ติงยียีไม่กล้ามองสีหน้าของเขา ดังนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้น แล้วก็ยิ้มเพื่อปกปิด “ใช่สิ เดี๋ยวฉันไปชงกาแฟให้กินดีกว่า”
ไม่รอคำตอบจากเขา เธอก็รีบเดินออกไป กระโปรงของเธอกวาดดอกลิลี่ที่อยู่บนโต๊ะ แจกันสั่นแล้วจะตกลงมา เย่ชูหวินเอื้อมมือออกไปรับและแจกันก็ได้กลับมาตั้งตรง
เธอมองดูเขาอย่างขอบคุณ จากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในครัว พื้นที่เล็กๆปล่อยให้เธอหายใจได้สะดวก เธอเปิดกระป๋องกาแฟโดยไม่รู้ตัว และกลิ่นหอมที่มาจากเมล็ดกาแฟทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย
ความคิดของเธอเหม่อลอยกลับไปที่คืนนั้น เธอบอกกับเย่เนี่ยนโม่อย่างเขินอายว่าที่บ้านไม่มีกาแฟ แต่วันรุ่งขึ้นเธอก็ไปซื้อเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดหรือแม้แต่หม้อกาแฟ ความคิดที่รอบคอบซ่อนเร้นอยู่ในใจของเธอ ตอนที่เจอกันครั้งหน้าต้องให้เขาได้ดื่มกาแฟที่เธอชงให้ได้
แต่ว่ามันมีประโยชน์อะไรกันล่ะ? เมื่อความคิดของเธอท่วมท้นและคนที่เธอรักไม่สามารถหวนกลับมาได้ ริมฝีปากของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด และเธอทำได้เพียงนั่งยองๆที่มุมห้องช้าๆ โดยถือเม็ดกาแฟไว้
มีเสียงฝีเท้าที่มั่นคงดังขึ้นที่หน้าประตู เย่ชูหวินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เขารู้ว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร กอดเธอเอาไว้ และปลอบใจเธอ ทิ้งเรื่องที่กวนใจเธอทุกอย่างออกไป แต่ว่าเขากลับแค่ยืนอยู่แบบนั้น ยืนอยู่เงียบๆเป็นเพื่อนเธอ เพราะเขารู้ว่า ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เย่เนี่ยนโม่ ความเป็นห่วงทั้งหลายมันก็จะกลายเป็นแค่ภาระ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ติงยียีเงยหน้าเศร้าขึ้นมา เธออยากจะฝืนฉีกยิ้มที่แสนหวานของตัวเองออกมา แต่ว่าความจริงแล้ว รอยยิ้มของเธอนั้นมันไม่ได้ดูดีกว่าการร้องไห้ไปสักเท่าไหร่เลย เธอพูดเบาๆว่า “พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
เย่เนี่ยนโม่ถือขนมและเปิดประตูบ้านของติงยียีออก เขารู้ว่าเพราะเธอชอบลืมกุญแจไปบ่อย ก็เลยจะเอากุญแจสำรองวางไว้ใต้พรมหน้าประตูบ้าน ด้วยเหตุนี้เขาจึงตำหนิเธออย่างรุนแรงเมื่อครั้งเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน
ดอกลิลี่ที่อยู่ในห้องรับแขกแค่เพียงคงมองมนุษย์ทุกคนอย่าเงียบๆ มนุษย์จะไม่สังเกตเห็นความแก่เฒ่าของพวกมัน แล้วพวกมันก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เช่นกัน
เย่เนี่ยนโม่เดินอย่างช้าๆ เขาเหนื่อยมาก แขกคนสำคัญที่มาในงานหมั้นนั้นต้องจัดการอย่างเหมาะสม สถานการณ์ศูนย์การค้าต่างประเทศก็ไม่ค่อยดีนัก เขาต้องตรวจสอบมันด้วยตัวเอง
แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้ เมื่อนึกถึงใครบางคนในบ้านที่กำลังหลับอย่างสงบเหมือนลูกแมวในเวลานี้ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้แต่สีหน้าของเขาก็อ่อนลง
เขาเปิดประตู และผ้าห่มสีขาวนวลก็จัดวางเป็นระเบียบ โคมไฟตั้งพื้นยังเปิดอยู่ ไฟสีส้มดับลง ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาในเวลานี้ และเตียงก็ว่างเปล่า
เขากำถุงขนมในมือของตัวเองแน่น ในใจรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที เธอไปที่ไหน? หรือว่าจะไปแล้ว? เขากำหมัดแน่นและต่อยไปที่กำแพงอย่างรุนแรง แค่ความคิดว่าเธอจะไปปรากฏขึ้นในหัว เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันที
เขาเดินกลับออกมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง ฝีเท้าแนวแน่ ดูน่าสะพรึงกลัว แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมา “สืบให้ฉันหน่อยว่าตอนนี้ติงยียีอยู่ที่ไหน”
นอกหน้าต่างตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตก บางทีก็ได้ยินเสียงของเด็กที่วิ่งเล่นกัน เขาเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง เปิดผ้าม่านที่หนาทึบออก แสงแดดเย็นเฉียบส่องลงมาบนตัวเขา แต่มันก็ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้
การรอนั้นเจ็บปวด เขาลุกจากเตียงไปและถูกกลิ่นที่คุ้นเคยในครัวดึงดูดใจ เขาค่อยๆเดินเข้าไปในครัวที่เล็กกว่าห้องน้ำของตระกูลเย่ซะอีก ทุกอย่างในครัวเป็นระเบียบเรียบร้อย และเม็ดกาแฟไม่กี่เม็ดก็กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
เขาเก็บเม็ดกาแฟขึ้นมา ภาพรอยยิ้มที่เขินอายของติงยียีก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา เพื่อดับความหนาวเย็นของห้องในเวลานี้ เขาบดเม็ดกาแฟอย่างดุเดือด ปล่อยให้ผงละเอียดและกลิ่นหอมเข้มข้นกระจายทั่วปลายนิ้ว
นอกประตูเกิดเสียงเคาะ 3 ครั้งอย่างมีมารยาท เขาลุกขึ้นในทันที ความโกรธบนใบหน้ากลายเป็นความเฉยเมยและความมุ่งมั่นตามปกติ เย่ป๋อเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณยียีตอนนี้กำลังอยู่กับคุณเย่ชูหวินครับ”
ตอนนี้เขากำลังบีบราวบันไดอยู่ แล้วนิ้วทั้งห้าของเขาก็ผ่อนคลายลงหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเย่ป๋อ เย่ป๋อพูดอย่างระมัดระวังว่า “ให้ผมไปพาคุณยียีกลับมาไหมครับ?”
เย่เนี่ยนโม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องหรอก” นี่คือการที่ยอมอ่อนข้อที่สุดของเขาแล้ว ขอแค่เธอไม่ไปไหน ขอแค่เธออยู่ข้างๆเขา เขาก็จะเคารพการมีเพื่อนของเธอ ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนั้นก็จะรักเธออย่างสุดหัวใจเหมือนกัน
ตะวันลับขอบฟ้าไปหมดแล้ว ลมหนาวก็ยังพัดเข้ามาเรื่อยๆ ดอกลิลี่พริ้วไหวตามสายลม ทันใดนั้นเย่เนี่ยนโม่ก็พูดออกมาว่า “ส่งคนไปตามติดตัวเธอ แล้วก็รายงานทุกสถานการณ์ให้ฉันรู้”
เย่ป๋อตกใจมาก “คุณชาย···”
คำพูดที่เหลือเขาไม่ทันได้พูดจบ สีหน้าของคุณชายแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องทำอย่างแน่นอน เขาก็พยักหน้า แล้วก็ทำได้แค่เดินออกจากห้องไป คุณชายที่อยู่ภายในห้องก็นั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับไปไหน เหมือนกับรูปปั้นยังไงอย่างนั้น แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างรุนแรง
ตอนที่เย่ป๋อกำลังบอกคำสั่งของนายน้อยอยู่นั้นจู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขามองไปที่หน้าจอ ความกระสับกระส่ายในใจเขาก็สงบลง เขากดรับสาย แล้วก็มีเสียงตะคอกที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของชิวไป๋ก็ดังขึ้นมาในทันที “ฉันซื้อตั๋วเครื่องบินไปปารีสได้เร็วที่สุดก็เป็นพรุ่งนี้เท่านั้น ตอนนี้ยียีเป็นยังไงบ้าง ฉันโทรหาเธอไม่ติดเลย”
“เธอไม่เป็นอะไร ตอนนี้กำลังอยู่กับคุณเย่ชูหวิน” เย่ป๋ออดไม่ได้ที่จะปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนและพูดช้าลง เสียงของความผ่อนคลายก็ค่อยๆดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของอีกฝั่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”เสียงปลายสายนั้นชะงักไป “ขอบคุณนะ”
เย่ป๋อหัวเราะเบาๆไปสองครั้ง มันไม่ง่ายเลยที่จะให้คนปากแข็งมาขอบคุณ พอได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ชิวไป๋ก็เหมือนแมวขนฟู พอบอกลาแล้วก็รีบวางสายในทันที
ปารีส ใบหน้าของเอเลนก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย “เป็นยังไงบ้าง ?”
เธอมองเขาอย่างระมัดระวัง ปากก็พูดเหมือนขอไปทีแต่ในใจก็ยังรู้สึกห่วงใย ติงยียี เธอต้องผ่านมันไปให้ได้นะ!
“ฮัดชิ่ว!” หลังจากที่ติงยียีจาม เธอก็ลูบจมูกที่แดงอยู่แล้วอีกครั้ง
เย่ชูหวินรู้สึกเป็นห่วง แต่ว่าเขากลับพูดจาหยอกล้อ “ถ้าเกิดว่าฉันติดเชื้อจากเธอขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ฮ่าๆๆ ฉันจะแพร่เชื้อให้นายแน่นอน”ติงยียีพูดแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้เขา ทั้งสองคนหยอกล้อกัน แต่เย่ชูหวินกลับรู้สึกแปลกๆ เธอดูกังวลเล็กน้อย เหมือนไม่อยากอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกขึ้นมาจากด้านหลัง “ยียี”
สวีเห้าเซิงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเจอเธอที่นี่ เมื่อเขาเหลือบมองที่หน้าต่าง เขาคิดว่าเป็นเธอแน่ หลังจากที่เดินตามมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้มองผิดไป
เย่ชูหวินเหลือบมองสวีเห้าเซิงอย่างเงียบๆ เรื่องของเขากับติงยียี เย่ชูฉิงเคยพูดให้เขาได้ฟังบ้าง พอเห็นเขาใส่ชุดอยู่บ้าน เขาก็เลยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าติงยียีถึงดูผิดปกติเมื่อเข้ามาในคอนโดนี้
สวีเห้าเซิงก้าวเข้าไปด้านหน้าอยากจะจับติงยียีเอาไว้ แต่ว่าเธอก็หลบเขา เขาพูดออกมาด้วยความขมขื่นว่า “ลูก พ่อรู้สึกผิดต่อลูกจริงๆนะ”
“คุณไม่ได้รู้สึกผิดต่อหนูหรอก แต่ว่าหนูก็เคยบอกคุณแล้วว่าหนูมีพ่อแค่คนเดียว ตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองเหยาหนานกับป้าของหนู”
ติงยียีไม่อยากจะเห็นคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว พอเห็นพวกเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่ทำให้เธอทุกข์ใจ เธอจับมือของเย่ชูหวินใครหันหลังแล้วเดินออกไป ถึงแม้ว่าจะไร้ความรู้สึกใดๆ แต่ว่าฝีเท้าของเธอนั้นก็ยังเดินอย่างยากลำบาก
สวีเห้าเซิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอยู่นาน จนกระทั่งลมหนาวพัดผ่านดวงตาที่เคยบาดเจ็บมาของเขาจางๆ เขาลากร่างหนักๆของตัวเองค่อยๆย่องกลับบ้านไป
พอเข้ามาบ้าน อ้าวเสว่ก็มาต้อนรับด้วยท้องที่ป่องออกของตัวเอง เธอเห็นท่าทางของเขา ทั้งๆที่รู้ว่าติงยียีไม่มีทางทำสีหน้าดีๆกับเขา แต่ก็ยังถามว่า “พ่อ เป็นยังไงบ้างคะ”
คำว่า ‘พ่อ’ทำให้สวีเห้าเซิงตกใจ เขาถอนหายใจออกมา “เสี่ยวเสว่ ครั้งนี้ลูกทำไม่ถูกจริงๆ ลูกกลับไปเถอะ พ่ออยากจะอยู่คนเดียวพักหนึ่ง”
สีหน้าที่ผิดหวังของเขาทำให้อ้าวเสว่รู้สึกตื่นตระหนก เขาเป็นหลักประกันที่จะทำให้เธอสามารถเข้าไปที่บริษัทเย่ซื่อได้ ถ้าเกิดว่าไม่มีเขา ก็ถือว่าเธอขาดแรงสนับสนุนใหญ่ ความตื่นตระหนกของเธอปรากฏขึ้นให้เห็นชัดบนใบหน้าของเธอเอง สวีเห้าเซิงก็อดที่จะรู้สึกอ่อนใจไม่ได้
“พ่อ หนูรู้แล้วว่าหนูผิด หนูไม่ควรจะหลอกพ่อเลย ตั้งแต่เด็กไม่มีใครรักหนู หนูไม่รู้ว่าการรักคนคนหนึ่งต้องทำยังไง หนูก็เลยคิดได้แค่วิธีพวกนั้นเท่านั้นค่ะพ่อ”เธอร้องไห้อย่างทุกข์ใจ แต่ว่าก็เติมความจริงใจเข้าไปหน่อย
สวีเห้าเซิงมองเธอ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถามว่า “สิ่งที่ลูกทำแม่สอนมาใช่ไหม”
อ้าวเสว่ก้มหน้าและสะอื้น ความคิดของเธอเริ่มทำงาน เรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอไม่มีความรู้สึกให้ต่อกันเธอนั้นดูดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าผลักเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับแม่ อย่างมากพวกเขาทั้งสองคนก็แค่ทะเลาะกัน แล้วตัวเธอเองก็จะหลุดพ้น
พอคิดได้แบบนี้แล้วเธอก็พยักหน้าช้าๆ ตอบว่า “พ่ออย่าไปโทษแม่เลยนะ แม่แค่อยากให้หนูมีชีวิตที่มีความสุข มีความสุขกว่าที่แม่มี”
สวีเห้าเซิงมองเธอด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา “พ่อวางแผนจะไปเมืองนอกพักหนึ่ง”
“อะไรนะ?”อ้าวเสว่ตกใจมาก และสวีเห้าเซิงก็พูดต่อ “ก่อนหน้านี้ มีสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเยอรมนีที่ต้องการขอให้พ่อไปเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำด้านเทคนิคแก่พวกเขา แต่เพราะว่าลูกท้องอยู่พ่อก็เลยไม่สบายใจ กะว่ารอให้ลูกได้หมั้นก่อนแล้วค่อยไป แต่ว่าตอนนี้พ่อคิดว่าจะไปแล้วล่ะ”
ในใจของอ้าวเสว่รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย เหมือนถูกทิ้งที่ทางเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แม่ไม่ต้องการเธอ หลังจากนั้นเย่เนี่ยนโม่ก็ไม่ต้องการเธอ ตอนนี้พ่อก็ไม่ต้องการเธอเหมือนกัน
“ลูกจะดูแลตัวเองได้ใช่ไหม?”สวีเห้าเซิงถามเธอด้วยความเหนื่อยล้า การกลับมาประเทศครั้งนี้ เขารู้สึกขมขื่นมาก วันเวลาพวกนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
อ้าวเสว่ยิ้มจางๆ แต่ว่าในใจกับเย็นยะเยือก แน่นอนว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้ เพราะว่าเธอรู้มาตั้งนานแล้วว่าไม่มีใครทำอะไรให้เธอโดยที่ไม่มีเงื่อนไข อยากได้อะไรก็ต้องหามาด้วยตัวเอง เธอพยักหน้าและตอบอย่าเชื่อฟังว่า “พ่อ วางใจเถอะ หนูดูแลตัวเองได้”
พอออกมาจากบ้านของพ่อ อ้าวเสว่ที่ท้องยื่นๆก็เดินออกไปอีกทางหนึ่ง จนกระทั่งเห็นคฤหาสน์ 2 ชั้นหลังหนึ่ง
พนักงานทำความสะอาดหน้าคฤหาสน์กำลังพยายามกวาดหิมะออกไป ปากขยับมุบมิบไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ เธอเฝ้าดูอย่างเงียบๆด้วยท้องที่ป่องออกมา กำแพงอีกด้านหนึ่ง มีน้องสาวแท้ๆของเธออยู่ในนั้น
“ชูหวิน มองอะไรอยู่น่ะ?” ติงยียีถามเย่ชูหวินที่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสงสัย เย่ชูหวินหันมายิ้มให้กับเธอ ตอนที่หันไปอีกครั้ง สีหน้ากลับจริงจังขึ้นมาทันที เขามองไปที่อ้าวเสว่ที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางลมหนาวหน้าบ้าน เขาถอนหายใจเบาๆพร้อมกับปิดผ้าม่านและเดินกลับห้อง
ติงยียีถือตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ สีหน้าดูผ่อนคลาย “ไม่คิดเลยว่านายยังเล่นตุ๊กตาอยู่อีก”