คนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ พักใหญ่ภายในระเบียงทางเดินมีเสียงเห่าดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น “ฉันกลัวหมาค่ะ!”
ภายในห้อง ติงยียียืนอยู่ข้างๆอย่างเขินๆ “ขอโทษจริงๆนะคะ แพนด้าเชื่องมาก ไม่กัดคนค่ะ!”
พนักงานต้อนรับสาวมองดูเจ้าทิเบตันมาสทิฟที่เกือบจะสูงเท่าต้นขาของเธอแล้วฝืนยิ้มเจื่อนๆ เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทิ้งน้ำหนักสลับไปมาระหว่างขาสองข้างที่อ่อนแรงด้วยความตกใจ “ไม่เป็นไรค่ะ นี่คือการบริการอาหารเช้าที่พวกเรามอบให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลค่ะ คุณต้องรับประทานให้ได้เลยนะคะ”
หลังจากที่พนักงานต้อนรับเดินจากไปแล้ว ติงยียีก็เปิดถาดอาหารออก แปลกใจที่พบว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาหารที่ตนเองชอบ โจ๊กทะเลที่เคี่ยวจนเหนียวชามเล็กๆ อาหารว่างที่รสชาติอร่อยถูกปากจานหนึ่ง
ติงยียีกินอย่างมีความสุข พักใหญ่จึงพบว่าประตูไม่ได้ปิด เธอลุกขึ้นเดินไปที่ประตู จึงสังเกตเห็นว่าประตูห้องข้างๆเปิดอยู่ พนักงานทำความสะอาดกำลังเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่
เธอเหลือบมอง รู้สึกว่าหน้ากากรูปสุนัขในมือของพนักงานทำความสะอาดนั้นคุ้นตาอยู่บ้าง หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมาทันที ตอนนี้แววตาลึกล้ำของผู้ชายคนเมื่อคืนได้ผุดขึ้นมาในหัว
เธอกำลังคิดจะเดินเข้าไปถามให้รู้เรื่อง เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นภายในห้องกลับทำให้เธอต้องหันกลับไปที่ห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอตกใจเล็กน้อย รับสายด้วยความดีใจ “ชูหวินเหรอ”
“คุณหนีไปไหนมา ยังปลอดภัยดีนะ?” น้ำเสียงของเย่ชูหวินเผยให้เห็นความวิตกกังวลอย่างชัดเจน และยังสั่นเล็กน้อย ติงยียีเปิดโทรทัศน์ไปด้วย พลางตอบว่า “ฉันสบายดี คุณเป็นอะไรไป ฉันได้ยินเสียงคุณฟังดูผิดปกติ”
ในโทรทัศน์กำลังมีการนำเสนอข่าว ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดอาคารสูง ลมพัดผมยาวของเธอม้วนขึ้นมา ทำให้มองเห็นสีหน้าเธอได้ไม่ชัด เธอนั่งตัวสั่นระริก ปล่อยให้คนที่เดินไปเดินมาอยู่ชั้นล่างส่งเสียงด้วยความแตกตื่น
ติงยียีมองสิ่งปลูกสร้างนั้นอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่านี่เหมือนกับอาคารพานิชย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆโรงแรมที่ตัวเองพักอยู่ตอนนี้ เสียงถอนหายใจยาวของเย่ชูหวินในโทรศัพท์มือถือเหมือนกับเสียงรีดน้ำออก น้ำเสียงยังแฝงด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ไม่มีอะไร ผมก็แค่ถามดูเท่านั้น เที่ยวให้สนุกนะ!”
โทรศัพท์มือถือถูกวางสายไปโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าใดๆเลย ติงยียีมองโทรศัพท์อย่างแปลกประหลาดใจ ในใจก็คาดเดาไม่ถูกว่าทำไมจู่ๆเย่ชูหวินถึงได้สูญเสียการควบคุมทางอารมณ์ได้
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังมาจากในโทรทัศน์ ในที่สุดเด็กผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวก็เลือกที่จะกระโดดลงมาจากยอดตึกสูง14ชั้น ร่างของเธอเบาราวกับกระดาษหนึ่งแผ่น ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ ติงยียีปิดโทรทัศน์อย่างทนไม่ไหว
เย่ชูหวินนั่งดูโทรทัศน์อย่างเงียบๆอยู่บนพื้นในห้อง เด็กผู้หญิงร่วงตกลงบนพื้น เลือดสดๆสีแดงทะลักออกมา เสียงกรีดร้องดังระงมอยู่โดยรอบ เขากุมหัวใจของตนเองเอาไว้
วินาทีที่เขามองเห็นข่าวในโทรทัศน์ เขาเกือบจะคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นคือติงยียี เขากลัวมาก กลัวว่าติงยียีจะก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ กลัวว่าเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่บนยอดตึกคนนั้นจะเป็นเธอจริงๆ
เขารีบโทรศัพท์หาเธอเพื่อดูว่าเธอปลอดภัยดีหรือไม่ เสียงสายไม่ว่างที่ดังมาจากในโทรศัพท์ทุกครั้งทำให้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เขาต้องยอมรับว่า เขารักติงยียีมาก จนไม่อาจถอนตัวได้
โทรศัพท์ของเย่ชูหวินในตอนเช้าทำให้ติงยียีตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอเดินไปตามตรอกซอกซอยของเมืองตงเจียงอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดิน แพนด้าเดินตามเธออยู่ข้างๆด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
ความมืดมิดของเมืองตงเจียงปกคลุมไปด้วยสีสันแห่งสถานบันเทิง ในฐานะที่เป็นเมืองท่องเที่ยว วัฒนธรรมเรื่องไนต์คลับของที่นี่ก็มีเอกลักษณ์อย่างเห็นได้ชัดมาก ติงยียีกระชับผ้าพันคอให้แน่น มองดูหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าบางๆ แต่งหน้าจัดเดินด้วยรองเท้าส้นสูงแล้วเข้าไปในไนต์คลับแต่ละร้าน
จู่ๆเธอก็อยากจะดื่มให้เมา เพียงแค่เมาก็ไม่ต้องคิดว่าเรื่องต่อไปเธอกับเย่เนี่ยนโม่จะทำอย่างไรดี เรื่องที่จะทำอย่างไรกับอ้าวเสว่ แล้วจะทำอย่างไรกับลูกในท้องของอ้าวเสว่ดี
ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจ เธอก้าวเท้าเดินไปทางไนต์คลับ แพนด้าเดินตามเธออย่างว่านอนสอนง่าย พอเดินเข้าไนต์คลับ เธอก็ตกใจกับเสียงดังจนหูแทบดับจากด้านในจนต้องถอยออกมาสองสามก้าว
ตรงผนัง มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจูบผู้หญิงอย่างดูดดื่มไม่อยากพรากออกจากกัน ภายใต้แสงไฟสลัวดูยิ่งอ่อนไหวและเย้ายวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ติงยียีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินเข้าไป เธอต้องการปลดปล่อยอย่างมาก
ภายในไนท์คลับผู้คนขยับไปมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเสียงเพลงต่างก็หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง ต่อให้มองเห็นหญิงสาวที่พาทิเบตันมาสทิฟมาด้วยก็แค่มองอย่างแปลกใจแวบหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็จะจมดิ่งอยู่ในเสียงเพลงที่บ้าคลั่งอีกครั้ง
ติงยียีดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ บาร์เทนเดอร์มองเห็นเธอก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “มาครั้งแรกเหรอครับ”
ติงยียียิ้มแต่ไม่ตอบ จากนั้นก็มีแก้วของเหลวสีฟ้าวางลงบนโต๊ะ เธอเงยหน้า บาร์เทนเดอร์ชี้ไปไม่ไกลจากตรงนั้นนักแล้วพูดว่า “คุณผู้ชายท่านนั้นที่อยู่ทางด้านนั้นขอเลี้ยงเครื่องดื่มคุณหนึ่งแก้วครับ”
ติงยียีหันไป ภายใต้แสงไฟที่มืดสลัว ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอย่างเกียจคร้าน เห็นเธอมองเขา เขาก็ยกแก้วขึ้นมาทางเธอ จากนั้นก็ดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว
“เขาเนี่ยเป็นเพลบอยที่โด่งดังของที่นี่เลยนะครับ ดูท่าเขาจะสนใจคุณ” บาร์เทนเดอร์
เช็ดแก้วเหล้าไปพลางพูดกับเธอพลาง ติงยียีหมุนตัวไป ล้วงเงินหนึ่งร้อยออกมาจากกระเป๋า “เอาเหล้าชนิดเดียวกันส่งไปที่โต๊ะเขาหนึ่งแก้วนะคะ”
บาร์เทนเดอร์มองเธออย่างมีเลศนัย ผสมเหล้าเสร็จแล้วก็ส่งออกไป ไม่นาน ก็มีเสียงเกียจคร้านดังมาจากด้านข้างของติงยียี “ผมนั่งตรงนี้ได้หรือเปล่าครับ”
กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายบนตัวเขาทำให้ติงยียีขมวดคิ้วอย่างทนไม่ไหว “ถ้าคุณนั่งได้นะคะ”
แพนด้าที่หมอบอยู่ข้างๆจ้องมองเขาอย่างดุร้าย ติงยียีคิดว่าไม่ต้องรอให้เขานั่งลงแพนด้าก็คงจะแทบบ้าคลั่งแล้ว แกล้งให้เขาตกใจกลัวหน่อยก็ดี คิดไม่ถึงเลยว่ารอจนชายหนุ่มนั่งลงแล้ว แพนด้าก็ยังไม่มีท่าทีอะไรเลยสักนิดเดียว
มองออกถึงความสงสัยของติงยียี ชายหนุ่มยิ้มพลางหยิบถุงเครื่องหอมออกมา “เห็นแล้วหรือยังครับ ทิเบตันมาสทิฟฟ์ไม่สามารถต่อต้านกลิ่นนี้ได้เลย ที่บ้านผมเองก็เลี้ยงไว้สองตัว ต่างก็เป็นฝีมือผมที่ไปจับตัวกลับมาจากประเทศมองโกเลียด้วยตัวเอง แต่ว่าไม่ดีเท่าหมาตัวนี้ของคุณ คุณจะยอมขายมันให้ผมมั้ยครับ”
“นี่เป็นคนในครอบครัวของฉันค่ะ ไม่ขาย!” เธอถือว่าแพนด้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อได้ยินน้ำเสียงดูถูกของผู้ชายคนนั้น เธอเองก็พูดอย่างไม่เกรงใจ
ชายหนุ่มเขย่าถุงเครื่องหอม กลิ่นหอมในอากาศรุนแรงมากขึ้น เขาโน้มเข้ามาใกล้ติงยียี แววตาเจ้าชู้กรุ่มกริ่ม “ในเมื่อสุนัขของคุณไม่ขาย แล้วคุณล่ะขายหรือเปล่า”
“แพนด้า!” ติงยียีตะคอกอย่างโมโห ชายหนุ่มหัวเราะดังลั่น “ไม่มีประโยชน์หรอก ทิเบตันมาสทิฟฟ์กลัวกลิ่นหอบแบบนี้ที่สุด ตอนนี้มันได้แต่หมอบอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่องๆ”
“อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้” ติงยียีมองด้านหลังของเขาอย่างเยือกเย็น “แพนด้าสั่งสอนเขาหน่อยสิ!”
“โฮ่ง!” แพนด้าที่เดิมเชื่องๆอยู่นั้นก็ส่งเสียงเห่าหอนพลางกัดที่ก้นของผู้ชายคนนั้น รอบๆมีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากผู้คนซึ่งมามุงดูอย่างอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่แรกแล้ว
แพนด้าไม่ได้จะกัดเขาจริงๆ เขาร้องอย่างตกใจวิ่งไปข้างหน้า ได้ยินเพียงเสียงฉีกขาด แพนด้าคาบเศษผ้าสองสามชิ้นเดินกลับไปข้างติงยียีด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องใจ
สีหน้าของชายหนุ่มย่ำแย่มาก จ้องมองติงยียีอย่างโกรธแค้น เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันกับเขาอีกคนหนึ่งเดินมาอย่างไม่หวั่นเกรง ผู้คนที่มามุงดูแยกย้ายกันไปบ้างแล้ว ต่างก็สงสารเด็กผู้หญิงที่อาจจะถูกทำร้ายคนนี้
ในใจของติงยียีเองก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอกลืนน้ำลายเล็กน้อย คิดว่าจะหาทางหนีอย่างไร ทันใดนั้นก็มีมือคู่หนึ่งดึงเธอไปด้านหลัง ร่างหนึ่งขยับมาด้านหน้าเธออย่างรวดเร็ว
แพนด้าเห่าชายหนุ่มคนขึ้นมา ติงยียีมองออกว่าชายหนุ่มกำลังช่วยเธอ จึงรีบห้ามปรามแพนด้า ผู้ชายคนนั้นกับเพื่อนมองชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็ได้แต่เลือกที่จะหนีไป
“ขอบคุณค่ะ” ติงยียีมองเขาอย่างซาบซึ้ง ชายหนุ่มได้แต่ตอบเร็วๆว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
มองชายหนุ่มเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ติงยียีคิดไปคิดมาก็เลือกที่จะตามไป เธออยากจะเลี้ยงข้าวผู้ชายคนนั้นสักมื้อ
อีกมุมหนึ่ง ในขณะที่ติงยียีกำลังตามหาผู้มีพระคุณด้วยความแปลกใจที่ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปตั้งแต่ตอนไหน ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังออกมาจากในมุมหนึ่ง
ติงยียีกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง หลังจากได้ยินชื่อที่คุ้นเคยก็ชะงักฝีเท้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณชายเย่ครับ จัดการเรียบร้อยแล้วครับ ครับ ผมจะตามอย่างใกล้ชิดต่อไปครับ”
ติงยียียืนอยู่ในมุมตึก เธอรู้สึกสั่นไปทั้งตัว เย่เนี่ยนโม่ถึงขนาดส่งคนสะกดรอยตามตนเอง จู่ๆในหัวก็มีคำพูดที่เขาเคยบอกกับเธอว่าจะไม่ปล่อยให้เธอจากไปผุดขึ้นมา เธอคิดว่าเขาพูดด้วยความโกรธชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำจริงๆ
เธอไม่รู้ว่าตนเองกลับมาที่โรงแรมตอนไหน รู้สึกเพียงว่าตัวเธอหนาวยะเยือกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปหมดทั้งตัว วินาทีที่เธอก้าวเข้ามาในโรงแรมเธอก็สงสัยขึ้นมาว่าที่ตนเองมาที่โรงแรมนี้ก็เป็นแผนที่เขาวางไว้อย่างดีหรือเปล่า
เธอเดินมาที่เคาน์เตอร์ สีหน้าใจเย็น “คุณชายเย่จะมาเมื่อไหร่คะ”
พนักงานต้อนรับสาวคิดว่าในเมื่อคุณชายเย่จัดการดูแลเธอเป็นพิเศษ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็คงต้องสนิทสนมกันมากแน่ การที่ตนเองจะบอกกำหนดการของคุณชายเย่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“คุณชายเย่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ วันนี้ออกไปเมื่อตอนห้าโมง แต่ผู้ช่วยของประธานเย่ให้เก็บห้องเอาไว้ก่อนค่ะ” เธอยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง เพราะสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าคนนี้แย่ลงเรื่อยๆ
ยามค่ำคืน เที่ยวบินสุดท้ายที่เดินทางไปเมืองตงฟังขึ้นบินแล้ว ในห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังพลิกหน้าหนังสือ แม้ว่าสีหน้าเขาจะเผยให้เห็นความเหนื่อยล้า แต่แววตากลับยังคมกริบเหมือนที่ผ่านมา ทำให้แอร์โฮสเตสที่เดินผ่านมาอดเหลือบมองไม่ได้
เย่เนี่ยนโม่อ่านหนังสือ แต่ตัวหนังสือกลับขยับตรงหน้าเขา การแสดงออกของติงยียีทำให้เขากังวลอย่างมากต้องทำอย่างไรจึงจะจับผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ได้
แต่งงานเหรอ ในเมื่อแน่นอนแต่แรกแล้วว่าเป็นเธอ เช่นนั้นก็แต่งงานเถอะ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม อย่างน้อยก็ต้องรอให้ครั้งนี้ติงยียีกลับมาจากเที่ยวพักผ่อนคราวนี้ก่อน
เครื่องบินค่อยๆลงจอดในยามค่ำคืน เย่เนี่ยนโม่เย่รีบไปที่โรงแรมแทบไม่หยุดพัก เขาพร้อมสำหรับการเดินทางไปกลับระหว่างเมืองตงเจียงและเมืองตงฟังทุกวัน
“สวัสดีค่ะคุณชายเย่” พนักงานต้อนรับสาวรู้สึกผิดเล็กน้อย แทบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มร่างกำยำคนนั้น
เย่ป๋อมองเธออย่างสงสัย แล้วเดินตามคุณชายเข้าไปในลิฟท์ ลิฟท์เพิ่งเปิดออก เขาเห็นคุณชายที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟท์พหยุดชะงัก เขาออกมาจากลิฟท์ ติงยียียืนอยู่ที่ปลายสุดของระเบียงทางเดินมองพวกเขาอย่างเงียบๆ
ติงยียีมองดูพวกเขา ระยะห่างของเธอกับพวกเขาประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร ไม่มีใครขยับ เธอมองไม่เห็นความเหนื่อยล้าของเขา รู้สึกแค่ว่าตนเองเหมือนกับนกน้อยที่ไร้อิสรภาพ
“ทำไม” เสียงแหบพร่าของเธอถามขึ้น แพนด้าเลียที่หลังมือเธออย่างกระสับกระส่าย อยากจะใช้วิธีนี้มาปลอบโยนเธอ
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วมองเธอที่สวมเสื้อคลุมบางๆเพียงตัวเดียว เขาสาวเท้าเดินไปข้างๆเธอ ความเย็นยะเยือกบนเสื้อผ้าเธอทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น
พอตั้งสติได้เย่ป๋อเดินกลับเข้าไปในลิฟท์อีกครั้ง ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง เย่เนี่ยนโม่เอามือมากุมที่หลังมือเธอเบาๆ “กลับห้องกัน”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” น้ำเสียงติงยียีเบาจนเกือบจะเป็นการบ่นพึมพำ ตั้งแต่วินาทีที่เธอเห็นเขา ในหัวสมองเธอเต็มไปด้วยวิธีที่จะหนีจากปีศาจตนนี้ที่ต้องการกักขังเธอ