“คุณแน่ใจเหรอ ว่าจะไปจากเขา ใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเขา” แม้เย่ชูหวินจะรู้ดีว่าการที่เธอไปจากเย่เนี่ยนโม่จึงจะเป็นผลดีกับเธอจริงๆ ในใจเขาก็รู้ดีว่าตนเองหวังให้เธอไปจากเขา แบบนั้นตนเองจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะแย่งเธอกลับมา แต่เขากลับไม่รู้ว่าเธอจะอดทนอยู่ได้นานแค่ไหน
“ฉันแน่ใจจริงๆ ตั้งแต่อ้าวเสว่ตั้งท้องจนเธอเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลเย่ ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว ฉันจะไปจากเขา” ติงยียีลูบหัวแพนด้าพูดยืนกรานหนักแน่น
เวลานี้เอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเย่ชูหวินก็ส่งเสียงดังขึ้นมา เขารับสาย “คุณย่าเหรอครับ”
เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ เขาตอบรับง่ายๆ แล้ววางสาย เขาบอกว่า “ตอนนี้อย่าคิดฟุ้งซ่าน รอผมกลับมาก่อน”
ติงยียีฝืนตั้งสติไปส่งเขาออกจากบ้าน เย่ชูหวินพุ่งตัวไปที่บ้านตระกูลเย่ เพิ่งจะเดินเข้าบ้านฝู้เฟิ่งหยีก็ร้องเรียกขึ้นมา “ชูหวินทำไมถึงได้ผอมแบบนี่!”
อ้าวเสว่ที่กำลังดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายก็เงยหน้ามองไป เธอก็คิดว่าเย่ชูหวินผอมลงไปมากเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เย่ชูหวินเหลือบมองไปที่อ้าวเสว่อย่างเงียบๆ เขาประคองฝู้เฟิ่งหยี “ไม่มีอะไรหรอกครับคุณย่า ช่วงนี้ไม่ค่อยเจริญอาหารเลยผอมลงครับ”
ฝู้เฟิ่งหยีพูดอย่างสงสารว่า “พ่อแม่หลานก็จริงๆเลยนะ สองคนไปเที่ยวกันถึงต่างประเทศ ตั้งแต่วันนี้กลับมากินข้าวกับย่าที่นี่ ย่าจะให้คนบำรุงหลานอย่างดี”
เย่ชูหวินพยักหน้ารับปาก แต่ในใจกลับคิดว่าเรื่องที่อ้าวเสว่เข้ามาอยู่บ้านตระกูลเย่ดูท่าจะเกี่ยวข้องกับคุณย่า อ้าวเสว่ดื่มน้ำแกง ทันใดนั้นก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา ซางหัวประคองเธอไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกมาจากห้องน้ำ เย่ชูหวินก็ยืนอยู่ที่มุมระเบียงมองเธออย่างเงียบๆ นับตั้งแต่ที่เขาจับตัวเธอไปจนทั้งสองคนเกือบจะพังพินาศไปพร้อมกันแล้ว นี่คือครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน
“ครั้งนั้นผมต้องขอโทษอย่างมากครับ” เย่ชูหวินเอ่ยปากก่อน อ้าวเสว่ส่ายหน้า เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วเธอเองก็ไม่อยากเอาเรื่องอะไร
เย่ชูหวินมองผ่านเธอไปยังภาพสีน้ำมันที่อยู่ด้านหลัง พูดอย่างไม่แยแสว่า “ผมชอบติงยียีมาก ดังนั้นเรื่องไหนที่จะทำให้เธอไม่สบายใจผมก็จะไปขัดขวางอย่างเต็มที่ ดังนั้นอย่าพยายามไปหาเรื่องเธอ”
เสียงเย่ชูหวินไม่ได้ดังมาก อ้าวเสว่กลับไม่กล้าเพิกเฉย ความบ้าระห่ำในครั้งนั้นหวนกลับมาในหัวสมองเธออีกครั้ง หนาวยะเยือกไปทั้งตัว ดูเหมือนย้อนกลับไปที่ภายในรถของวันนั้นใหม่อีกครั้ง
บรรยากาศเย็นเยือกจนกระทั่งอ้าวเสว่เรียกออกมาอย่างน้อยใจ “เนี่ยนโม่”
เย่ชูหวินหันไปมองเย่เนี่ยนโม่นิ่งๆ เย่เนี่ยนโม่ก็ขมวดคิ้วมองเขา “ทำไมสีหน้าขาวซีดขนาดนั้น ไม่ได้พักผ่อนให้ดีเหรอ”
อ้าวเสว่เห็นตนเองถูกรังแกแบบนี้เย่เนี่ยนโม่กลับไม่สนใจที่จะช่วย ในใจก็หนาวยะเยือกเล็กน้อย เธอลูบท้องเบาๆเตรียมลงไปชั้นล่างอย่างยากลำบาก
เพิ่งลงบันไดขั้นแรก เสียงเย่เนี่ยนโม่ก็ดังมา แต่พูดกับซางหัว “ตระกูลเย่ไม่ต้องการสาวใช้ที่ทำตัวเป็นรูปปั้น”
ซางหัวเข้าใจความหมายของคุณชายในทันที เธอรีบไปช่วยประคองอ้าวเสว่อย่างระมัดระวังอยู่ข้างๆเธอ อ้าวเสว่มีความอบอุ่นใจอยู่ภายในใจลึกๆ คิ้วของเย่ชูหวินกลับขมวดขึ้นมา
“ในท้องเธอมีลูกของฉัน” เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงอธิบายกับเขาตรงๆ เขาหวังว่าจะอยู่กับเย่ชูหวินอย่างสงบสุข อย่างไรเสียทั้งคู่ไม่เพียงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันด้วย
“แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับยียีเลย” เย่ชูหวินพูดเบาๆ สองมือดขาจับราวบันไดแน่น จับแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าให้นายเลือกหนึ่งคนระหว่างติงยียีกับอ้าวเสว่ นายจะเลือกใคร”
พักใหญ่ “นั่นคือลูกของฉัน ฉันจะทอดทิ้งเขาไม่ได้ เช่นเดียวกัน ฉันก็จะไม่ปล่อยติงยียีไป” เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจ สายตาเคร่งเครียด
“นายเลือกได้แค่คนเดียว” เย่ชูหวินเร่งรัดเล็กน้อย อ้าวเสว่ไม่ใช่คนที่เรียบร้อยสงบเสงี่ยมเด็ดขาด เขาต้องช่วยติงยียีกำจัดมารผจญ แม้ตัวเองจะต้องกลายเป็นคนเลวก็ตาม
คำพูดของเขาทำให้เสียงเย่เนี่ยนโม่เสียงขรึมลง “นายไม่สามารถมาตัดสินใจแทนฉันได้”
ทั้งสองคนต่างยืนหยัดในเหตุผลและจุดยืนของตน บรรยากาศหนาวยะเยือกถึงขีดสุด เย่ชูหวินกัดฟันกรอดพูดทีละคำ “ฉันทำได้”
เขาเริ่มคิดที่จะช่วยให้ติงยียีหนีไปจากเย่เนี่ยนโม่แล้ว ถ้าเขาไม่สามารถตัดสินเลือกในสิ่งที่เป็นผลดีกับติงยียี เช่นนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกแล้ว เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ติงยียีลืมผู้ชายคนนี้
“พวกหลานกำลังทะเลาะเรื่องอะไรกัน” ฝู้เฟิ่งหยีลงมาจากชั้นบนอย่างช้าไป มองทั้งสองคนพลางเอ่ยช้าๆ ในใจเธอกลับแปลกใจอย่างยิ่ง เนี่ยนโม่ชอบผู้หญิงที่ชื่อติงยียีคนนั้นเธอรู้ แต่เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนี้อยู่ในสายตามาก่อน แต่ทำไมชูหวินเองก็ไปพัวพันอยู่กับผู้หญิงคนนั้นด้วย ดูท่าว่าต้องไปพบผู้หญิงคนนั้นสักหน่อยแล้ว
เย่เนี่ยนโม่และเย่ชูหวินแอบสบตากันเงียบๆ สิ่งที่มองเห็นในในแววตาก็คือความตั้งใจที่จะปกป้องติงยียี “คุณย่าครับ ผมหิวแล้ว พวกเราไปกินกันเถอะครับ”
เย่ชูหวินก้าวมาข้างหน้าพูดพลางควงแขนฝู้เฟิ่งหยี ฝู้เฟิ่งหยีกำลังเป็นกังวลที่เขาผอมขนาดนั้น พอได้ยินว่าเขาอยากกินก็พยักหน้าอย่างดีใจ มองด้านหลังทั้งสองคน เย่เนี่ยนโม่ปวดหัวจนกุมขมับ
ยามค่ำคืนไม่ใช่เรื่องง่ายที่อากาศจะดี ติงยียีพาแพนด้าออกไปเดินเล่น คุยโทรศัพท์กับอันหรันตามปกติ ในโทรศัพท์อันหรันยังคงปากคอเราะร้าย “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ผมได้ยินชิวไป๋บอกว่าคุณรับเล่นหนังอีกเรื่องแล้วเหรอ”
ติงยียีจูงแพนด้าหลบเลี่ยงเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินที่อยากจะมาลูบหัวแพนด้า ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่ทั้งเรื่องมีบทพูดแค่แปดประโยคละก็ งั้นก็ใช่เรื่องที่ฉันรับเล่น”
อันหรันหัวเราชอบใจ เขาชอบติงยียีตรงจุดนี้ เปิดเผยจนทำให้คนเรารู้สึกตลกทั้งยังอารมณ์ดี ติงยียีเห็นเขาหัวเราะพอสมควรแล้ว จึงพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณได้ร่วมแสดงภาพยนตร์กับดาราแนวหน้าระดับนานาชาติเหรอ”
อันหรันไม่ได้ตอบ “อยากได้ลายเซ็นผมก็บอกมา”พอสิ้นเสียง จู่ๆเขาก็ชะงักไป น้ำเสียงมีความดุดันเล็กน้อย “ถ้าผมถามคุณว่าคุณยอมใช้ชีวิตกับผมอย่างมีความสุขมั้ยคุณจะตอบว่ายังไง”
ติงยียีอึ้งเล็กน้อย แกล้งหยอกว่า “ทำไม เจ้าชายแห่งวงการบันเทิงอย่างคุณคิดจะเลี้ยงดูฉันเหรอ”
“ถ้าใช่ล่ะ” อันหรันไม่ได้ตอบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในทางกลับกันยังย้อนถามกลับมาอีกคำถามแพนด้าที่เดินเล่นอย่างเงียบๆมาตลอดจู่ๆก็ดิ้นหลุดจากเชือกที่ติงยียีจูงไว้ในมือวิ่งไปในทิศทางหนึ่ง ติงยียีรีบฉวยโอกาสนี้พูดว่า “ตายแล้ว! แพนด้าวิ่งไปแล้ว ฉันจะไปตามมัน ว่างแล้วค่อยคุยกันนะ!”
ที่ลอสแองเจลิส ในห้องรับแขกที่ใหญ่เกือบหนึ่งร้อยตารางเมตร สวุเหวยเหรินเขย่าไวน์ในแก้ว “เจ้าชายแห่งวงการก็มีตอนที่ถูกปฏิเสธด้วย”
อันหรันวางโทรศัพท์ เอานิ้วเรียวจับแก้วไวน์กระดกจนหมดแก้ว “สิ่งที่ผมมีก็คือเวลา”
หลังจากติงยียีวางสายก็ไม่มีเวลาจะไปครุ่นคิดถึงความคลุมเครือทีาแฝงอยู่ในคำพูดของอันหรัน เธอเป็นห่วงว่าคนที่เดินผ่านมาถูกแพนด้ากัดเข้าจะทำอย่างไร เธอร้องเรียกมันพลางไล่ตามมันพลางตอนแรกแพนด้าที่เชื่องก็หันกลับมามองเธอบางครั้ง จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้าต่อ
วิ่งมาที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ในที่สุดแพนด้าก็หยุด ติงยียีสวมชุดอยู่บ้านตัวโคร่งๆ สวมแว่นตาหนา ผมก็ยุ่งเหยิงเพราะวิ่งอย่างสะเปะสะปะ ทั้งตัวดูแล้วย่ำแย่มากเลย มีเด็กคนหนึ่งชี้มาที่เธอแล้วพูดว่า “คุณแม่รีบดูพี่สาวคนนั้นสิครับสกปรกมอมแมม!”
แม่ของเด็กรีบเอามืออุดปากลูกยิ้มให้กับติงยียี รีบพาเด็กเดินไปอย่างรวดเร็ว ติงยียีถอนหายใจกำลังคิดจะพาแพนด้า
ประตูร้านสะดวกซื้อก็ถูกผลักเปิดมาด้านนอก เย่เนี่ยนโม่ถือถุงเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ เขาสวมเสื้อกันลมสีดำ ในเสื้อกันลมยังมีชุดสูท หลังจากเห็นติงยียีก็ตกใจ
แพนด้าแอบหมุนตัวไปเงียบหันก้นไปทางทั้งสองคนพอดีสะบัดลงมา เย่เนี่ยนโม่เป็นฝ่ายตั้งสติกลับมาได้ก่อน เขาจ้องติงยียี ส่งเสียงหัวเราะออกมา
ใจที่รู้ว่าควรจะทำอะไรเปลี่ยนเป็นความโกรธเพราะเสียงหัวเราะของเขา เธอพูดอย่างกราดเกรี้ยว“หัวเราะอะไร มีอะไรน่าขำ”
เย่เนี่ยนโม่ยื่นมือออกมาคิดจะลูบหัวมันเหมือนที่ผ่านมา กลับถูกฝ่ามือเธอตี เขาได้แต่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่ได้โกรธ ในทางตรงกันข้าม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง“เป็นเด็กดี อย่าก่อเรื่อง”
“คุณลืมคำพูดที่ฉันเคยพูดไปแล้วใช่มั้ย พวกเราอย่ามาพบเจอกันอีก!” ติงยียีรีบพูดเร็วๆ หมุนตัวได้ก็เดินไป เดินไปสองสามก้าว เธอหันไปอย่างโมโห “แพนด้า!”
แพนด้ามองเธอตาปริบๆ! ไม่ขยับ เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ข้างๆ สายตารักใคร่ ติงยียีเกลียดสายตาแบบนั้น นี่ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผลเหมือนเด็กๆ
“คุณไม่ไปงั้นฉันไปเอง! ” ติงยียีพูดจบก็หมุนตัวไปจริงๆ แพนด้าหันหน้ามามองติงยียี ลุกขึ้นใช้หางปัดไปปัดมาที่หลังมือเธอ แล้วจึงจากไป
ติงยียีเดินอย่างรวดเร็ว เย่เนี่ยนโม่ตามไปอย่างไม่รีบไม่ช้า เกือบถึงหมูบ้านแล้ว ในที่สุดติงยียีก็หันมาอย่างอดไม่ได้ “ฉันจะบอกอีกครั้งว่า อย่าตามฉันมา”
แสงไฟข้างทางทำให้เงาของทั้งสองคนลากยาว ทับซ้อนเข้าด้วยกันเล็กน้อย บรรยากาศละเอียดอ่อน เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “รถผมจดอยู่ข้างหน้า”
“โกหก! คุณก็ไม่ได้พักอยู่ที่นี่!” ติงยียีพูดจบก็หยุดอย่างกะทันหัน เขาไม่ได้พักอยู่ที่นี่ แต่เธออยู่นี่!
เธอยืนอยู่กับที่ ใบหน้าแดงด้วยความโกรธ ร่างเย่เนี่ยนโม่ค่อยโน้มมาข้างหน้า ใช้อีกมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือถุงร้านสะดวกซื้อมาจับมือเธอเอาไปวางในกระเป๋าเสื้อสูทที่กว้างใหญ่ของตนเอง “ไปเถอะ”
ตลอดทาง ทั้งสองไม่พูดอะไรมาถึงชั้นล่างของคอนโด ติงยียีกำลังคิดจะสะบัดมือเขา เขากลับเป็นฝ่ายปล่อยก่อน เธอรีบชักมือออก ผิวหนังถูกอังจนอุ่นแล้ว ปรับตัวกับความหนาวเย็นไม่ได้ไปชั่วขณะ ขนบนแขนลุกชันขึ้นมาทันที
“ พวกเราไปกันเถอะแพนด้า” ติงยียีพุ่งไปข้างบนอย่างเหนื่อยล้า แต่กลับถูกขัดขวางอีกครั้ง เธอหมุนตัวเตรียมจะก่นด่า ในมือกลับถูกยัดด้วยถุงใบหนึ่ง “ตอนเช้าต้องกินอาหารเช้า”
เย่เนี่ยนโม่สั่งเสร็จ ก็ยื่นมือออกมาอยากจะลูบศีรษะเธอ เห็นเธอทำหน้าระแวงระวัง สุดท้ายมือที่ยกขึ้นมาก็วางกลับไปที่เดิม
เขาหมุนตัวเตรียมจะจากไป ติงยียีเรียกเขาไว้ “ฉันเคยบอกแล้วฉันจะไปจริงๆ”
เย่เนี่ยนโม่ชะงักฝีเท้า เขาหันมา แววตาไม่เปลี่ยน “ราตรีสวัสดิ์”
นิ้วมือของติงยียีฝังอยู่ในฝ่ามือเขา ความเจ็บปวดแผ่ออกมา เธอกลับรู้สึกมีความสุขอิ่มเอมใจ เขามั่นใจเกินไปแล้ว มั่นใจว่าควบคุมเธอในอยู่ในมือได้ ส่วนเธอก็เหมือนกับกบที่อยู่ในน้ำอุ่นถูกทรมานให้ตายอย่างช้าๆ!
รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่เงียบๆด้านนอกห่างออกไปหลายเมตร ฝู้เฟิ่งหยีสีหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือขวานวดแหวนมรกตบนนิ้วมือข้างซ้ายเล็กน้อย
อ้าวเสว่นั่งอยู่ด้านข้าง เธอมองไม่ออกจริงๆว่าท่านนายเย่คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมต้องพาเธอมาเห็นภาพนี้