ติงยียีส่ายหน้า ยืนเว้นระยะห่างกับเขาโดยไม่รู้ตัว เธอไม่อยากให้เย่ชูหวินเข้าใจผิด มีคนเรียกเธอจากด้านหลัง พร้อมกับส่งข้าวกล่องให้เธอหนึ่งกล่อง
เธอถือข้าวกล่องพลางกะพริบตาปริบๆ “คุณทานอะไรแล้วหรือยัง ทานด้วยกันมั้ย”
เย่ชูหวินไม่มีความอยากอาหารเลย เขาเพิ่งกินยาไป ตอนนี้ในท้องเขาปั่นป่วนมาก แต่เขาไม่อยากปล่อยโอกาสที่จะได้อยู่กับเธอไปแม้แต่ครั้งเดียว เขายิ้มพลางพยักหน้า
ในมุมหนึ่งที่เงียบสงบข้างนอกกองถ่าย ติงยียีเปิดข้าวกล่อง “ว้าว! ดีจัง อาหารเยอะมากเลย!” เธอฉีกฝากล่องอาหารและส่งให้เย่ชูหวิน
เย่ชูหวินรับมา กินบ้างไม่กินบ้าง ทันใดนั้นติงยียีก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ถามว่า “ใช่แล้ว เมื่อก่อนคุณไม่ได้ชอบแข่งรถเหรอ เหมือนจะไม่เห็นคุณเล่นนานแล้วนะ!”
เย่ชูหวินชะงัก จากนั้นก็ค่อยๆฉีกยิ้มออกมา “อยากไปลองดูสักครั้งมั้ย”
ติงยียีนึกขึ้นได้ว่าสมัยตอนตนเองเรียนเคยนั่งบนรถเขารับลมยิ้มร่าก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เธอพยักหน้า “ได้เหรอ”
เพราะมีเรื่องที่อยากจะทำ ติงยียีถ่ายภาพยนตร์ได้อย่างราบรื่นรวดเร็วจนทำให้ผู้กำกับแอบแปลกใจ หลังจากเริ่มถ่ายทำช่วงบ่าย มีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงสำหรับบทของเธอก็ถ่ายเสร็จแล้ว
เย่ชูหวินรอติงยียีอยู่ภายในรถ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจหดรัดตัวไปชั่วขณะ เขาขมวดคิ้ว ดึงกล่องถุงมือมาหยิบยาข้างใน หลังจากกินเข้าไปสองสามเม็ดสีหน้าจึงค่อยๆดีขึ้น
เพิ่งจะเก็บยาเสร็จ หน้าต่างรถก็ถูกเคาะ ติงยียีเข้ามานั่งในรถสวมหมวกพลางบ่นพึมพำว่า “ชิวไป๋ให้ฉันสวมหมวกไว้ตลอดเวลา จะมีคนจำฉันได้ยังไงกัน!”
“อันนั้นก็ไม่แน่” เย่ชูหวินกะพริบตามาทางเธอ รถยนต์ขับบนถนนอย่างมั่นคงราบรื่น ติงยียีมองเห็นช่องเก็บของหน้ารถเหมือนไม่ได้ปิดแน่นสนิทดี กำลังคิดจะยื่นมือไปดันให้แน่นหน่อย มือหนึ่งที่อยู่ข้างๆก็รีบมาดันอย่างรวดเร็ว
มีเสียงเพล้งดังออกมาจากนั้น ทั้งสองต่างก็ตกใจ อากาศค้างนิ่งไปเล็กน้อย ติงยียีรู้สึกผิดขึ้นมา เธอคิดว่าตนเองสนิทสนมกับเย่ชูหวินมาก และอาศัยที่อีกฝ่ายชอบเธอ ดังนั้นเมื่อครู่จึงถือวิสาสะไปดันปิดช่องเก็บของหน้ารถ ลืมไปว่าภายในนั้นอาจจะมีของส่วนตัวเขาเก็บซ่อนไว้
“ขอโทษครับ” เย่ชูหวินเห็นสีหน้าเธอก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ อยากจะอธิบายกับเธอแต่กลับไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
จนกระทั่งถึงที่หมาย บรรยากาศภายในรถก็ค่อยๆดีขึ้น ติงยียีเดินตามเย่ชูหวินเข้าไปในโรงจอดรถอย่างร่าเริง รถคันหนึ่งในมุมของโรงจอดรถมีผ้าพลาสติกคลุมอยู่
มือของเย่ชูหวินที่วางบนผ้าพลาสติก มองเห็นเส้นเลือดกระตุกได้อยู่รางๆ นิ้วมือของเขาค่อยๆสั่นเล็กน้อย ตั้งแต่ที่รู้ว่าตนเองเป็นโรคหัวใจเขาก็ไม่แตะต้องของเหล่านี้โดยไม่รู้ตัวอีกเลย เขายังไม่อยากตาย
ผ้าพลาสติกถูกเปิดออก ในมือติงยียีถือปลายผ้าพลาสติกมุมหนึ่งอยู่พลางยิ้มให้เขา เย่ชูหวินดึงสติกลับมา ยื่นมือไปดึงปลายผ้าอีกด้านหนึ่ง
.Buell‘sEBR1190คันหนึ่ง รถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่จอดตระหง่านอยู่ บอกเล่าถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ เย่ชูหวินลูบคลำพื้นผิวบนรถเบาๆ ราวกับสัมผัสได้ถึงความเร็วตอนที่ขับขี่บนถนนในตอนแรก
มีหมวกกันน็อคโยนมาจากด้านข้าง ติงยียียิ้มอย่างดีใจ “พวกเราไปเถอะ!”
เขาค่อยๆก้มศีรษะ คร่อมบนรถมอเตอร์ไซค์ สัมผัสได้ว่าคนข้างหลังนั่งดีแล้ว เขาพูดเบาๆว่า “กอดผมไว้แน่นๆ”
ไม่นาน สองมือจากด้านหลังก็โอบรอบเอวเอาไว้เบาๆ แฝงด้วยความเกร็งเล็กน้อย เขายิ้ม รถพุ่งออกไปเร็วราวกับจรวด ลมแรงในฤดูหนาวพัดทะลุผ่านเสื้อผ้าหนาๆที่แนบกับผิวแน่น ทันใดนั้นติงยียีก็กอดเอวของเย่ชูหวินเอาไว้แน่น ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆของเขาเบาๆ
รถขับไปบนถนน จนกระทั่งมาจอดข้างๆที่ลานรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ติงยียีถอดหมวกกันน็อคออก มองเห็นใบหน้าด้านข้างของเย่ชูหวิน รู้สึกว่าสีหน้าอีกฝ่ายขาวซีดเล็กน้อย
“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ” ร่างของทั้งสองใกล้ชิดกันมาก ถึงขนาดที่เธอมองเห็นเส้นเลือดฝอยสีเขียวที่อยู่ใต้ลำคอขาวของเย่ชูหวิน
เย่ชูหวินคิดจะหันหน้ามาพูดคุยกับเธอ แต่กลับลืมไปว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองคนนั้นใกล้กันมาก ริมฝีปากของเขาเกือบถูผ่านริมฝีปากติงยียี ทั้งสองต่างฝ่ายต่างตกตะลึง
เย่ชูหวินก็อยู่ในท่าเอียงคอมองเธอ หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมา ลมหายใจเธอสะบัดเบาๆ ทำให้เขายิ่งอยากจะเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น
เขาค่อยๆเอียงหน้ามา ค่อยๆเข้ามาใกล้ริมฝีปากสีชมพูสวยหวานนั้น รูม่านตาของติงยียีขยายใหญ่ เธอเอนตัวไปด้านหลัง หลบเลี่ยงริมฝีปากที่กำลังจุมพิตลงมา
เย่ชูหวินไม่ได้รุกต่อ แม้แต่ท่าทางก็ไม่ได้เปลี่ยน ผมหน้าม้าบดบังตาข้างซ้ายเขาไว้ ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าเขา ตอนนี้เขาเป็นคนแปลกหน้า ติงยียีลงจากรถอย่างขัดเขิน
เธออย่างหนี เย่ชูหวินกลับไม่ให้โอกาสนี้กับเธอ เขาจับมือเธอไว้ พอแรงเปลี่ยนไป ทำให้เธอต้องหันมาสบตากับตนเองตรงๆ“ทำไม! ในเมื่อคุณไม่ชอบผม ทำไมยังจะออกมากับผม ทำให้ผมไม่ยอมตัดใจ”
สมองเขาร่ำร้องว่ามันไม่ใช่แบบนี้เด็ดขาด เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น! เขายังมองเห็นดวงตาของติงยียีเบิกกว้างขึ้นทันที ดวงตาสองดวงที่แฝงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาควบคุมไม่ได้ ชีวิตของเขาอาจจะไม่ยาวนานขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไขว่คว้าอะไรบางอย่างแน่นๆก่อนจากไป เขาหวังว่าสักวันหลังจากที่ตนเองตายไปกลายเป็นฝุ่นแล้ว นอกจากญาติของตนเอง อย่างน้อยก็มีอีกหนึ่งคนที่จำเขาได้ และคนนี้ เขาต้องการเพียงแค่ติงยียีเท่านั้น
ความเจ็บปวดทางจิตใจทรมานกว่าความเจ็บปวดที่มาจากแขนมาก ติงยียีจ้องมองเขา “ถ้าฉันทำให้คุณคิดแบบนี้ฉันต้องขอโทษด้วยอย่างมากจริงๆ”
ฉันอยากจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่น้ำตากลับเอ่อนองอยู่ในขอบตา เธอยังอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ปิดลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มสีชมพูของเธอ
“ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว” เย่ชูหวินสีหน้าตื่นตกใจเล็กน้อย ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วทำให้เขาจิตใจปั่นป่วนสับสนเล็กน้อย เขาปล่อยติงยียี ถอยหลังไปสองสามก้าว มองเธออย่างนิ่งเงียบ
นานพักใหญ่ ติงยียีเป็นฝ่ายเอ่ยก่อนว่า “ฉันไม่ได้ยั่วยวนคุณเพราะคุณชอบฉันนะคะ ฉันคิดว่าต่อให้เป็นคนรักไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่กลับลืมไปว่าแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับคุณ ฉันขอโทษด้วยอย่างมาก”
หัวใจของเย่ชูหวินเหมือนมีกระแสน้ำเย็นเยือกไหลผ่าน เขาดิ้นรนอยู่ในขุมนรกที่เขาไม่สามารถยอมแพ้ได้และไม่อาจครอบครองได้ ร้องขอความรักจากเธอ รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่าเหมือนหนอนตัวหนึ่ง แต่เมื่อเธอเอ่ยขอโทษ ความเจ็บปวดเหล่านั้นที่เคยมีดูเหมือนจะหยุดชะงักไป
เขาเดินไปตรงหน้าเธอ ยื่นมือออกมา ติงยียียกส้นเท้าขึ้นเล็กน้อย คิดจะถอยหลังตามสัญชาตญาณ เธอนึกถึงแววตาที่ถูกทำร้ายเมื่อครู่ของเย่ชูหวิน ขาที่อยากจะก้าวถอยหลังก็หยุดชะงักลง
มือใหญ่ที่แห้งกร้านของเย่ชูหวินตบที่ศีรษะเธอเบาๆ แฝงด้วยความรักใคร่ ติงยียีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่”
นี่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง แต่ดูสภาพไม่เหมือนว่าไม่มีผู้คนเลย ยางรถยนต์กองไว้เป็นรูปร่างต่างเรียงกันอย่างเรียบร้อย ตรงกลางยางรถยนต์มีบ้านที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง บนผนังเต็มไปด้วยภาพที่ขีดเขียนขึ้น แม้บ้านจะมีหญ้าขึ้นรก แต่ก็พอมองออกว่าเคยมีการตัดเล็มมาแล้ว
“ยินดีต้อนรับคุณสู่ฐานลับสมัยมัธยมปลายของผม” เย่ชูหวินฉีกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบนใบหน้าเขากว้างขึ้นเล็กน้อย
ติงยียีพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณเองก็มีช่วงเวลาวัยรุ่นแบบนี้กับเขาด้วย”
เย่ชูหวินเดินเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านดูเหมือนจะถูกชายเร่ร่อนยึดครองแล้ว บนผนังยังมองเห็นภาพโปสเตอร์รถมอเตอร์ไซค์แต่ละแบบอยู่ เขามีรอยยิ้ม เหมือนเข้าไปอยู่ในความทรงจำ “ผมเคยคิดว่าจะพาคนที่ผมรักมาที่นี่ด้วยกัน ถึงตอนกลางคืนก็แหงนหน้าดูดาวด้วยกัน”
คำพูดของเขาคือการบอกเป็นนัยอย่างหนึ่ง ทั้งยังเหมือนเป็นความคาดหวังที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด ติงยียีไม่สามารถตอบอะไรได้ ได้แต่เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ฉันคิดว่าลูกคนรวยอย่างพวกคุณจะไม่มีเวลามาเล่นของพวกนี้เสียอีก”
ตอนแรกเธอแค่แกล้งหยอกเล่น แต่เย่ชูหวินกลับตอบอย่างจริงจังว่า “ตอนเด็กเย่เนี่ยนโม่เข้าเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันการลักพาตัว ตั้งแต่เด็กก็ต้องเรียนคาราเต้ มีบอดี้การ์คอยตามประกบอยู่ข้างกาย เพื่อนในวัยเดียวกันมีน้อยมากกจนน่าสงสาร พ่อผมเป็นลูกชายที่แยกตัวออกมาจากตระกูลเย่จนขาดการติดต่อไป อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ผมก็เลยเติบโตอย่างมีอิสระกว่าเล็กน้อย”
ติงยียีได้ฟังการบอกเล่าของเขา กลับคิดถึงเย่เนี่ยนโม่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เด็กที่ยังเล็กขนาดนั้นต้องคอยกังวลเรื่องลักพาตัว นี่เป็นเรื่องที่บรรดาเด็กในครอบครัวปกติธรรมดาอย่างพวกเธอไม่มีวันเข้าใจสินะ
อาจจะเป็นเพราะสัมผัสได้ว่าเธอใจลอย เย่ชูหวินจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทั้งสองคนเปลี่ยนเรื่องคุยกันอย่างมีรอยยิ้มหัวเราะร่วน ใกล้ค่ำแล้ว ติงยียีเดินอออกมาจากลิฟต์ “วันนี้มีความสุขมากจริงๆ ขอบคุณนะคะ”
บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาหายไปหลังจากเห็นเงาคนที่ประตู เย่ชูหวินจำได้ว่าดูเหมือนว่าจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลเย่ เขายืนอยู่เงียบๆตรงหน้าติงยียี
“คุณติงยียี คุณกลับมาแล้วเหรอคะ” ซางหัวกะพริบดวงตาที่ใสซื่อไร้เดียงสา ผมยาวประบ่าทำให้เธอดูอบอุ่นมาก ใบหน้ารูปไข่อดไม่ได้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีด้วย
“มีเรื่องอะไรเหรอ” ติงยียีถามอย่างเรียบเฉย แม้น้ำเสียงเธอจะสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้
ซางหัวไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆว่า “คุณอ้าวเสว่เข้ามาอยู่บ้านตระกูลเย่แล้วนะคะ”
“พอได้แล้ว!” เย่ชูหวินตะคอกทันที ซางหัวรู้แต่แรกว่าจะต้องเป็นแบบนี้ ใบหน้าเธอแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่คนรับใช้ บางครั้งบางเรื่องดิฉันก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง”
เธอก้มศีรษะไปทางทั้งสองคน กำลังคิดจะเดินจากไป ตอนที่เดินผ่านติงยียีเธอกลับถูกเรียกเอาไว้ ใบหน้าติงยียีมองไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร “บอกเธอว่าฉันยินดีกับเธอด้วย แล้วอีกอย่างในเมื่อตั้งท้องแล้วคงไม่น่าเบื่อขนาดนั้นแล้ว ฉันไม่มีเวลาจะไปสนใจชีวิตเธอ”
ซางหัวอึ้งตะลึง ไม่นานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ พยักหน้าแล้วเดินจากไป ติงยียีล้วงกุญแจมาเปิดประตูด้วยสีหน้าปกติ แต่มือกลับสั่นเทา เสียบกุญแจไม่เข้าหลายครั้ง
มือข้างหนึ่งกุมบนหลังมือของเธอแน่น เย่ชูหวินรับกุญแจไปเบาๆ ประตูห้องเปิดออก ติงยียีฝืนเดินเข้าไปในห้อง เหมือนว่าในที่สุดก็ออกมาจากชุดเกราะที่ห่อหุ้มไว้ เธอพิงผนังอย่างตื่นตระหนกตกใจ คนภายนอกมองเห็นแค่ความเข้มแข็ง แต่เบื้องหลังความเข้มแข็ง คือความทุกข์ทรมานที่ต้องแบกรับอย่างยากลำบาก
เย่ชูหวินยืนอยู่ข้างๆเธอ เขาสงสารเธอ แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ แพนด้าคาบรองเท้าแตะมาวางตรงหน้าติงยียี เงยหน้ามองเธอพลางกระดิกหาง
ติงยียีก้มหน้าลูบหัวที่มีขนฟูฟ่องของมัน ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่มีแววตาที่สับสนว่างเปล่าแบบตอนแรกอีกแล้ว “ฉันต้องไปจากเขา ชูหวิน ช่วยฉันให้ไปจากเขาที”