“จากนั้นละ?” ตอนนี้เขานั้นตะลึงจนสับสนไปหมด ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานี้แท้จริงแล้วโง่จริงๆหรือว่าแกล้งโง่กันแน่
จากนั้น? ในใจของติงยียีสะอึก คิดว่าชาวต่างชาติจะเป็นคนเปิดกว้าง ถ้าแบบนี้เข้าใจแล้วเขายังคิดจะถามว่าจากนั้นคืออะไรอีกเหรอ? พอนึกจะเปิดเรื่อง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเธอก็ดังขึ้น
ในสายโทรศัพท์ ชิวไป๋กัดฟันพูด: “สารเลวที่ไหนก็ไม่รู้เอาลูกแก้วมาทิ้งไว้เยอะแยะที่ปากทางประตุบันไดจนฉันล้มลงมา ติงยียีอยู่ที่ไหน ช่วยมาพยุงฉันที”
“ชิวไป๋บาดเจ็บ?”ติงยียีรีบร้อนลุกขึ้นมาขยับกระดูก วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เอเลนมองไปที่แผ่นหลังของเธอหมกมุ่นอยู่กับความคิด ผู้หญิงคนนี้เล่นเกมอะไรอยู่กันแน่ เธอหัวตัวกลับกำลังจะจากไป โทรศัพท์มือถือบนเตียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เขาก้มลงมองที่หน้าจอ“เย่เนี่ยนโม่? เป็นคนรักของเธอ?” เขายิ้มขณะที่หยิบมือถือขึ้นมา“ฮาโหล? ติงยียีไม่อยู่”
ลมหายใจของคนที่อยู่ในสายโทรศัพท์หยุดนิ่ง ตามมาด้วยคำถามเรียบเฉย“คุณเป็นใครกัน?”
เอเลนคิดว่าคนนั้นเป็นแฟนของติงยียี ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ถามกลับมาอย่างใจเย็นก็ล้มล้างความคิดก่อนหน้านี้ไปเลย ท่าทีของอีกฝ่ายนั้นแน่วแน่เกินไป ทำให้เขาเป็นธรรมชาติกับอีกฝ่ายไปโดยปริยาย “ฉันชื่อเอเลน”
“เอเลน คุณเอาโทรศัพท์มือถือของเธอมาทำอะไร?” ปลายสายนั้นแม้แต่น้ำเสียงก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เอเลนกำลังจะตอบก็พลันฟื้นคืนสติขึ้นมาทันที เขาทำไมจะต้องรายงานทุกอย่างให้ชายคนนั้นฟังอย่างเชื่อฟังด้วย!
พอคิดว่าตัวเองถูกคนปั่นหัวโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงของเขาก็เลวร้ายขึ้นมา “ถ้าอยากจะรู้ก็มาถามด้วยตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ”
เสียงสัญญาณไม่ว่างดังมาจากโทรศัพท์มือถือ เย่เนี่ยนโม่กำมือที่ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่นขึ้น สายตาของเขานั้นน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก “คุณชายเย่??” พนักงานขายที่อยู่ด้านข้างเรียกเขาด้วยเสียงเบา
เขาตอบกลับอย่างเรียบเฉย พนักงานขายชี้ไปแหวนที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ “คุณไม่ลองเหรอคะ?”
“เนี่ยนโม่คุณดูซิว่าสวยหรือเปล่า?”อ้าวเสว่ยกมือขึ้นยิ้มอย่างสดใสให้เขาดู บนนิ้วที่เรียวยาวมีแหวนเพชรรูปวงรีหนึ่งเม็ดส่องประกายระยิบระยับ
“ใครที่สวมแหวนวงนั้นให้กับเธอ?”น้ำเสียงของเย่เนี่ยนโม่เย็นชาเล็กน้อย พนักงานขายตอบอย่างลุกลี้ลุกลน: “นี่เป็นจิวเวลรี่ที่แพงที่สุดในร้านของพวกเราค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่สีหน้าผ่อนคลายลง เขารู้ว่าตัวเองนั้นตื่นเต้นเกินไป แหวนบนมือของอ้าวเสว่กับสร้อยคอที่เขาเคยให้ติงยียีเมื่อก่อนนั้นเป็นแบบเดียวกัน ที่ได้คุยโทรศัพท์กับเอเลนเมื่อกี้นี้ทำให้เขามีความรู้สึกตกอยู่ในภาวะวิกฤต
“เนี่ยนโม่ ฉันชอบอันนี้มากเลย”อ้าวเสว่เดินมาข้างกายเขามองเขาอย่างสอบถาม ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักเปิดออก เย่ป๋อเดินเข้ามา ก้มหัวทำความเคารพอย่างลึ้กซึ้งให้กับคุณชาย
“คุณชาย ได้โปรดอนุญาตให้ผมไปฝรั่งเศสสักรอบ”
ฝรั่งเศส?อ้าวเสว่มองไปที่ตัวเย่ป๋อด้วยความแปลกใจ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุผล”
เย่ป๋อไม่เคยโกหกคุณชายมาก่อน และยิ่งเหตุผลในตอนนี้ก็ยิ่งพูดไม่ออก ทำได้เพียงแค่ยืนตะลึงอยู่ตรงนี้ “ถือว่าลาพักร้อน”
เย่เนี่ยนโม่พูดออกทันทีทันใด
เย่ป๋อพยักหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก เปิดประตูสาวเท้าเดินออกไปเหมือนกับดาวตก พนักงานขายจึงหยิบแหวนออกมาหลายวงอ้าวเสว่ลองแหวนอย่างมีความสุข แต่ในเวลานี้ตัวละครหลักทั้งสองที่อยู่ในฝรั่งเศสนั้นตั้งแต่เริ่มจนจบยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเย่เนี่ยนโม่
สักครู่ใหญ่ “เนี่ยนโม่ แหวนวงนี้คุณคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”อ้าวเสว่หยิบแหวนคริสทัลวงหนึ่งเดินเข้ามา เดิมทีคนที่ควรจะอยู่ที่นั่นกลับไม่เห็นแล้ว
อากาศที่ปารีสไม่ดีนัก ติงยียียืนอยู่ที่ระเบียงอยู่ผู้คนที่เดินไปมาอย่างขวักไขว่คับคั่งด้านล่างโรงแรม แสงอาทิตย์ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆดำทำได้แค่เพียงฝืนเปิดเผยออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทหนังสีดำ เดินย่ำด้วยรองเท้าส้นสูงสิบเซนติเมตรท่ามกลางสายฝน น้ำฝนนั้นกระเซ็นไปที่ร่วมสีแดงของเธอ กระจายออกเป็นละอองน้ำ นี่คือหนึ่งในเมืองแก่งแฟชั่น แม้ว่าฝนตกนั้นจะเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจก็ยังสามารถสง่างามได้เป็นอย่างมาก ขณะนี้เองที่กริ่งประตูดังขึ้น
ติงยียีมองไปที่นาฬิกาข้อมือ คำนวณว่าชิวไป๋น่าจะมารับเธอแล้ว หน้าต่างกระจกที่ระเบียงสะท้อนให้เห็นรูปลักษณ์ของเธอในตอนนี้ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยาวมาถึงต้นขา ส่วนของปกเสื้อนั้นเพราะว่าถูกน้ำฝนทำให้เปียกชื้นและชื้นจนกระทั่งมองทะลุได้
ยอดแหลมเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มตั้งตรง เธอลังเล ด้านนอกประตูกริ่งประตูดังขึ้นอีกครั้ง เธอคิดอย่างไรก็ตามชิวไป๋เองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ก็เลยไม่ใส่ใจวิ่งไปเปิดประตู
เปิดประตู เอเลนเดิมทีที่ใจรีบร้อน สายตาจากที่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอก็เคลื่อนตัวไปที่คอของเสื้อเชิ้ตสีขาว พอจะเคลื่อนลงไปต่ำกว่านี้ติงยียีก็หันตัววิ่งไปด้านหลัง แม้กระทั่งประตูก็ลืมปิด
“ทำไมคุณไม่พูดออกมาก่อน!” เธอเปิดผ้าห่มออกมา คนทั้งคนมุดเข้าไปซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม ปรากฏให้เห็นแค่เพียงหัวที่มองเขา เพราะว่าเขินอาย แก้มทั้งคู่ของเธอเปื้อนไปด้วยสีแดงก่ำ ดูแลช่างมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
เอเลนเอายาที่อยู่ในมือค่อยๆวางไว้ที่บนโต๊ะด้านข้างเตียง “นี่เป็นยาผงขาวยูนนานจากประเทศจีนของพวกคุณ ทาแล้วจะช่วยให้ข้อเท้าดีขึ้น”
“นึกไม่ถึงเลยว่าคุณเองก็รู้จักยาผงขาวยูนนาน?”ติงยียีมองเขาด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็พบว่าเขานั้นค่อยๆเข้ามาใกล้ ดวงตาสีดำสบตากับดวงตาสีฟ้า
“ติงยียี คุณชนะแล้ว คุณหลอกล่อฉันจนสำเร็จแล้ว”ริมฝีปากของเขาเปิดออกเล็กน้อย คำพูดพวกนี้ทั้งหมดติงยียีไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณพูดอะไรนะ รีบออกไปฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว”ติงยียีถูกเขามองด้วยสายตาเหมือนหมาป่าเหมือนเสือจนตกใจตัว มองเขาอย่างระมัดระวัง
เอเลนไม่มีความคิดที่จะเล่นขายของกับเธออีกต่อไป ที่เธอเล่นอยู่นั้นคงจะเป็นกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับของคนจีน เมื่อกี้ที่สวมแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะให้ตัวเองดูหรือยังไงกัน?
เขาเปิดผ้าออกอย่างไม่มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย เลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างป่าเถื่อนไร้การควบคุม: “ก็ถือว่าน่ามองอยู่”
ติงยียียืนหยัดด้วยขาทั้งคู่ มองสีหน้าของเขาเองก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเดียวกัน เธอพูดตะโกนด่า: “รีบไสหัวออกไปเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เกรงใจคุณแล้วนะ!”
เอเลนกอดอกยืนอยู่ด้านข้าง เอนร่างกายไปข้างหน้าเล็กน้อย ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ฉันจะคอยดูว่าคุณจะมีวิธีที่ไม่เกรงใจอย่างไรกัน? อ๊ะ! ตาของฉัน!!!”
ติงยียีนำยาผงขาวยูนนานเล็งไปที่เขา ลนลานจนขาทรุดลงไปที่เตียงใหญ่ เธอมองเขาที่กุมดวงตาด้วยความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พูดอย่างกล้าหาญ: “นี่เป็นเพราะว่าคุณเป็นคนพูดเองนะ ฉันจะทำแบบนี้กับคุณอย่างไม่เกรงใจ!”
เอเลนนวดคลึงดวงตา นึกไม่ถึงว่าจะร้องออกมาเสียงดัง “ดีมาก นี่คงเป็นกลยุทธ์แสร้งปล่อยให้จับของประเทศจีนของพวกคุณที่เอ่ยกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ของฉัน ส้งน่าคนที่แบ่งชนชั้นแบบนั้นจะไปสู้คุณได้อย่างไร ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคุณแล้ว”
ตอนนี้เอง เสียงกริ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน เอเลนไม่อยากจะสนใจ เขาเดินก้าวมาข้างหน้า เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาเบิกตามองติงยียี หันตัวกลับไปเปิดประตู
ผู้ชายชาวตะวันออกสวมชุดสูทรองเท้าหนังคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู นึกไม่ถึงเลยว่าความสูงจะพอๆกันกับเขา อุปนิสัยของผู้ชายนั้นมองออกว่าเป็นคนดุเดือดรุนแรง ดวงตาสีน้ำตาลกวาดตามองสถานการณ์ภายในห้องอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองมาที่บนร่างของเอเลน
เอเลนรู้สึกหนาวสั่นอยู่ไม่น้อยเมื่อลมหายใจบนร่างกายของผู้ชายคนนั้นตกลงมาที่ร่างกายตัวเองอีกครั้ง นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงผู้ชายโอหังอวดดีที่คุยกับเขาเมื่อวาน
“คุณมาหาคนผิดแล้ว”ตอนเขาต้องการที่จะปิดประตู ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจากในซอกประตูยกคอของเข้าขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“quest-cequetufaisl?!(นี่คุณทำอะไรนะ)” เอเลนทั้งคนก็ถูกดึงมาที่หน้าประตู ผู้ชายที่ตรงหน้าประตูเข้ามาใกล้เขา ภาษาฝรั่งเศสแท้ก็ไหลออกมาจากในปาก: “Lafuite (รีบไสหัวไปซะ)”
เอเลนที่โมโหอย่างเดือดดาลยื่นมือปล่อยหมัดหวังที่จะชกซักยก ผู้ชายใช้มือเพียงข้างเดียวรับกำปั้นของเขา บิดเบาๆ เสียงกระดูกเคลื่อนก็ดังขึ้น
ติงยียีนั้นเมื่อเอเลนไปเปิดประตูก็รีบร้อนอุ้มเสื้อผ้าพุ่งตรงไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ในความเลือนรางนั้นเห็นเพียงว่ามีผู้ชายตัวสูงใหญ่เข้ามาเผชิญหน้ากับเอเลน
ตอนที่เธอเพิ่งจะออกจากประตูห้องน้ำก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเอเลน สายตาของผู้ชายที่กำลังจับเขาไว้นั้นจับจ้องมาที่เธอ นั่นก็คือคนที่เธอนั้นคิดถึงอยู่ตลอดเวลาทุกวันคืน
“เนี่ยนโม่?”
เย่เนี่ยนโม่ปล่อยแขนของเอเลน ติงยียีมองแขนที่แกว่งไปมาของเขา นำยาผงขาวยูนนานที่อยู่บนเตียงส่งให้เขาด้วยความปรารถนาดี “คุณเหมือนว่าจะต้องการมากกว่า”
เอเลนจ้องมองเย่เนี่ยนโม่ด้วยความแค้น จับแขนไว้และวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนก สายตาของติงยียีอดไม่ได้ที่จะมองตามเงาด้านหลังที่ตื่นตระหนกของเขา จนด้านหน้ามีเงาร่างหนึ่งมาบังไว้
“คุณเป็นห่วงเขามากอย่างนั้นเหรอ?”เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆปลดเนกไทออกมาเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ไม่ได้นอนเลยตลอดเก้าชั่วโมงทำให้ใต้ตาของเขามีรอยคล้ำสีฟ้าจาง
เห็นว่าติงยียีไม่ยอมตอบ ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงจับจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ ดึงดันที่จะต้องการคำตอบจากเธอให้ได้“เมื่อกี้เขาแตะต้องคุณแล้วหรือยัง?”
“เปล่า!”ติงยียีถูกบีบจนเดินถอยห่าง สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความโมโหอย่างบ้าคลั่ง ทำให้คนนั้นจำเป็นต้องสนใจ
เย่เนี่ยนโม่มองเธอสักพักใหญ่ สายตาไปอยู่ที่เตียงใหญ่นุ่มที่มีผ้าปูสีขาว ติงยียี เขาโบกมือเรียกเธอ“มานี่”
ติงยียีมองเขาอย่างสุขุม “ฉันเพิ่งตื่น”
เย่เนี่ยนโม่ถอดเสื้อสูทด้านนอกออก ตามการเคลื่อนไหวของเขา ร่างกายกำยำล่ำสันที่หลบซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ต เขาเดินตรงมาพร้อมกับรอยยิ้มมาทางผู้หญิงที่อยากจะพุ่งตรงออกไปที่ประตูคนนั้น
ติงยียีรู้สึกว่าโลกหมุนไปรอบหนึ่ง ร่างกายจมฝังลงไปในเตียงใหญ่ที่อ่อนนุ่ม ลมหายใจของเย่เนี่ยนโม่เป่าบริเสณผมบนศีรษะของเธอ จนรู้สึกคันยุบยิบ
ร่างกายของเขายังหลงเหลือกลิ่นกาแฟอยู่ ประมาณว่าทั้งคืนไม่ได้นอนใช้เพื่อให้ตื่น เย่เนี่ยนโม่ตบหลังของเธอเบาๆ ปิดตาลง เขาเหนื่อยมากจริงๆ นั่งเครื่องบินมาเก้าชั่วโมง เพราะว่ากังวลใจถึงจะง่วงแต่ก็นอนไม่หลับ พอมาเจอคนที่คิดถึงอยู่ในใจคนนั้นถึงผ่อนคลายลงได้
ติงยียีรู้สึกว่าเสียงลมหายใจที่พ่นอยู่บนหัวของตัวเองนั้นค่อยๆราบเรียบขึ้น นอกหน้าต่างยังคงฝนตกอยู่ เธอถูกเขาคนนี้โอบกอดพันเอาไว้ ทั่วทั้งร่างกายอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาจากทางด้านหลัง เธอหาท่าที่สบายปิดตาลง
ชิวไป๋นำสมุดบันทึกไปให้ติงยียี มองไกลๆเห็นเอเลนกุมแขนเดินออกไปอย่างตื่นตระหนก เธอขมวดคิ้วแน่น ทางด้านนั้นมีแค่เพียงห้องของติงยียีคนเดียวไม่ใช่เหรอ?
“เอเลน คุณอยู่ที่ไหน?” เธอถามออกไปโดยที่เขายังไม่ทันพูดอะไรออกมา
เอเลนเหลือบมองเธอ เดินไปด้านหน้าต่อไป ชิวไป๋ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ยื่นมือออกไปคว้าแขนของเขา “เฮ้ คุณทำไมถึงเป็นคนไม่มีมารยาทแบบนี้”
ทันทีที่เสียงนั้นหายไปก็ตามมาด้วยเสียงลนลานของเอเลนทันที “ปล่อยนะปล่อย!”
ชิวไป๋บีบไปโดยไม่รู้ตัว เอเลนโมโหจนแขนขึ้นต้องการที่จะดึงออกจากเธอ แต่เพิ่งจะยกแขนขึ้นกลางอากาศ ก็มีพลังอีกด้านหนึ่งมากักขังเขาเอาไว้