ติงยียีนอนอยู่บนเตียงเงียบๆ สมองว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แพนด้านหมอบเงียบๆลำพัง บางครั้งก็โผล่หัวขึ้นมาเลียหลังมือของเธอ
ไม่รู้ว่านอนอยู่นานแค่ไหน เธอไม่มีความง่วงเลยสักนิดเดียว ร่างกายชาไปครึ่งซีกแล้ว ขยับเขยื้อนเล็กน้อยก็รู้สึกชา กริ่งที่ประตูส่งเสียงดังขึ้นมาพอให้ได้ยิน
แพนด้าเห่าหนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้นมา สายตาจ้องไปที่เธอ เธอลูบหัวที่มีขนฟูฟ่องของมัน แล้วลงจากเตียงไปเปิดประตู
เย่ป๋อมองเห็นสีหน้าท่าทางที่ซูบซีดของเธอก็ตกใจ “คุณยียีคุณไม่เป็นอะไรนะครับ”
ติงยียีพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง การที่ไม่ได้กินอะไรทั้งวันทำให้เธอเวียนหัวตาลายเล็กน้อย ด้านหลังของเย่ป๋อยังมีผู้ชายอีกหนึ่งคนตามมาด้วย ผู้ชายคนนั้นเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆแล้วเดินไปในห้องครัว
เย่ป๋อชิงอธิบายต่อว่า “หัวหน้าเชฟของโรงแรมตี้เหา คุณชายเป็นห่วงว่าคุณจะกินอะไรไม่ลง ก็เลยให้เขามาทำโจ๊กให้คุณทานสักหน่อย”
ติงยียีมองดูเชฟหยิบวัตถุดิบออกมาจากกล่องเก็บอุณหภูมิอย่างคล่องแคล่ว เสียงเบาๆดังขึ้นภายในห้องครัว เธอมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาถามว่า “เธอยังสบายดีมั้ย”
เย่ป๋อลังเลอยู่ชั่วครู่ “เธอสบายมากครับ ถูกพากลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว”
ติงยียีพยักหน้า ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก ครึ่งชั่วโมงต่อมา อาหารเลิศรสก็วางอยู่ตรงหน้าของติงยียี โจ๊กกุ้งมังกรที่ถูกเคี่ยวจนหอมข้น มาพร้อมกับอาหารว่างแสนอร่อย
เธอยิ้ม “มานั่งกินด้วยกันสิ”
“คุณยียี คุณทานเถอะครับ” เย่ป๋อยืนอยู่ด้านข้างอย่างดื้อรั้น ในใจของเขา ติงยียีคือคนที่คุณชายชอบ และก็เป็นคนที่ตนเองควรจะจงรักภักดี ไม่ควรล้ำเส้น
“มากินด้วยกัน” เธอพูดซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงยืนกรานหนักแน่น เย่ป๋อถอนหายใจเบามากจนแทบไม่ได้ยิน ไปหยิบชามกับตะเกียบออกมาจากในห้องครัว
เสียงบดเคี้ยวอาหารดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบ หลายครั้งที่เย่ป๋อคิดจะช่วยพูดแทนคุณชาย แต่กลับไม่ได้พูดออกมา เขารู้ฐานะของตัวเองดี และปฏิบัติตามฐานะของตนเอง
ในที่สุดเย่ป๋อก็จากไปแล้ว ติงยียีมองดูบ้านที่กลับมาอ้างว้างเงียบเหงาอีกครั้ง และกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้ง เธอพลิกตัวไปมา แต่กลับรู้สึกว่าความว่างเปล่านี้ทำให้เธอหดหู่อย่างยิ่ง
จู่ๆเธอก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมา เอาของยัดใส่ข้างในอย่างบ้าคลั่ง เธอรู้ว่าเธอจำเป็นต้องไป ไปที่ไหนก็ได้สักแห่ง หากยังอยู่ที่นี่ต่อไปเธอต้องบ้าแน่!
แพนด้ามองเธออย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ติงยียีรูดซิบกระเป๋าเดินทางแล้วลูบหัวของมัน “แพนด้าเป็นเด็กดีนะ พวกเราออกไปเที่ยวกันสองวัน”
แพนด้าเหมือนจะรู้ว่าตัวเองจะได้ไปกับเจ้าของ ก็กระดิกหางอย่างดีใจ เริ่มไปกัดกลอนประตูที่ประตูนิรภัย
บนถนนเงียบสงัด แต่หิมะขาวโพลนกลับตกโปรยปรายลงมาอีก บางครั้งก็มีรถยนต์ขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ม้วนเกล็ดหิมะขึ้นมาเป็นแผ่นๆ
ติงยียีรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว บนถนนไม่มีรถแท็กซี่เลยสักคันเดียว เธอได้แต่ลากกระเป๋าเดินทางพลางเดินหาไปพลาง
“โฮ่งๆ!” แพนด้าหันกลับไปอีกครั้งเห่าพลางแยกเขี้ยวยิงฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะติงยียีดึงเชือกจูงสุนัขไว้ให้แน่น มันคงพุ่งตัวเข้าไปในความมืดมิดแล้ว
ติงยียีหันกลับไปมอง ไม่เห็นอะไรเลย “แพนด้าอย่าเห่า อย่ารบกวนการพักผ่อนของคนอื่น”
ได้ยินเสียงดุของเจ้าของ แพนด้าจึงหมุนหัวตามไปอย่างไม่เต็มใจ ในความมืด ร่างสองร่างตามไปเหมือนเงา หนึ่งในนั้นพยักหน้าให้อีกคนหมุนตัวเดินจากไป
บริษัทเย่ซื่อ
เย่ป๋อยืนอยู่หน้าประตูไม่รู้ว่าตนเองควรจะเข้าไปหรือไม่ เขามองคุณชายที่กำลังพักผ่อนอยู่ ในใจคิดว่าให้เวลาเขาได้พักผ่อนอีกหน่อย แต่ข่าวในมือของเขากลับทำให้เขาเพิกเฉยไม่ได้
เขาแค่ขยับเล็กน้อย คนในห้องทำงานก็ตื่นขึ้นมาทันที สายตาคมกริบมองไม่ออกถึงความเหนื่อยล้าเลยสักนิด “เข้ามา”
เย่ป๋อเดินเข้าไป เขาสบสายตาที่เหมือนกำลังถามอยู่ของคุณชาย “คุณยียีเก็บสัมภาระออกจากบ้านแล้วครับ”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆ มีเพียงความแรงในการจับปากกาเท่านั้นที่เผยให้เห็นอารมณ์ของเขาในเวลานี้
“เธอไม่ได้กลับเมืองเหยาหนานแต่สุ่มเลือกลงเมืองตงฟังที่สถานีขนส่ง เพราะว่าเอาแพนด้าไปด้วย จึงนั่งรถแท็กซี่ไปครับ”
สายตาเย่เนี่ยนโม่มองไปที่นอกหน้าต่าง ตรงด้านหน้าของหน้าต่างกระจกบานใหญ่มีหิมะเกาะติดอยู่บนกระจก ไม่นานก็ถูกพัดปลิวไปอย่างไม่เต็มใจ “ช่วยจัดเตรียมทุกอย่างให้เธอด้วย คอยตามเธอต่อไป”
ผ่านไปพักใหญ่ เขายืนขึ้นและค่อยๆเดินไปด้านหน้าของหน้าต่างกระจกที่สูงจากเพดานจรดพื้นแล้วพูดเบาๆ เย่ป๋อรับคำสั่งแล้วออกไป เมื่อมาที่ระเบียงทางเดินก็ส่งคำสั่งไปให้คนที่คอยตามติงยียีอยู่ มีเสียงดังเล็กน้อยจากด้านหลัง เขาหันกลับเจอเข้ากับชิวไป๋
“พวกคุณส่งคนคอยตามยียีเหรอ” ชิวไป๋มองเขา เรื่องพวกนี้ในวงการบันเทิงมีให้เห็นไม่น้อย นักแสดงมากมายที่ผ่านมือเธอ ครอบครัวเขามักจะส่งคนคอยติดตามเพื่อปกป้องนักแสดง และเพื่อคอยกันพวกปาปารัซซี่ แต่ติงยียีไม่เหมือนกับพวกเขา สิ่งที่เธอเป็นห่วงก็คือติงยียีจะยอมรับได้หรือไม่
เย่ป๋อเปิดเผยอะไรมากไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันต้องการพบคุณชายเย่ เพื่อจะถามว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรกับติงยียีกันแน่” ชิวไป๋เห็นติงยียีเป็นน้องสาวจริงๆ ตอนนี้เห็นเธอเจ็บปวดขนาดนั้น เธอเองก็อยากจะทำอะไรบ้าง
เย่ป๋อขมวดคิ้ว “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปล่อยคุณขึ้นมาเพราะเหตุผลนี้เหรอ” สิ่งที่ในใจเขาคิดก็คือระบบความปลอดภัยของบริษัทเย่ซื่อต้องเพิ่มความรัดกุมแน่นหนากว่านี้หรือไม่ ส่วนในหูของชิวไป๋นั้นกลับคิดอีกอย่างหนึ่ง
สีหน้าเธอเย็นเยือกลง “ดังนั้นความหมายของคุณก็คือฉันจะมาที่ตึกบริษัทเย่ซื่อของพวกคุณไม่ได้เหรอ”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว” เย่ป๋อร้อนใจเล็กน้อย นิสัยที่ปกติสุขุมนุ่มลึกหายไปเล็กน้อย ชิวไป๋ข่มความโกรธภายในใจเอาไว้ เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ฉันมาหาคุณชายเย่”
แม้จะรู้ว่าขัดขวางเธอจะทำให้เธอโมโหแน่นอน แต่เย่ป๋อก็ยังยื่นแขนออกมา “คุณเข้าไปไม่ได้” ถูกเขาขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายชิวไป๋ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เธอพูดอย่างเย็นชาว่า “คนที่ฉันต้องการพบคือคุณชายเย่”
“ขอโทษครับ ถ้าไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้าคุณชายไม่มีทางมาพบคุณหรอก” เย่ป๋อเม้มปากเอ่ยปฏิเสธอย่างยากลำบาก เขาต้องคำนึงถึงว่าตนเองคือเลขานุการของผู้จัดการใหญ่บริษัทเย่ซื่อก่อน จากนั้นจึงเป็นเย่ป๋อ
ชิวไป๋รู้ดีว่าเขาพูดความจริง วันนี้ก็แค่อยากจะลองวัดดวงดูว่าจะได้พบคุณชายเย่หรือไม่ แต่ท่าทางเป็นการเป็นงานของเขา ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับลูกค้าคนอื่น เธอเกลียดตนเองที่เป็นแบบนี้
“ฉันรู้แล้ว คุณไปทำงานเถอะ” เธอพูดเบาๆ หยิบกระเป๋าเอกสารเดินไปทางด้านนอก เย่ป๋ออยากจะตามออกไป นิ้วมือเขาขยับเล็กน้อย สุดท้ายก็ปล่อยลง
ชิวไป๋เดินออกจากบริษัทเย่ซื่อ เกล็ดหิมะปลิวเข้าไปในคอเสื้อเธอ เธอกระชับเสื้อโค้ทให้แน่น ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา เสียงในโทรศัพท์มือถือของติงยียีไม่ได้แตกต่างอะไรจากตอนปกติ ยังคงเผยให้เห็นถึงความสุขสดใส นี่กับทำให้เธอกังวล เธอเอ่ยว่า “ตกลงว่าเธอหนีฉันไปที่ไหนกันแน่ ลางานกับบริษัทไว้ตั้งหนึ่งสัปดาห์ นี่รายได้หายไปตั้งเท่าไหร่”
ติงยียียิ้มอย่างมีความสุข “ได้ยินว่าขนมเปี๊ยะมังสวิรัติของเมืองตงฟังไม่เลวเลยนะ ฉันจะซื้อของฝากไปให้คุณนะ คุณก็อย่าโกรธฉันเลยนะ”
“ฉันก็เป็นคนเมืองตงฟังนั่นแหละ” ชิวไป๋กลอกตาและพูดไม่ออก ดึงคอเสื้อให้กระชับขึ้นอีกแล้วจึงพูดต่อว่า “สัปดาห์นี้ก็เที่ยวให้เต็มที่ ถึงเวลาแล้วไม่อนุญาตให้ไปไหนแล้วนะ”
“น้อมรับคำสั่ง!” ติงยียีหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะดังทะลุผ่านโทรศัพท์มา “งั้นฉันวางสายแล้วนะ” พอพูดจบ ชิวไป๋ก็เรียกเธอเอาไว้ “ยียี!”
ชิวไป๋อ้ำอึ้ง เสียงอ่อนโยนลง “มีเรื่องอะไรก็บอกฉัน อย่าแบกเอาไว้คนเดียว” เสียงในโทรศัพท์มือถือชะงักไป จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตอบรับอย่างรวดเร็ว ชิวไป๋กลับฟังออกถึงเสียงสะอื้นไห้จากในโทรศัพท์มือถือได้อย่างชัดเจน
ติงยียีวางโทรศัพท์มือถือลง แพนด้าถูไถไปมาบนขาของเธอ เธอลูบหัวแพนด้า เดินเข้าไปในโรงแรมออนเซ็นแห่งหนึ่งของเมืองตงฟัง นี่เธอถามมาสามโรงแรมแล้ว โรงแรมก่อนหน้านี้ล้วนไม่อนุญาตให้ลูกค้านำสุนัขเข้าพักด้วย โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตงฟัง เธอคิดว่าระบบการจัดการอาจจะดียิ่งกว่า
“ขออภัยด้วยนะคะ ที่นี่พวกเราไม่อนุญาตให้นำสุนัขเข้าด้านในค่ะ” สาวพนักงานต้อนรับพูดพลางยิ้มกับเธออย่างมีมารยาท แต่แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “แต่ว่าวันนี้มีกิจกรรมจับฉลากชิงโชค คุณจะลองดูหน่อยมั้ยคะ ถ้าจับรางวัลได้จะได้พักห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทเลยนะคะ และเพราะเป็นชั้นที่แยกเป็นส่วนตัว ดังนั้นจึงสามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้าพักได้ค่ะ”
ติงยียีหันไปยิ้มกับเธอ “ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่จับดีกว่า ช่วงนี้ดวงฉันซวยมาก”
สาวพนักงานต้อนรับแทบจะทนฝืนยิ้มไว้ไม่ไหวแล้ว คนของเจ้านายบอกว่าต้องทำให้คุณผู้หญิงที่พาทิเบตันมาสทิฟมาด้วยพักอยู่ที่นี่ให้ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำให้เธออยู่ต่อได้อย่างไร
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณผู้หญิง ลองจับดูสักครั้งนะคะ พวกเราต้องทำตามภารกิจให้ได้ตามเป้าค่ะ” พนักงานสาวอุ้มกล่องฉลากออกจากเคาน์เตอร์ไปตรงหน้าของติงยียีทันทีพลางมองเธอด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
ในเมื่อเธอพูดขนาดนั้นแล้ว ติงยียีก็ได้แต่จับขึ้นมามั่วๆแผ่นหนึ่ง พนักงานต้อนรับสาวเปิดออก มีรอยยิ้มบนใบหน้าทันที “ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณได้รับรางวัลห้องพักห้องเพรสซิเดนเชียล สวีทของพวกเราเป็นเวลาครึ่งเดือนค่ะ”
“แบบนี้พวกคุณไม่ขาดทุนเหรอคะ” ติงยียีถามอย่างสงสัย สัมภาระที่อยู่ข้างๆถูกพนักงานนำไปช่วยถือไว้แล้ว
เมื่อเดินมาถึงห้อง ติงยียียิ่งรู้สึกไม่ดียิ่งขึ้น คุณสมบัติของห้องชุดนี้นั้นเหมือนกับห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทที่เธอกับอันหรันพักตอนถ่ายทำเรื่อง เวทมนตร์ เลย
“ห้องใหญ่ขนาดนี้ให้ฉันพักฟรีครึ่งเดือนจริงเหรอคะ” เธอถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ แพนด้าที่มีความสูงระดับโต๊ะมองไปที่พนักงานต้อนรับสาวตามคำพูดของเธอเหมือนจะเข้าใจความหมาย
พนักงานต้อนรับสาวถูกเจ้าทิเบตันมาสทิฟตัวนี้จ้องมองจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ในใจก็รู้สึกเหมือนว่าเจ้าสุนัขตัวนี้สามารถอ่านความในใจเธอได้อย่างนั้น เธอจึงรีบจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าอยู่ต่อ
“แพนด้า พวกเราโชคดีจริงๆเลยนะ” ติงยียีกอดหัวแพนด้าโยกไปโยกมาอย่างดีใจ ทันใดนั้นแพนด้าก็หรี่ตามองไปอีกทาง ดิ้นหลุดจากมือของติงยียีวิ่งไปทางด้านนอก
“แพนด้า!” ติงยียีตะโกน ร้อนใจขึ้นมา ถ้าหากปล่อยมันวิ่งออกไปจะเกิดเรื่องยุ่งยากขนาดไหน
แพนด้าที่วิ่งไปที่ประตูแล้วหลังจากได้ยินเสียงเธอแม้ว่ามันจะหยุดฝีเท้าลงแล้ว แต่ก็ยังแยกเขี้ยวยิงฟันมองออกไปข้างนอก ติงยียีรู้สึกแปลกใจมาก เธอเดินไปข้างๆมันโผล่ศีรษะออกไป ฝั่งตรงข้ามนอกจากห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นเดียวกันก็ไม่มีใครอีก
“แกจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ทำร้ายคนอื่นเอาได้ง่ายมากเลย เป็นแบบนี้ต่อไปฉันจะผูกแกเอาไว้แล้วนะ!” ติงยียีตีหัวมันอย่างขึงขัง แพนด้าร้องครางออกมาหนึ่งครั้ง ยังคงหันไปมองด้านนอกอย่างไม่เต็มใจนัก
หลังอาหารเย็น ติงยียีได้ยินเสียงพลุด้านนอกดังเป็นระยะๆ บริกรบอกเธอว่านี่คือเทศกาลประจำปีของเมืองตงฟังเพื่อเป็นการบูชาเทพธิดาแห่งตาน้ำ
ดูเหมือนแพนด้าจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก จ้องมองไปด้านนอกประตูตลอดเวลา ติงยียีคิดว่าจะพามันออกไปเดินเล่นสักรอบไปเสียเลยแล้วกัน
ด้านนอกประตูเสียงดังกึกก้อง ดอกไม้ไฟหลากหลายสีถูกจุดขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด เกิดแสงเปล่งประกายเจิดจรัส คนบนถนนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน คึกคักเป็นอย่างมาก