“เสี่ยวเสว่ เธอคิดว่ายังไง” ในที่สุดฝู้เฟิ่งหยีก็เอ่ยถาม น้ำเสียงเธอยังคงเย็นยะเยือก เหมือนกับการพูดคุยธรรมดาทั่วไป อ้าวเสว่ไม่กล้าชะล่าใจ เธอคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ สุดท้ายก็ตอบว่า “ในฐานะที่เป็นผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังของผู้ชายตระกูลเย่ก็ต้องมีสติที่จะให้อภัยทุกอย่าง ต่อไปถ้าเนี่ยนโม่กับเธออยู่ด้วยกันแล้ว ฉันก็จะไม่ไปวุ่นวาย ฉันก็จะยังรักเดียวใจเดียวกับเขา”
สายตาฝู้เฟิ่งหยีมองไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างอีกครั้ง มองข้ามไปก่อนว่าสิ่งที่อ้าวเสว่พูดนั้นมาจากใจจริงหรือเปล่า นิสัยของเธอยิ่งคล้ายคลึงกับส้งหลิงหลิง ส่วนผู้หญิงที่ชื่อติงยียีคนนั้น ความเข้มแข็งหนักแน่นที่อยู่ในนิสัยเหมือนกับเซี่ยชีหรั่นสมัยสาวๆ ยอมต่อสู้ฟาดฟันจนตายตกไปตามกันก็ไม่ยอมฝืนตัวเอง
นานพักใหญ่ ในที่สุดฝู้เฟิ่งหยีก็เอ่ยว่า “ไปเถอะ”
เย่ชูหวินมาพบตัวเองและสัญญาว่าจะช่วยให้เธอหนีไป ติงยียีแปลกใจเล็กน้อย เธอพูดอย่างไม่สบายใจว่า “แบบนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคุณกับเขาหรือเปล่า”
เย่ชูหวินนั่งลงตรงข้ามเธอ แสงแดดในยามเช้ากำลังพอดิบพอดี แสงแดดส่องลอดกิ่งไม้เข้ามาในบ้าน บ่งบอกว่าฤดูใบไม้ผลินั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
เขาดึงสายตาที่มองไปนอกหน้าต่างกลับมา ร่างเขาโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย “ผมมีความเห็นแก่ตัวอยู่ ผมหวังว่าคุณจะอยู่ให้ห่างไกลจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไกลจนเหลือผมให้คุณพึ่งพิงได้คนเดียว มองเห็นผมแค่คนเดียว”
“ชูหวิน!” ติงยียีรู้สึกว่าลำคอตีบตัน เธอกลืนน้ำลายอย่างลำบาก แต่กลับถูกเย่ชูหวินขัดจังหวะ “พวกเราคิดหาวิธีว่าจะหนีจากกล้องวงจรปิดข้างนอกยังไงก่อนดีกว่า”
“กล้องวงจรปิด! เขาเคยบอกว่าจะไม่ทำแบบนั้น” ติงยียีรู้สึกท้อแท้ ดวงตาของเธอมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว เพียงเห็นกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว
เย่ชูหวินครุ่นคิด “กล้องวงจรปิดไม่ได้เป็นฝีมือของเย่เนี่ยนโม่” เขามองติงยียีที่ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา ในใจขมขื่น เขาพูดต่อไปว่า “คุณย่าผมกลับมาแล้ว”
ติงยียีมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เย่ชูหวินลุกขึ้นหยิบแอปเปิลออกมาจากจานผลไม้หนึ่งชิ้น เขาเดินไปข้างหน้าต่างกวักมือเรียกเธอ เธอเดินไป มองเขาโบกแอปเปิลในมือ จากนั้นโยนออกไปนอกหน้าต่าง
แอปเปิลตกลงบนที่โล่ง แสงสีแดงส่องวาบบนแอปเปิล จากนั้นก็หลบซ่อนไว้ไม่ให้เห็น
“เครื่องตรวจจับด้วยแสงอินฟาเรด” เย่ชูหวินพูดเบาๆ ติงยียีกลับมีสีหน้าตื่นตกใจ เธอไม่เข้าใจจริงๆว่าย่าของเย่เนี่ยนโม่จะเฝ้าดูตนเองทำไม
มุมปากเย่ชูหวินมีรอยยิ้มเศร้าหมอง เขามองแอปเปิลสีแดงสดที่ตกอยู่บนพื้นหิมะสีขาวนอกหน้าต่าง พูดเบาๆว่า “หลานชายสองคนของตระกูลเย่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน คุณคิดว่าคุณย่าจะกังวลมั้ย”
ติงยียีนิ่งเงียบ เธอรู้สึกว่าน่ากลัวมาก ในสังคมที่อยู่ภายใต้กฎหมายยังจะมีคนที่คิดจะคอยติดตามดูคนอื่นได้ ข้อนี้ทำให้เธอตกใจอย่างยิ่ง
จู่ๆเย่ชูหวินก็หันมา มองเธอด้วยสายตาเคร่งเครียด “บางทีคุณอาจไม่ต้องคิดจะหนีเย่เนี่ยนโม่แล้วก็ได้ คุณย่าต้องมาหาคุณแน่”
ติงยียีคิดไม่ถึงว่าคำพูดของเขาจะกลายเป็นจริงได้รวดเร็วมาก มองหญิงชราที่หน้าตาเคร่งขรึมดุดัน ติงยียีเอาชาวางไว้ด้านหน้าเธอ
ฝู้เฟิ่งหยีได้แต่เหลือบมองชาแวบหนึ่งก็ไม่ได้แตะต้องอีก ติงยียีก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นชาเหล่านี้อยู่ในสายตา ทำด้วยใจก็พอ
ฝู้เฟิ่งหยียิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านิสัยของเธอเหมือนกับเซี่ยชีหรั่นในตอนแรก เคร่งขรึมไว้ตัวมาก ไม่สามารถใช้เงินมาฟาดอีกฝ่ายได้ เธอค่อยๆคลี่ยิ้มบางๆ พูดว่า “พูดคุยอะไรกับชูหวินเหรอ เด็กคนนั้นพอโตแล้วก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันเลย”
ภาพที่คนรุ่นก่อนเล่าเรื่องในอดีตกับคนรุ่นหลังน่าจะเป็นภาพที่อบอุ่น แต่กลับทำให้ติงยียีรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่เข็มหมุด ที่เธอพูดแบบนี้เพื่อบอกตัวเองว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอเหรอหรือ
ติงยียีสูดลมหายใจเข้าลึกๆลดความสับสนวุ่นวายภายในใจให้กลับมาเป็นปกติ เธอคิดใคร่ครวญ พูดว่า “สวัสดีค่ะคุณย่าของเนี่ยนโม่และชูหวิน ฉันคือติงยียี เชื่อว่าคุณย่าเองก็คงทราบแล้ว วันนี้ที่ท่านมาก็เพื่อให้ฉันไปจากเย่เนี่ยนโม่ใช่มั้ยคะ”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาเปิดเผยของเธอทำให้ฝู้เฟิ่งหยีตกตะลึงไปเล็กน้อย เธอพยักหน้า “ถูกครึ่งหนึ่ง”
ติงยียีมองเธออย่างไม่เข้าใจ ฝู้เฟิ่งหยียิ้ม หางตามีริ้วรอยเพิ่มขึ้นมาบ้าง ทำให้สีหน้าที่ดุดันของเธอละลายอ่อนลง เธอพูดว่า
“ฉันรู้ว่าเนี่ยนโม่ชอบเธอ จะบอกว่าพวกเธออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่ว่าฉันต้องการให้พวกเธอรอให้อ้าวเสว่คลอดลูก แต่งงานเข้าตระกูลเย่ก่อน ถึงเวลาไม่ว่าอย่างไรฉันจะไม่ไปยุ่งกับพวกเธออีกเลย”
ติงยียีสูดอากาศเย็นเข้าไปเฮือกใหญ่ ตกใจกับข้อเสนอของเธอไม่น้อย เธอจะปล่อยให้ตนเองกับเย่เนี่ยนโม่อยู่ด้วยกัน จากนั้นแต่งงานกับอ้าวเสว่! นี่ตกลงว่ามันคือเรื่องตลกอะไรกัน
ฝู้เฟิ่งหยีเห็นเธอลังเลไม่ตอบ ก็โบกมือให้ทางด้านหลัง ซางหัวยื่นเช็คมาให้หนึ่งใบ เธอเอาเช็ควางบนถ้วยชาพูดเบาๆว่า “แน่นอนว่าเธอสามารถเลือกที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับหลานชายฉันได้ เอาเช็คใบนี้แล้วจากไป”
ฝู้เฟิ่งหยีมีความมั่นใจมาก ถ้าเด็กผู้หญิงคนนี้ทำเพื่อเงิน เช่นนั้นเธอก็จะไม่มีทางไปจากหลานชายเธอเพียงเพราะเช็คใบนี้ ในเมื่อขอแค่เธอจับเย่เนี่ยนโม่เอาไว้ได้ ต้องการอะไรก็ย่อมได้ ดังนั้นเช็คใบนี้ความจริงแล้วก็เพื่อบีบให้เธอตัดสินใจเท่านั้น เธอไม่มีทางบีบให้หล่อนไปจากเย่เนี่ยนโม่จริงๆ เพราะเธอรู้จักนิสัยของหลานชายตัวเองดี บีบเธอก็ไร้ประโยชน์
เห็นติงยียีก้มหน้ามองเช็คไม่พูดอะไร ฝู้เฟิ่งหยีพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า “ขอแค่เธออดทนอีกสองสามเดือน รอจนเด็กคลอดออกมาเธอก็ยังกลับมาได้”
ติงยียีก็ยังไม่พูดอะไร ฝู้เฟิ่งหยีลุกขึ้นยืน ซางหัวรีบไปพยุงเธอ เธอพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ฉันก็ไม่ได้เร่งรัดเธอ เธอคิดดูให้ดีๆ ถึงเวลาพวกเราค่อยาคุยกัน”
เธอหมุนตัวไปอย่างสง่างาม มีเสียงเบาๆดังมาจากด้านหลัง “ฉันตัดสินใจได้แล้วค่ะ”
ฝู้เฟิ่งหยีหันมามองเช็คที่เธอถืออยู่ในมือ สีหน้าสงบนิ่งมั่นคง “ฉันเลือกเช็คค่ะ”
“อะไรนะ” ฝู้เฟิ่งหยีถามอย่างเสียมารยาทเล็กน้อย เกิดรอยแตกแยกเล็กน้อยบนสีหน้าท่าทางสง่างามที่ไม่เคยเปลี่ยนมานาน
“ฉันบอกว่า ฉันเลือกเช็คค่ะ ดังนั้นฉันจะไปจากหลานชายของคุณ ขออวยพรให้ครอบครัวของคุณสุขภาพร่างกายแข็งแรงนะคะ”
ติงยียียืนจ้องมองเธอ สีหน้าไม่หวาดหวั่น ฝู้เฟิ่งหยีสีหน้ามีความดูถูกเยาะเย้ยอยู่บ้าง ดูท่าผู้หญิงตรงหน้าจะไร้เดียงสาเกินไป เธอพยักหน้า “ตามใจเธอ”
“คุณย่าตระกูลเย่คะ” จู่ๆติงยียีก็เรียกฝู้เฟิ่งหยีในขณะที่เธอกำลังจะออกจากบ้าน เธอมองหญิงขราที่หันหน้ามา พูดแต่ละคำชัดๆว่า“ขอความกรุณาเอาคนด้านนอกทั้งหมดไปด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นถูกสุนัขของฉันทำร้ายเข้าคงจะไม่ดี”
ฝู้เฟิ่งหยีเหลือบมองเจ้าทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ที่มีความสูงเท่าโต๊ะอย่างรวดเร็ว มีความลังเลอยู่ในแววตา ราวกับว่าเจ้าทิเบตันมาสทิฟฟ์ จะพุ่งเข้าใส่ตนเองในวินาทีต่อมา
เธอถอยหลังไปสองก้าว ซางหัวรีบพยุงเธอไว้ ทั้งสองคนเดินไปด้านนอกประตูอย่างเหน็ดเหนื่อย ต้องบอกว่า กฎระเบียบของบ้านตระกูลเย่นั้นดีมากเป็นพิเศษ ก็ขนาดมาหาเรื่องท้าทายคนอื่นถึงบ้านยังช่วยปิดประตูอย่างเรียบร้อยก่อนค่อยไป ติงยียีทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย
แพนด้าคิดจะไปคาบเช็คที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ติงยียีดึงเช็คขึ้นมาเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “อันนี้กินไม่ได้ นี่เป็นเงินบำนาญเอาไว้ใช้ตอนแก่ของฉัน”
น้ำตาไหลจากหางลงมา ผ่านมุมปากที่มีรอยยิ้ม สุดท้ายหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่เย่ป๋อรายงานเรื่องทั้งหมดนี้กับเย่เนี่ยนโม่ในใจเขาก็กลัวอย่างยิ่ง กลัวว่าภาพในตอนนั้นที่พ่อกับแม่ต้องพรากจากกันจะเกิดกับตนเองอีก เขาละทิ้งงานทุกอย่างด้วยความบ้าคลั่ง เพื่อรีบไปพบกับคนคนหนึ่ง
ทางขึ้นบันได มือของเขาวางบนลูกบิดประตูด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย เขาลังเล กังวลว่าหลังจากตนเองเปิดประตูจะเห็นเพียงบ้านว่างเปล่า
กลอนประตูส่งเสียงเบาๆจากการบิด เขาหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว ภายในห้องเงียบกริบ ของตกแต่งบ้านยังคงเหมือนเดิม ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของซี่โครง อบอุ่นและเย้ายวน
เขายืนอย่างเงียบๆ มองติงยียีที่กำลังนอนอยู่นอกระเบียงอย่างมีความสุข เธอนอนอยู่บนเก้าอี้นอน ห่มผ้าห่มหนา แสงแดดส่องมาบนหน้าเธอ เปล่งรัศมีหนึ่งชั้น
เขาชะลอฝีเท้า แพนด้าได้แต่เงยหน้ามองเขา หลังจากกระดิกหางก็นอนต่อ เขามองดูเจ้านายกับลูกน้องหนึ่งตัวอย่างขำขัน
หัวใจเขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยเป็นแบบนี้ นิ้วมือของเขาลูบไล้ที่ริมฝีปากเธอเบาๆ เธอส่งเสียงบ่นออกมา สัมผัสปลายลิ้นเบาๆ ทำให้เขาอดใจสั่นไม่ได้
ทันใดนั้น เตาอบในห้องก็ส่งเสียงดังติ๊ดๆ ติงยียีตกใจตื่นขึ้นมาจากความฝันทันที เธอไม่ได้สังเกตว่ามีคนอยู่ข้างกายไปชั่วขณะ มัวแต่นึกถึงความฝันเมื่อครู่
ในความฝัน เธอเป็นดีไซเนอร์เครื่องประดับที่ตนเองรักที่สุด ขึ้นรับรางวัลบนเวที เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ข้างล่างเวทีมองตนเองอย่างรักใคร่ ข้างกายเขายังมีลูกสองคนด้วย
ฝันก็คือฝัน เธอยิ้ม หันไปหารองเท้า จากนั้นก็มองเห็นคนที่ไม่ควรจะปรากฏตัวในตอนแรก
เธอกะพริบตา สบตากับเขา ผ่านไปพักหนึ่ง จู่ๆเธอก็ร้องลั่นว่า “พระเจ้า เค้กของฉัน!”
ติงยียีรีบวิ่งไปในห้องครัว หยิบเค้กที่ดำเล็กน้อยออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตำหนิว่า “เป็นเพราะคุณ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ฉันทำสำเร็จ”
เย่เนี่ยนโม่หยิบเค้กมา ถือส้อมสองอัน จิ้มเค้กเข้าไปในปากหนึ่งชิ้นอย่างสบายใจ “ก็ไม่เลวนะ”
ติงยียีเองก็ตักอีกเค้กอีกชิ้น “คุณย่าคุณมาหาฉันแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่ที่กำลังเคี้ยวอยู่ก็ค่อยๆชะงัก เขาวางส้อมลง กำลังคิดจะเอ่ยปาก ติงยียีกลับแย่งพูดก่อนว่า “ฉันปฏิเสธเธอไปแล้ว ฉันบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฉันจะจับผู้ชายรวยๆได้ ฉันไม่มีทางปล่อยคุณไปหรอก”
เย่เนี่ยนโม่มองดวงตาของเธอ อยากจะจับพิรุธที่เธอโกหก ในเมื่อเธอคิดจะจากตัวเองไปนี่เป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือ
ติงยียีปล่อยให้เขาจับผิด แต่นิ้วมือที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่น นานพักใหญ่ เธอมองเห็นเย่เนี่ยนโม่ยิ้ม นั่นคือรอยยิ้มแห่งความสุขที่สัมผัสได้จากแรงกระเพื่อมที่มาจากหน้าอก
“ยียี จับผมไว้ให้แน่นนะ”
เย่เนี่ยนโม่ลูบศีรษะเธอด้วยรอยยิ้ม เวลานี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารับสาย หลังจากเหลือบมองติงยียีก็รีบตอบแล้วก็วางสาย
นิ้วมือที่อยู่ใต้ผ้าปูโต๊ะของติงยียีเกือบจะพันกันเป็นก้อนแล้ว เธอระงับความวู่วามบุ่มบ่ามที่จะทะเลาะกับเขา ลุกขึ้นเก็บจาน
“ยียี คุณพ่อของคุณอยากเจอคุณ” เย่เนี่ยนโม่พูดกับแผ่นหลังเธอ
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ติงยียีไม่ได้ต่อต้าน แต่กลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
พอเห็นหน้าติงยียีแล้วสวีเห้าเซิงก็ดีใจมาก แม้จะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี แต่ก็ให้พนักงานยกอาหารมาวางบนโต๊ะ บนโต๊ะถูกอาหารวางเอาไว้เต็ม