“ผมไม่รู้” เย่ชูหวินกล่าว ไม่ได้ดื่มน้ำมาเจ็ดแปดชั่วโมง จึงทำให้น้ำเสียงของเขาแหบพร่าสุดขีด
แววตาของเย่เนี่ยนโม่แดงก่ำ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาประชิดเข้ามาใกล้ “ฉันจะถามอีกครั้ง เธออยู่ที่ไหน”
เย่ชูหวินสบตากับเขา แววตาเรียบนิ่ง “ผมบอกแล้ว ผมไม่รู้”
คำพูดของเขาทำให้เย่เนี่ยนโม่โกรธ เขายกกำปั้นขึ้นแต่กลับไม่ได้ลปล่อยหมัดลงไป “ปัง!” ผนังด้านหลังของเย่ชูหวินเกิดเสียงดังขึ้น มีรอยแดงสดถูกทิ้งไว้บนผนังสีขาว
“เนี่ยนโม่ พวกเราเสียเธอไปแล้ว” เย่ชูหวินกล่าวเบา ๆ น้ำเสียงนิ่งราวกับน้ำตายก็ไม่ปาน เขามองเย่เนี่ยนโม่ที่เงยหน้าขึ้นทันใด “ไม่ฉันไม่มีทางเสียเธอไป ฉันจะต้องหาตัวเธอเจอแล้วพากลับมา!”
เย่เนี่ยนโม่ขับรถมุ่งหน้าไปทางเมืองเหยาหนาน หน้าประตูใหญ่หน้าบ้านตระกูลติงถูกล็อกไว้แน่น เพื่อนบ้านยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ตระกูลติงมีลูกสาวคนหนึ่งที่หาเงินได้เก่งมากจริงๆ ต้าเฉินพาพี่สาวของเขาไปเที่ยวแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่ยังไม่ทันคนพูดจบก็หันหลังขึ้นรถไป รถที่ยังไม่ได้ดับเครื่อง เขาปล่อยให้ควันบุหรี่ลอยอยู่รอบ ๆ มีเพียงวิธีนี้ที่จะบรรเทาจิตใจที่วิตกกังวลให้สงบลง
เขาหยิบโทรศัพท์แล้วกดหมายเลขที่ได้โทรออกมาตลอดทั้งคืน วินาทีที่กดโทรออกนั้นเขาก็โยนโทรศัพท์ทิ้งออกไปนอกกระจกรถ โทรศัพท์ตกลงสู่พื้นจนเกิดเสียงแตกกระจุยเสียงหมาหอนดังขึ้นอยู่รอบข้าง
เขาทุบเข้าที่พวงมาลัยรถอย่างแรง แล้วก็ขับรถจากไป
ตอนที่เย่ป๋อหาตัวเขาเจอนั้น เย่เนี่ยนโม่ได้เมาไปแล้ว เย่เนี่ยนโม่เมาจนฟุบลงโดยที่ปากมีแต่เสียงพร่ำเพ้อถึงติงยียี
เย่ป๋อถอนหายใจ ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าได้ดังขึ้น เขาจึงต้องวางคุณชายลงไปก่อน จากนั้นรับสายโทรศัพท์ขึ้น เสียงของอ้าวเสว่ที่ลนลานดังขึ้น “ฉันยังหาเขาไม่เจอ และก็กำลังตามหาอยู่”
เย่ป๋อมองคุณชายแวบหนึ่ง “คุณอ้าวเสว่ คุณรีบกลับไปเถอะ ผมเจอคุณชายแล้ว”
“เขาอยู่ที่ไหน” อ้าวเสว่รีบถามขึ้นทันที เธออุ้มท้องที่ใหญ่ยืนอยู่บนถนน เธอตามหาอยู่ตั้งนาน เป็นห่วงอยู่ตั้งนาน เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เย่เนี่ยนโม่ก็หายตัวไป รู้แต่เพียงว่าตอนที่เย่ป๋อมาหาถึงที่นั้นเธอรู้สึกกระวนกระวาย เป็นห่วงอย่างมาก
“คุณอ้าวเสว่ครับ คุณกลับไปก่อนเถอะ ที่นี่มีผมคอยดูแลคุณชาย” เย่ป๋อกล่าวเบา ๆ จากนั้นก็กดวางสาย
อ้าวเสว่ที่ยืนอยู่ข้างถนน เท้าของเธอบวมเล็กน้อยเนื่องจากการตั้งครรภ์ แต่เธอกลับดึงดันอยากจะตามหาเย่เนี่ยนโม่ รถคันหนึ่งได้มาเทียบจอดที่ด้านข้างของเธอ คนขับรถได้เปิดประตูให้กับเธอ “คุณอ้าวเสว่ครับ ท่านนายเย่เรียกให้คุณกลับไปครับ”
เขามองไปยังดวงไฟสว่างจ้าตามบ้านเรือน แล้วยิ้มเศร้าจากไป ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่มีทางที่จะซาบซึ้ง ไม่มีทาง ในบาร์ เย่ป๋อถอนหายใจออก ประคองคุณชายอย่างทุลักทุเล
“ถอยไป!” เย่เนี่ยนโม่กล่าวด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง เย่ป๋อจึงรีบปล่อยมือ เห็นคุณชายจะเซไปด้านหลัง ก็รีบดึงไหล่ประคองเขาไว้ แล้วพาเขากลับบ้านอย่างยากลำบาก
ฝู้เฟิ่งหยีเห็นเย่เนี่ยนโม่ที่เมาเละเทะ จึงโมโหขึ้นเล็กน้อย “ไร้สาระสิ้นดี! เป็นถึงผู้จัดการใหญ่บริษัทเย่ซื่อกลับไปดื่มเหล้าจนเมามายไร้สติ ถ้าหากว่าถูกพนักงานเห็นเข้าจะทำอย่างไร!”
พ่อบ้านรีบนำซุปขิงมาให้ ฝู้เฟิ่งหยีถึงแม้จะเป็นห่วงหลานชาย แต่ก็ยังหันไปเอ็ดใส่อ้าวเสว่ที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ข้าง ๆ แล้วด้วยความโมโหว่า “ไปป้อนซุปให้กับเนี่ยนโม่”
อ้าวเสว่ตอบรับแล้วรีบไปยกถ้วยซุปมา ขณะที่กำลังเดินมาถึงตัวของเย่เนี่ยนโม่ เขาก็ยกมือแล้วผลักซุปทิ้งทันที จนน้ำซุปหกใส่มือของอ้าวเสว่ หลังมือที่ขาวเนียนก็แดงเป็นแผ่นขึ้นทันที
“คุณพอใจหรือยัง” เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้นมองเธอ ตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอย อ้าวเสว่กลั้นความเจ็บไว้ รู้สึกทั้งมึนงงทั้งโมโห “ฉันพอใจอะไร”
“ติงยียีจากไปแบ้ว เธอจากไปแล้ว!” เย่เนี่ยนโม่หันไปตะคอกใส่เธอ จากนั้นก็สะบัดมือของเย่ป๋อทิ้ง เดินโซเซขึ้นบ้านไป
ติงยียีจากไปแล้ว? ถึงแม้อ้าวเสว่จะตกใจ แต่ก็แอบรู้สึกดีใจ ขอเเพียงแค่เธอจากไป อย่างนั้นตัวเองก็จะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่กับเย่เนี่ยนโม่อีกครั้งไม่ใช่เหรอ ฝู้เฟิ่งหยีมองดูท่าทางของเธอ แล้วทอดถอนใจ จากนั้นหันหลังกลับไปที่ห้องของตัวเอง ตอนที่เชินหลินหนุ่ม ๆ เพื่อให้ได้อยู่กับเซี่ยชีหรั่น เขาต้องผ่านความเจ็บปวดทรมานไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าพอถึงหลานชายของตัวเอง กลับยังเป็นแบบนี้อีก เธอรู้สึกเศร้าในใจราวกับว่าแก่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตอนค่ำ อ้าวเสว่ย่องมาที่ห้องของเย่เนี่ยนโม่อย่างเงียบ ๆ เย่เนี่ยนโม่ที่กำลังนอนหลับใหล หว่างคิ้วยังคงย่นอยู่ เธอค่อย ๆ ช่วยเขาถอดรองเท้าออก แล้วหยิบผ้าห่มมาคลุมบนตัวเขา จากนั้นก็ปรับอุณหภูมิฮิตเตอร์ให้สูงขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นเนี่ยนโม่ก็ส่งเสียงงึมงำ ศีรษะของเขามีการขยับสองที ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง อ้าวเสว่รีบคว้าถังขยะมา เย่เนี่ยนโม่ขยับสองทีก็นอนลงไปต่อ
อ้าวเสว่ถอนหายใจ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่น ๆ จากห้องน้ำมาเช็ดใบหน้าให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาในดวงตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ได้ไหลลงสู่แผ่นหลังมือ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพึมพำขึ้น “ถึงแม้ว่าฉันจะเคยทำเรื่องไม่ดีไว้มากมาย แต่ก็ทำเพื่อต้องการที่จะได้รักคุณ ทำไมถึงต้องทำกับฉันแบบนี้”
กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยในอากาศ ไม่มีการตอบกลับ มีเพียงเสียงดังของการทำงานเครื่องดูดความชื้นเท่านั้น ที่ประหนึ่งกับเสียงกระซิบรักของคู่รักก็ไม่ปาน
บริษัทเย่ซื่ออยู่ภายใต้ความกดดันมาหลายวันแล้ว เลขาฯถือแผนการโครงการเดินออกมาพร้อมกับคำดุด่าที่เชือดเฉือน และถามเย่ป๋อด้วยสีหน้าที่ดูแย่ “ท่านประธานเย่เป็นอะไรไป แผนการโครงการของฉันถูกเขาปฏิเสธไปสามครั้งแล้ว”
เย่ป๋อหยิบแผนการโครงการของเธอมาดูครู่หนึ่ง แล้วชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาด “เห็นได้ชัดว่าโครงการเหล่านี้มีข้อผิดพลาด ท่านประธานเย่จะไม่ปฏิเสธได้ไง”
เลขาฯงึมงำเบา ๆ “แต่ฉันรู้สึกว่าต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน”
เย่ป๋อถอนหายใจ โบกมือสื่อให้ออกไป เขาทำการเคาะประตู “คุณชายเย่ครับ ตัวแทนของทุกฝ่ายที่เตรียมจะเข้าสู่ศูนย์การค้าสากลได้มาถึงแล้วครับ”
เย่เนี่ยนโม่ยืนขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง ในห้องประชุม ตัวแทนของแบรนด์ต่าง ๆ มองดูประธานเย่แล้วเริ่มแอบพึมพำในใจ นี่ประธานเย่เป็นอะไรไป เห็นคิ้วที่ขมวดแน่นริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง แววตาเชือดเฉือนจนทำให้หัวใจคนสั่นกลัว
“ท่านประธานเย่ คือแบบนี้นะครับ แบรนด์เมคอัพของพวกเราดังมากในต่างประเทศ ตอนนี้ในประเทศก็มีเคาน์เตอร์เพียงไม่กี่แห่ง เชื่อว่าหากเข้าสู่ศูนย์การค้าสากลของท่าน คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน เพียงแต่ทางเราหวังว่าจะได้ตำแหน่งที่ตั้งเหมาะสมหน่อยครับ”
คนเกาหลีคนหนึ่งขยับปากอย่างรวดเร็วภายใต้เสียงการแปลความ คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เขาต่างจ้องมองเขา เย่เนี่ยนโม่เปิดดูเอกสารข้อมูลที่อยู่ในมือ แล้วอ่านดูอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วงนี้น้องชายคุณสบายดีไหม”
ล่ามแปลกลั้นขำและทำหน้าที่แปลให้กับคนเกาหลี ใครจะไม่รู้ว่าน้องชายของชาวเกาหลีคนนี้ชอบดื่มเหล้าเมามายแล้วก่อเรื่องในผับบาร์ และยังต่อยพนักงานเสิร์ฟจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็อวดอ้างเส้นสายของตัวเอง
สีหน้าของคนเกาหลีคนนั้นซีดขึ้น แล้วกล่าวเบาๆ “สบายดีครับ ผมคิดว่าพวกเราควรกลับมาคุยเรื่องการร่วมมือครั้งนี้จะดีกว่านะครับ”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า นิ้วมือที่เรียวยาวชี้ไปที่เอกสารข้อมูล แล้วกล่าวด้วยภาษาเกาหลีที่คล่องแคล่ว:“อย่างนั้นพวกเราก็มาพูดถึงการร่วมมือกันที่นี่เลย แบรนด์ตัวนี้ได้เปิดตัวในเมืองใหญ่แล้วหลายเมืองในจีน ปริมาณการขายในปีนี้ขายได้เพียงหนึ่งล้านเท่านั้น เพราะว่าสินค้าไม่เหมาะกับสีผิวของคนเอเชีย”
“แต่จุดยืนของแบรนด์พวกเรานั้นเป็นแบรนด์ระดับสูง!”คนเกาหลีกล่าวอย่างไม่พอใจ เขารู้สึกว่าคนจีนเหล่านี้ช่างน่ารังเกียจมาก
เย่เนี่ยนโม่เม้มริมฝีปากแน่นแล้วฉีกยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มกลับไม่ได้มาจากใจ กลับทำให้คนเกิดความรู้สึกเย็นวาบ ไม่รู้ว่าวินาทีต่อไปเขาจะพูดอะไรออกมาที่สะเทือนสะเทือนดิน
“ผมเป็นนักธุรกิจ แบรนด์ที่ไม่สามารถถทำเงินได้ ในสายตาผมมันก็คือไม่มีค่า” เขาปิดเอกสารข้อมูลลง ไม่สนสีหน้าที่ดูแย่ของคนเกาหลี แล้วกล่าวเบา ๆ: “คนต่อไปครับ”
“หลานชาย ฉันเคยทำสัญญากับรุ่นพ่อของคุณ การร่วมมือของพวกเราครั้งนี้คงไม่น่าจะมีปัญหานะ”
ชายชราที่อายุราวห้าสิบกว่ายิ้มอย่างมีความสุข เขาไม่เชื่อว่าเย่เนี่ยนโม่จะไม่เห็นแก่หน้าของพ่อเขา
เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิดสักครู่ “ยอดขายของแบรนด์คุณอาในช่วงสองปีนี้ดูเหมือนจะไม่ดีนะครับ” สีหน้าของชายชราชะงักค้าง แล้วกล่าวเบา ๆ :“ก็ดีอยู่นะ ดีอยู่!”
“คำว่าก็ดีอยู่สำหรับผมนั้นมีความหมายว่าสามารถล้มได้ตลอดเวลา ปล่อยให้บริษัทธุรกิจที่มีความสามารถได้เข้ามาจะดีกว่านะครับ” เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วแน่น คำพูดของเขาฟังแล้วเหมือนจะไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ชายชราตบโครงการแล้วลุกขึ้น “ เด็กเมื่อวานซืน พ่อของแกเองยังไม่เคยพูดกับฉันแบบนี้เลยนะ”
“ตอนนี้มีแล้วครับที่พูดแบบนี้” แล้วเย่เนี่ยนโม่ก็รีบก้มหน้าทำการเปิดดูเอกสารข้อมูลต่อไป ชายชราโมโหจนลุกขึ้นจากที่นั่งไป คนอื่น ๆ ต่างนั่งรอคุณชายตระกูลเย่คนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เรียกชื่อของตัวเองด้วยใจที่สั่นระรัว
หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป ในห้องประชุมก็เงียบสงบลง เย่เนี่ยนโม่พักสายตาเอนหลังไปพิงโซฟา เป็นเวลาสองชั่วโมงที่เขาต้องรับมือนักธุรกิจที่แก่และเจ้าเล่ห์สิบกว่าคนเพียงลำพัง
เย่ป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกนับถือคุณชายที่สามารถรับมือกับคนหลายสิบคนได้โดยที่ไม่เสียเปรียบให้กับอีกฝ่าย และยังสามารถทำให้อีกฝ่ายเข้าร่วมศูนย์การค้าสากลได้อย่างเต็มใจ
“ไปติดต่อผู้จัดการของเธอ” เย่เนี่ยนโม่เอ่ยปากขึ้นกะทันหัน
เย่ป๋อตกใจชะงัก เขารู้สึกราง ๆ ว่าคุณชายจะเริ่มการค้นหาจากตัวของชิวไป๋ จึงกังวลเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความลังเลออกทางสีหน้า น้ำเสียงของเย่เนี่ยนโม่เย็นลงเล็กน้อย “อย่าให้ฉันต้องพูดเป็นครั้งที่สอง”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ชิวไป๋ได้นั่งอยู่ในห้องทำงานของบริษัทเย่ซื่อ แทบจะเป็นการบังคับเธอมาในขณะที่เธอทำงานอยู่ สีหน้าของเธอดูเย็นชา “ฉันไม่รู้ว่าเธอไปไหน”
นิ้วมือที่เรียวยาวของเย่เนี่ยนโม่เคาะอยู่ที่ราวจับ ท่าทางที่น่ากลัวของเขา ราวกับว่าวินาทีต่อไปจะทำการทรมานคน เย่ป๋อเขยิบไปทางชิวไป๋หนึ่งก้าวอย่างเงียบ ๆ
“คุณชิว ผมไม่ได้เป็นคนดีนะ ผมสามารถทำได้ทุกวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ” การแสดงออกของเย่เนี่ยนโม่นั้นดูจริงจัง ใบหน้าที่เคร่งขรึมเป็นปกติกำลังบ้าคลั่งอย่างเห็นได้ชัด
“คุณชายครับ” เย่ป๋อยืนอยู่ด้านหน้าของชิวไป๋ มองแววตาของเย่เนี่ยนโม่ที่ซ่อนด้วยการขอร้อง
เย่เนี่ยนโม่ทำเป็นไม่เห็น ชิวไป๋เกิดความกลัวขึ้นในใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ เธอปกปิดความกลัวนั้นด้วยการถอยหลังเผชิญ “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอไปที่ไหน”
เย่เนี่ยนโม่หยุดการเคาะนิ้วมือ แล้วทำการดีดนิ้วหนึ่งที จากนั้นก็มีชายชุดดำเดินเข้ามาจากนอกประตู เย่ป๋อจำได้ว่าคนเหล่านี้คือคนที่เคยรับใช้นายท่านมาในเมื่อก่อนมาโดยตลอด ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คุณชายสามารถควบคุมพวกเขาได้? ในใจของเขาเกิดความหวาดกลัวที่ยากจะอธิบายได้ขึ้น เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าตัวเองนั้นรู้จักคุณชายเป็นอย่างดี แต่วันนี้เห็นทีแล้วเขาอาจจะไม่รู้จักคุณชายเลยด้วยซ้ำ
เย่เนี่ยนโม่ออกคำสั่งด้วยสายตา ชายหนุ่มสองคนจึงเดินมาด้านหน้าจับไหล่ของชิวไป๋ไว้ทั้งสองข้าง ชิวไป๋ตกใจจนหน้าซีด แล้วร้องตะโกนขึ้น “เย่เนี่ยนโม่ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้ ปล่อยฉัน!”