เย่เนี่ยนโม่โน้มตัวไปอุ้มเธอขึ้นมา ขาข้างหนึ่งถีบประตูเปิด เขาเดินตรงเข้าไปในห้องนอนทันที วางเธอลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน วินาทีที่ติงยียีสัมผัสกับเตียงก็เด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยสัญชาตญาณ เธอถามเขาว่า “คุณมีสิทธิ์อะไรมาตามฉัน”
“ขอโทษ ฉันจะให้พวกเขาไปเดี๋ยวนี้” เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างอ่อนโยนตามความประสงค์ของเธอ น้ำเสียงดูเหมือนกำลังโอ๋เด็กที่กำลังงอแง
ติงยียีสีหน้าบึ้งตึง “เย่เนี่ยนโม่ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณก็รู้ว่าอ้าวเสว่ท้องแล้ว สุดท้ายพวกคุณก็ต้องแต่งงานกัน ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันจะเป็นฝ่ายที่ไปเอง พวกคุณจะได้สมหวัง”
คำพูดของเธอทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกลงทันที เธอรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้เขาโกรธ แต่ก็ยังจงใจพูดออกมา เธอไม่อยากเห็นตัวเองเป็นเหมือนผู้หญิงปากร้ายคนหนึ่งที่กรีดร้องโวยวายที่นี่ ส่วนเขากลับยืนอย่างสงบนิ่ง รับมือได้อย่างอิสระ
พักใหญ่ เย่เนี่ยนโม่โน้มตัวมาจ้องมองเธอ “ตอนนี้ที่ว่าการอำเภอปิดทำการแล้ว”
“อะไรนะ” เธอไม่ค่อยเข้าใจความหมายของผู้ชายตรงหน้าเล็กน้อย ได้แต่มองเขาอย่างงงๆ เย่เนี่ยนโม่ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นอีก สีหน้าก็ยิ่งอ่อนโยนลง “พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปจดทะเบียนสมรสกัน”
ติงยียีตกใจแทบไม่อยากเชื่อ เธอไม่สงสัยในความจริงจังของคำพูดนี้เลยสักนิดเดียว แต่กลับรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง “ฉันไม่มีทางที่จะแต่งงานกับคุณ”
เย่เนี่ยนโม่สีหน้ายังเป็นปกติ แต่น้ำเสียงกลับเคร่งขรึม “เหตุผลล่ะ”
ติงยียียืนขึ้นมาเปิดตู้เริ่มเก็บสัมภาระ “คุณถามหาเหตุผลกับฉันเหรอ คุณอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เด็ก คุณรู้มั้ยว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบเป็นเหยื่อที่น่าสงสารที่สุด ฉันจะไม่มีทางยอมให้คุณทำแบบนี้กับเด็กคนนั้น”
ข้อมือของเธอถูกจับเอาไว้ เย่เนี่ยนโม่บังคับให้เธอหันหน้ามาสบตาตนเอง “แล้วยังไง คุณตัดสินใจว่ายังไง”
“ฉันจะเลิกกับคุณ นี่คือสงครามของผู้ใหญ่ เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์” เธอลากกระเป๋าเดินทางไป ไม่สนใจว่ากระเป๋าจะปิดเรียบร้อยดีหรือยัง คว้ามาได้ก็เดินออกไปข้างนอก
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ไม่ได้ตามไป น้ำเสียงเย็นเยือกแฝงด้วยความเข้าใจว่า “คุณกำลังกลัวอะไร”
“ฉันไม่ได้กลัว!” ติงยียีหันมาสบตาที่โกรธเกรี้ยวของเขาอย่างกะทันหัน นิ้วมือกลับสั่นเล็กน้อย เธอรีบเอามือสองข้างไปซ่อนไว้ข้างหลัง อยากจะปกปิดทุกอย่างไว้ แต่กลับพบว่าความเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของตนเองถูกเขามองเห็นนานแล้ว
เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจเบามากจนแทบไม่ได้ยิน “อีกนานแค่ไหนคุณถึงจะกลับมา ครั้งนี้ฉันจะไม่ให้คนคอยตามคุณแล้ว”
“ฉันจะไม่ติดต่อกับคุณอีก คุณต้องรับผิดชอบต่อเด็กคนนั้น หรือคุณจะลองดู ว่าจะหาฉันเจอได้ตลอดหรือเปล่า”
เธอลากกระเป๋าเดินทางจากไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่เชื่อว่าเย่เนี่ยนโม่จะตามหาตนเองเจอทุกครั้งได้จริงๆ ในโลกอันแสนกว้างใหญ่ ด้านหลังเธอ นัยน์ตาของเย่เนี่ยนโม่ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ
คฤหาสน์ตระกูลเย่ พ่อบ้านนำคนรับใช้มายืนอยู่ด้านข้างๆ ภายในบ้านที่กว้างใหญ่มีเพียงเสียงถ้วยน้ำชาที่กระทบโต๊ะหินอ่อน ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยผู้หญิงที่อายุมากกว่า 60 ปีแต่ยังดูสง่าน่าเกรงขามที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ด้วยความเคารพ
“เนี่ยนโม่ยังไม่กลับมาเหรอ” ฝู้เฟิ่งหยีดื่มชาพลางถามด้วยสายตาเย็นเยือก พ่อบ้านรีบเดินไปข้างหน้า “ท่านนายเย่ คุณชายออกไปทำงานนอกสถานที่ครับ ผมจะให้คนไปแจ้งคุณชายเดี๋ยวนี้”
ฝู้เฟิ่งหยีมองเขา จู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเองก็อยู่บ้านพวกเรามาหลายสิบปีแล้วสินะ”
“ครับ ท่านนายเย่” พ่อบ้านก้มหน้าตอบ ในใจก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ทำไมจู่ๆท่านนายเย่ถึงกลับมาจากเขาผุโถได้ อีกอย่างดูแล้วเหมือนจะรู้อะไรมา
ฝู้เฟิ่งหยียืนขึ้น ปัดฝุ่นที่ไม่ควรจะมีบนตัว “เรื่องของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าติงยียีคนนั้นฉันรู้แล้ว ไม่ต้องเอาเรื่องที่ฉันกลับมาบอกหลานฉัน”
พ่อบ้านรีบก้มหน้าตอบรับฝู้เฟิ่งหยีหันไปมองสาวใช้ที่ยืนเรียงแถวอย่างพอใจแล้วพูดว่า “ออกไปเป็นเพื่อนฉันหนึ่งคน”
สาวใช้ทั้งหมดต่างก็ก้มหน้ากันสุดชีวิตไม่อยากให้ตนเองถูกเลือก สาวใช้หนึ่งคนในนั้นเดินออกมา “ท่านนายเย่คะ ดิฉันไปกับท่านเองค่ะ”
ฝู้เฟิ่งหยีมองเด็กสาวตรงหน้า ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตมีเสน่ห์ แค่เห็นก็รู้ว่าฉลาดมีไหวพริบ เธอพยักหน้า “ไปเถอะ”
พ่อบ้านก้มหน้ามองไปยังท่านนายเย่ที่ถูกประคองเดินออกไป บ่นพึมพำในใจตลอดว่าท่านนายเย่จะไปไหนกันแน่ เห็นว่าคนเดินไปไกลแล้ว ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ติงยียีนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ คนขับรถด้านหน้าบ่นตลอดเวลา “โชคดีที่คุณมาเจอผม ไม่อย่างนั้นน้อยคนที่จะยอมให้หมาตัวใหญ่ขนาดนั้นขึ้นรถมาด้วย”
ติงยียีฝืนจิ้มเจื่อนๆให้เขา เธอเอาศีรษะพิงหน้าต่างอย่างเหนื่อยล้า ยังมีเวลาครึ่งชั่วโมงเธอก็จะกลับถึงบ้านแล้ว ในที่สุดรถยนต์ก็มาถึงที่หมายท่ามกลางเสียงบ่นพึมพำของคนขับรถ
ติงยียีค่อยๆลากกระเป๋าเดินทางที่หนักอึ้งไปทางบ้านป้า เธอหาข้อแก้ตัวได้แล้ว บอกว่าตัวเองหยุดงานไปเที่ยวพักผ่อน ก้าวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเริ่มลังเลเมื่อเข้าใกล้ลานบ้านของป้ามากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเรื่องของเธอทำให้พ่อปวดหัวมากพอแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะยอมให้เธอคบหากับเย่เนี่ยนโม่ ตอนนี้ตนเองกลับมาเขาต้องสงสัยแน่นอน
ฝีเท้าเธอยิ่งช้าลงเรื่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ เสียงติงต้าเฉินที่กำลังเล่นหมากรุกกับเพื่อนดังมาจากด้านในของประตูเหล็กสีแดง ติงยียียืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นน้ำตาอุ่นๆก็คลอเต็มเบ้า
เธอหมุนตัวเดินไปทางซอยที่เดินมาอย่างรวดเร็ว ล้อของกระเป๋าเดินทางอยู่บนถนนคอนกรีตที่ขรุขระไม่เรียบส่งเสียงดังกุกๆกักๆ เสียงแหลมดังขึ้นหนึ่งครั้ง กระเป๋าเดินทางที่ไม่ได้รูดซิปให้ดีพลิกตะแคงล้มลง เสื้อผ้าข้างในกระจัดกระจายออกมาทั้งหมด
เธอพยายามเอาล้อของกระเป๋าเดินทางกดเข้าไปคืนที่ แต่กลับพบว่าเสียแรงเปล่า เธอทรุดตัวลงกับพื้น มองดูเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายไปทั่ว น้ำตาก็ไหลออกมา
แพนด้าคาบเสื้อผ้าหนึ่งชิ้นเข้าไปใส่ในกระเป๋าเดินทาง แล้วคาบขึ้นมาอีกชิ้น เหมือนพยายามแหย่ให้เจ้าของร่าเริง ติงยียีกัดริมฝีปากแน่นน้ำตาไหลโดยไม่มีเสียงร้องไห้
เสียงฝีเท้าด้านหลังค่อยๆเข้ามาใกล้ ฝีเท้าที่หนักแน่นสม่ำเสมอ แฝงด้วยความกดขี่เล็กน้อย เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆเดินมาตรงหน้าเธอมองลงมาจากด้านบน
เธอเอาศีรษะซุกเข้าไปในแขนไม่อยากให้ตนเองเผยความอ่อนแอต่อหน้าเขา เธอไม่มีที่ไปแล้ว นอกจากบ้านป้าที่เมืองตงเจียงเธอก็ไม่มีที่ไหนให้ไปได้แล้วจริงๆ
เย่เนี่ยนโม่สงสารเธอมาก แทบจะทนไม่ไหวที่จะแหวกหัวใจทั้งหมดของตนเองให้เธอดู “กลับบ้านเถอะ” เขาพูดเบาๆ
ลมหนาวยังคงพัดอยู่ แต่อากาศในรถกลับเย็นยะเยือก ทำให้คนหายใจไม่ออก ติงยียีหลับตาพิงหน้าต่างรถยนต์ ในใจเต็มไปด้วยความดูถูกเยาะเย้ยต่อวิธีการที่ปัญญาอ่อนของตนเอง
เขารู้แต่แรกว่าตนเองจะต้องมาที่บ้านของป้า ดังนั้นจึงเตรียมรถไว้สองคัน อีกคันหนึ่งไว้สำหรับแพนด้า เป็นเรื่องน่าขำที่เธอประกาศก้องอย่างคุยโวโอ้อวดว่าจะทิ้งเขาไป
เธอหลับตาลง จนกระทั่งมืออันอบอุ่นข้างหนึ่งมาปัดผมบนหน้าผากเธอเบาๆ การกระทำนั้นอ่อนโยนราวกับลูบคลำสิ่งล้ำค่า เธอไม่ได้ลืมตา จนกระทั่งมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านหลังศีรษะเธอ โอบกอดศีรษะของเธอพิงไปทางด้านหนึ่งเบาๆ
เธอไม่ได้ขัดขืน เพราะเธอรู้ดีว่าขัดขืนก็ไม่มีประโยชน์ แก้มที่แนบอยู่บนเนื้อผ้าที่ไหล่เขาให้ความรู้สึกเสียวซ่านเล็กน้อย กลิ่นน้ำหอมผู้ชายบนตัวเย่เนี่ยนโม่ยังคงตลบอบอวลอยู่ในลมหายใจ
จู่ภายในรถยนต์ก็มีเสียงเรียกเข้าที่ฟังดูธรรมดาๆของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ดูเหมือนเย่เนี่ยนโม่กลัวว่าจะรบกวนเธอ จงใจลดระดับเสียงลงไปมาก
ติงยียีพิงอยู่บนไหล่เขาเงียบๆ ได้ยินคำว่า“ท่านนายเย่”“ออกจากบ้าน”ประมาณนี้รางๆ เธอหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ไม่อยากสนใจอีก นานพักใหญ่ ภายในรถก็มีเสียงถอนหายใจของเย่เนี่ยนโม่ดังมา
กลับมาที่ภายในบ้านอีกครั้ง ติงยียีไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลย เพิ่งจะเปิดประตู ชิวไป๋ก็โผล่ออกมา เธอเหลือบมองเย่เนี่ยนโม่อย่างเงียบๆ แม้จะเป็นเขาที่ให้คนมาบอกตนเองว่าให้มาอยู่เป็นเพื่อนติงยียี แต่เธอก็ยังโกรธมาก จงใจไม่สนใจเขา ชิวไป๋ลากติงยียีนั่งลงบนโซฟา “ไปเที่ยวครั้งนี้ไปเจอเรื่องอะไรสนุกๆมาหรือเปล่า”
ติงยียีฝืนยิ้มให้เธอ ส่ายหน้า ในใจนึกถึงคืนนั้นที่มีการจุดพลุในเมืองตงฟัง ผู้ชายที่ใส่หน้ากากคนนั้นก็คือเย่เนี่ยนโม่สินะ
โทรศัพท์มือถือของเย่เนี่ยนโม่ดังขึ้นอีกครั้ง ติงยียีเงยหน้าขึ้นด้วยความอ่อนไหว จากนั้นก็รีบปกปิดด้วยการก้มหน้า เย่เนี่ยนโม่เดินไปรับโทรศัพท์ที่ระเบียง ชิวไป๋ค่อยๆขยับเข้ามา “ตอนนี้เธอมีแผนจะทำอะไร”
“ฉันไม่มีทางที่จะคบกับเขาแล้ว” ติงยียีพูดทีละคำ เย่เนี่ยนโม่เดินเข้ามาจากระเบียง สีหน้าดูผิดปกติเล็กน้อย
“พักผ่อนเยอะๆ” เขามองติงยียีอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อเห็นเขาจากไปอย่างไร้เยื่อใย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นภายในใจของทั้งคู่ เขาคงไปหาอ้าวเสว่แล้ว ชิวไป๋ยืนขึ้นรีบพูดว่า “เธอพักผ่อนก่อน ฉันจะออกไปแปบเดียว”
ทางลงบันได เย่ป๋อสวมสูทยืนตัวตรง “พ่อบ้านบอกว่าท่านนายเย่กลับมาที่เมืองตงเจียงแล้ว อีกทั้งยังรู้เรื่องคุณยียีแล้วด้วยครับ”
“คุณย่าอยู่ที่ไหน” เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วบีบสันจมูกแล้วเอ่ยถาม
เย่ป๋อกำลังจะพูด เสียงของชิวไป๋ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกเขาสองคน “เย่เนี่ยนโม่!”
เย่ป๋อคิดจะก้าวเข้ามาขวางเธอ เย่เนี่ยนโม่โบกมือ ผู้หญิงคนนี้จริงใจกับติงยียีจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ให้เธอคอยอยู่ข้างกายติงยียีตลอดเวลา
“ถ้าคุณชอบติงยียีจริง เช่นนั้นคุณก็ควรจะแต่งงานกับเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ” ชิวไป๋ท่าทางเอาเรื่องอยากจะช่วยติงยียีแย่งชิงผลประโยชน์อย่างเต็มที่
เย่ป๋อก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวพูดเสียงเบาๆว่า “พอแล้ว คุณชายมีแผนรับมือ ไม่ต้องพูดแล้ว” เขากังวลว่าคุณชายจะไม่พอใจชิวไป๋จริงๆ
ชิวไป๋มองเขาอย่างโมโห เบนหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจ พักหนึ่งเย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆว่า “เธอไม่ยอมแต่งงานกับฉัน”
“สมองเธอเพี้ยนไปแล้วเหรอ” ชิวไป๋พูดอย่างลืมตัว สัมผัสได้ถึงสายตาของเย่เนี่ยนโม่ที่เย็นยะเยือกลงทันที เย่ป๋อรีบก้าวเข้ามาอธิบายแทนชิวไป๋ “คุณชิวก็แค่แสดงความไม่เข้าใจของตนเองครับ”
ชิวไป๋ก้มหน้าไม่ได้พูดอะไร สายตาเย็นเยือกของเย่เนี่ยนโม่เมื่อครู่ทำให้เธอตัวสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เย่เนี่ยนโม่มองไปยังเย่ป๋อ เย่ป๋อหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ว่าคุณชายโกรธแล้ว เขาจึงไม่กล้าพูดเหลวไหล
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่เดินเข้าไปในลิฟท์ เย่ป๋อรีบฉวยจังหวะพูดกับชิวไป๋ “พักผ่อนมากๆ อย่านอนดึก”
ชิวไป๋มองเขาจากไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ามืออดไม่ได้ที่จะไปจับตรงที่ถูกเขากุมไว้เมื่อครู่ อารมณ์ในใจก็อ่อนไหวตามไปด้วย
อ้าวเสว่แบกท้องนั่งลงบนโซฟาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เธอเพิ่งจะอาเจียนมา ร่างกายทรมานอย่างที่สุด แต่เมื่อเห็นสาวใช้ของตระกูลเย่อย่างซางหัวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าตอนที่อยู่ต่อหน้าท่านนายเย่คนนั้น ก็คาดเดาถึงสถานะของหญิงชราคนนี้ได้รางๆในใจแล้ว