอย่างยืนหยัดของเธอ ยังคงพูดต่อไปว่า “เขายกทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้ฉันแล้ว ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นแบบที่ฉันบอก เธอควรจะวางแผนเพื่อตัวเองให้ดีๆนะ”
ติงยียีไปแล้ว จู่ๆก็มีเสียงสุนัขเห่าดังขึ้นมา อ้าวเสว่ตกใจ เธอเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกสับสน
เธอรู้ว่าตนเองเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนเธอไม่เป็นแบบนี้ เธอหยิ่งทะนงต่อสู้เพื่อทำตามความฝัน แต่เธอถอยกลับไม่ได้แล้ว เธอยอมทิ้งการงานเพื่อความรัก ส่วนติงยียีเธอละทิ้งความรักเพื่อการงาน ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ นี่คือการต่อสู้อย่างยากลำบาก
เวลาผ่านไปเร็วมาก เช้าตรู่ ชิวไป๋ช่วยติงยียีเก็บสัมภาระ เธอเอาเสื้อบุนวมสำหรับหน้าหนาวใส่ในกระเป๋าเดินทางพลาง พูดอย่างแปลกใจพลางว่า “แต่ไหนแต่ไร จางจื๋อหรุ่ยไม่ใช่คนที่ยอมฟังใครง่ายๆ แต่ฉันรู้สึกว่าเขาตามใจเธอมากเกินไปหน่อย”
ติงยียียืนอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อถึงเวลาต้องไป ใจเธอไม่ได้รู้สึกกังวลเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เหมือนกับน้ำพุที่เย็นยะเยือก เธอพูดอย่างใจลอยว่า “บางทีฉันอาจเป็นคนที่ไม่มีตัวตนอะไรเลยมั้ง”
ชิวไป๋ขมวดคิ้วถ้าติงยียีไม่ได้มีบทบาทที่สำคัญอะไร เช่นนั้นจางจื๋อหรุ่ยก็คงไม่มีทางเซ็นสัญญากับเธอ เขาเป็นนักธุรกิจ เธอเคยเห็น จางจื๋อหรุ่ยตัดขาดศิลปินที่อยู่กับเขามาสามปีอย่างโหดร้ายสาเหตุเพราะเมาแล้วขับ