ทำไมเขาถึงตามใจติงยียีขนาดนั้น เขาต้องการอะไรจากตัวของติงยียี ชิวไป๋มองดูติงยียีที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างก็นึกขึ้นได้ฉับพลันว่าคนที่เกี่ยวข้องกับติงยียีก็คือเย่เนี่ยนโม่ และเบื้องหลังของเนี่ยนโม่ก็คือบริษัทเย่ซื่อ
ถ้าหากว่าจางจื๋อหรุ่ยต้องการใช้ตัวติงยียีไปข่มขู่เย่เนี่ยนโม่ แล้วอย่างนั้นเขาทำเพื่ออะไร ชิวไป๋สับสนกับคำถามที่วุ่นวายในสมอง
“เขามาแล้ว” ติงยียีหันหลังแล้วกล่าวเบาๆ เธอเดินไปถึงกลางบ้าน วางมือลงบนกระเป๋าเดินทาง มือของชิวไป๋ก็มากุมเธอไว้ จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง: “เธอตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม จากไปครั้งนี้อาจไม่สามารถหวนกลับมาอีกได้นะ”
ติงยียีค่อยๆดึงมือของเธอออก จากนั้นทำการกุมใหม่อีกครั้ง “ขอบคุณเธอมากที่ดูแลฉันมานานขนาดนี้”
ดวงตาชิวไป๋เริ่มแดงขึ้น “เธอไปถึงอเมริกาแล้วสามารถไปหาอันหรันได้นะ เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”
“ฉันจะไปหาเขาแน่นอน” ติงยียีเดินออกจากห้องอย่างใจเย็น ฝีเท้าของเธอช้าและหนักแน่น ชิวไป๋ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างมองดูติงยียีขึ้นรถ จากนั้นรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไกลออกไป
บนรถ ติงยียีนั่งมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมา ถึงตอนนั้นตัวเองจะอยู่ที่ไหน? แล้วกำลังทำอะไรอยู่?
รถได้จอดลง เย่เนี่ยนโม่ลงจากรถและเดินตรงไปที่ร้านเคเอฟซีที่อยู่ข้างทาง ติงยียีมองดูเขาที่คุยกับพนักงานอย่างตั้งใจ เธอดึงสายตากลับ แล้วหยิบสร้อยคอหนึ่งเส้นออกจากกระเป๋า สร้อยคอเส้นนั้นเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขามอบให้กับเธอ
เป็นสร้อยคอที่งดงามและราคาแพงมาก แต่เธอต้องการตัดขาดจากเขาอย่างไม่มีเยื่อใย เธอจึงใส่สร้อยคอนี้เข้าไปในเก๊ะรถ ในเก๊ะรถมีหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง
ติงยียีชะงักแล้วหยิบหนังสือนิทานขึ้นมาเปิดดู ทำให้หวนคิดถึงคืนที่อยู่ปารีสที่เย่เนี่ยนโม่อ่านนิทานให้ตัวเองฟัง
เธอยิ้ม อยากจะเก็บหนังสือนิทานกลับไปไว้ที่เดิม แต่นิ้วมือกลับกำไว้แน่น เธอถอนหายใจ จากนั้นเก็บหนังสือนิทานไปใส่ไว้ในกระเป๋า ของที่ไม่อยู่ในสายตาแบบนี้เขาคงไม่น่าจะสนใจหรอกมั้ง ให้เธอเก็บไว้เป็นความทรงจำแล้วกัน
ประตูถูกเปิดออก ลมเย็นได้พัดโชยเข้ามา สักพักร่างหนึ่งก็ได้บังลมเย็นนั้นไว้ เย่เนี่ยนโม่วางถุงหนึ่งถุงลงในมือของเธอ
ติงยียีเปิดถุงออก แล้วหยิบจี้กระต่ายเล็ก ๆ สีขาวออกมา เย่เนี่ยนโม่นั่งนิ่งแล้วมองดู “พนักงานสาวที่ขายอาหารดึงดันที่จะแถมให้”
ติงยียีถือเล่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นทันใด:“ของขวัญที่คุณให้ฉันครั้งก่อน ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญตอบคุณเลย หรือว่าสิ่งนี้ถือเป็นของขวัญจากฉันแล้วกันนะ”
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองจี้กุญแจที่มือของเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็ขับรถต่อไปอย่างเงียบๆ
ติงยียีกะพริบตา “ในเมื่อคุณไม่ชอบ อย่างนั้นก็คงต้องโยนทิ้ง” เธอเปิดกระจกรถ มือข้างหนึ่งได้ยื่นมาแย่งจี้ที่อยู่ในมือของเธอไป
ติงยียียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นริมฝีปากอุ่นขึ้นฉับพลัน สายตาเย่เนี่ยนโม่ที่เคร่งขรึม “รอดูนะว่าคืนนี้ฉันจะจัดการเธออย่างไร”
รถยนต์ได้แล่นมาถึงที่หน้าสำนักงานทนายความ ติงยียีเปิดประตูรถแล้วโบกมือให้กับเย่เนี่ยนโม่
จู่ ๆ เย่เนี่ยนโม่ก็รู้สึกใจคอไม่ดี จนถึงขั้นลังเลใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนตีงยียีดีไหม
ติงยียีกำลังจะหันหลังก็ถูกเรียกขึ้น เสียงของเย่เนี่ยนโม่มีความกระวนกระวายใจเล็กน้อย “มีร้านอาหารเปิดใหม่ คืนนี้ฉันจะพาเธอไปทานนะ”
ติงยียีจ้องเขาราวกับอยากจะบันทึกความทรงจำของเขาไว้สมองทั้งหมด สักพักเธอพยักหน้า และฉีกยิ้มกว้างขึ้น “ค่ะ ฉันจะรอคุณนะ”
กระทั่งรถได้เคลื่อนจากไปจนไม่เห็นเงา ติงยียีถึงได้หันหลังไปอย่างเงียบ ๆ เธอยกเท้าก้าวเดิน แต่กลับไม่สามารถที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้
ในห้องทำงาน หลังจากสวีเห้าเซิงเห็นการปรากฏตัวของติงยียีแล้ว ถึงได้ถอนหายใจยาว ๆ ออกมา “ยียี หนูมาแล้วเหรอ”
เขาเดินเข้าไปต้อนรับ แต่กลับถูกน้ำตาของเธอทำให้ตกใจ เขาจึงรีบถามขึ้น “ยียีเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”
ติงยียีส่ายหน้า “พวกเราเริ่มกันเถอะ” กระบวนการขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่น ติงยียีรู้สึกว่าน่าทึ่งมาก หลังจากเซ็นสัญญา เธอก็จะสามารถเป็นเศรษฐีโดยไม่ต้องทำอะไร ที่เหมือนกับตัวเองในตอนนั้นที่จู่ ๆ ได้เป็นลูกของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของประเทศอย่างสวีเห้าเซิง
สวีเห้าเซิงเก็บเอกสาร ครุ่นคิดสักพักแล้วสุดท้ายก็กล่าวขึ้น :“อย่าไปตำหนิแม่ของหนูเลย นิสัยของแม่หนูก็เป็นแบบนี้แหละ”
ติงยียีดูนาฬิกาครู่หนึ่ง เธอไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าในเอกสารนั้นมีเลขศูนย์กี่ตัว เธอก็รีบเก็บเอกสารแล้วกล่าวขึ้น “แม่ของฉันเสียไปตั้งนานแล้ว”
สวีเห้าเซิงรู้ว่าเธอไม่มีทางที่จะให้อภัยเขากับซือซือได้เร็วขนาดนั้น จึงได้แต่ถอนหายใจ
ติงยียีจากไปอย่างรีบร้อน สวีเห้าเซิงลืมท่าทางการร้องไห้ของเธอเมื่อสักครู่ไม่ได้ จึงได้เดินตามออกไปที่หน้าประตูใหญ่ ติงยียีได้โทรศัพท์หาชิวไป๋ “อืม เธออยู่สนามบินแล้วเหรอ ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
“ยียีหนูจะไปไหน” สวีเห้าเซิงถามเธอด้วยความประหลาดใจจากด้านหลัง ติงยียีหันหลังไปมองเขา ลังเลว่าจะบอกเขาดีหรือไม่
สวีเห้าเซิงลนลาน “ฉันจะไปถามเนี่ยนโม่เอง”
“ไม่ต้อง” ติงยียีรีบเอ่ยปากขึ้น เธอมองไปยังท้องฟ้าที่ค่อนข้างมืดมน แล้วกล่าวเบาๆ “ฉันตัดสินใจที่จะปล่อยมือจากเย่เนี่ยนโม่ ฉันกำลังจะไปต่างประเทศแล้ว”
“ปล่อยมือจากเนี่ยนโม่?” ถึงแม้ว่าสวีเห้าเซิงจะพยายามช่วยอ้าวเสว่รักษาความสุขไว้มาโดยตลอด แต่เขาก็ดูออกอย่างชัดเจนว่าลูกสาวคนเล็กของตัวเองนั้นชอบเนี่ยนโม่จริง ๆ และเนี่ยนโม่ก็ชอบเธอด้วยเช่นกัน
ติงยียีมองดูเขาอย่างน่าขัน แววตาเศร้าเล็กน้อย “คุณอยากให้ฉันปล่อยมือจากเนี่ยนโม่มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ตอนนี้ฉันก็ทำแล้ว คุณน่าจะดีใจถึงจะถูก”
สวีเห้าเซิงเจ็บปวดใจจนพูดอะไรไม่ออก นี่คือการลงโทษจากสวรรค์ จะต้องใช่อย่างแน่นอน หัวใจของเขาเจ็บปวดจริง ๆ หัวใจของติงยียีเองก็เจ็บปวดเช่นกัน เธอหันหลังแล้วเดินไปโบกรถแท็กซี่ที่แล่นอยู่ไม่ไกล จากนั้นหันหน้ามาแล้วกล่าวเบา ๆ :“ในใจของคุณ คนที่คุณเป็นห่วงมากที่สุดก็คืออ้าวเสว่ ไม่ใช่ฉัน ตอนนี้เธอมีลูกแล้ว ต่อไปก็คงน่าจะพึ่งพาลูกให้ได้ดิบได้ดีได้ คุณเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”
“ยียี! ริมฝีปากสวีเห้าเซิงสั่น คำพูดของเธอราวกับมีดที่กรีดเข้ามาในหัวใจของเขา เขาอยากจะอธิบายมาก อธิบายว่านั่นเป็นเพราะตัวเองมีวาสนาได้พบกับอ้าวเสว่หลายครั้งเมื่อตอนเด็ก ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ อธิบายว่าตั้งแต่เด็กอ้าวเสว่เติบโตอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้อง แต่ว่าอย่างน้อยเธอก็ยังมีพ่อที่ดีและรักเธอมากอย่างติงต้าเฉิน
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย ในที่สุดก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไปถึงที่นั่นจงดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
ติงยียีพยักหน้าเบา ๆอย่างเงียบ ๆ เสียงแตรรถแท็กซี่ได้ดังขั้นจากด้านหลังของเธอ ติงยียีหันไปมองครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะกล่าวคำลากับสวีเห้าเซิง ทันใดนั้นก็เห็นน้ำตาของเขา
น้ำตาไหลออกมาจากหางตา และหางตาของเขานั้นมีรอยย่นที่เห็นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าไม่ใสเนียนเหมือนตอนวัยรุ่น ร่างกายก็ไม่ได้กำยำ ดูโรยราด้วยซ้ำในเวลานี้
นั่นคือสัญญาณของความชรา จู่ ๆ ติงยียีก็รู้สึกใจหายเล็กน้อย เธอก้าวเข้ามาด้านหน้าแล้วกอดเขาเบา ๆ ภายใต้ความประหลาดใจในแววตาของเขา “รักษาตัวด้วย”
เธอพูดเบา ๆ จากนั้นก็เข้าไปในรถโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ในรถได้เปิดฮิตเตอร์ไว้ หน้าต่างรถจึงขุ่นมัวด้วยไอหมอกหนา เธอปัดไอหมอกนั้นออก แล้วพบว่าคุณพ่อยังคงอยู่ในท่ากอดเมื่อสักครู่ หัวใจเธอจึงบีบรัดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ไปคิด และเปล่งเสียงอย่างสะอึก “ออกรถเถอะ”
ในสนามบิน เย่ชูหวินได้รับพาสปอร์ตแล้ว เมื่อชิวไป๋เห็นติงยียีก็รีบเดินปรี่เข้าไปหาทันที “เรื่องฝากฝังดูแลแพนด้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตั๋วเครื่องบินพาสปอร์ตต่าง ๆ ก็ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เมื่อถึงอเมริกาต้องระวังตัวให้ดี”
ติงยียีพยักหน้า เบ้าตาชิวไป๋แดงก่ำ เหลือเพียงไม่ได้ร้องไห้ออกมาเท่านั้น แต่สีหน้าของเย่ชูหวินกลับเป็นปกติ เขาคิดไว้แล้ว เมื่อติงยียีไปอเมริกา เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ในประเทศต่ออีก รออยู่เป็นเพื่อนคุณย่าอีกสักสองสามวัน เขาก็จะหาข้ออ้างไปอเมริกา
เวลานี้ เสียงประชาสัมพันธ์ทางสนามบินได้ดังขึ้น สุดท้ายชิวไป๋ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ เธอกอดติงยียีไว้แน่น ยียีคลายอ้อมกอดของเธอออกอย่างอาวรณ์
เย่ชูหวินเพียงแค่โอบเธอเบาๆ ลมหายใจอุ่น ๆ ทำให้ติงยียีวิงเวียนเล็กน้อย และก้มศีรษะลงกระซิบที่ข้างหู “ไปเถอะ”
ติงยียีลากกระเป๋าเดินทาง พอจะก้าวเท้าเดินทีก็หันกลับมามองอย่างอาลัยอาวรณ์ จนในที่สุดก็เดินไปถึงหน้าประตูทางขึ้นเครื่อง ชิวไป๋เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุด คนเดินไปผ่านมามองเธอด้วยความสงสัย เย่ชูหวินตบที่ไหล่ของเธอเบา ๆ แล้วทั้งคู่ก็หันหลังจากไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกในใจที่แตกต่างกัน ชิวไป๋รู้สึกเป็นกังวล แต่เย่ชูหวินกลับรู้สึกมีความสุข ในที่สุดสวรรค์ก็ยอมให้เวลากับเขา การไปอเมริกาของติงยียีครั้งนี้เขาจะต้องคว้าไว้ให้ได้ เขาจะไม่มีทางที่จะปล่อยมือจากเธอไปอีก!
หน้าประตูทางขึ้นเครื่อง คนที่เดิมทีเดินเข้าไปแล้วได้เดินออกมาอย่างเงียบๆ ติงยียีมองแผ่นหลังของทั้งสองหายลับไปจากประตู น้ำตาที่เธอกลั้นไว้ไม่มีที่จะเก็บ จึงได้ปล่อยให้ไหลโฮออกมา
เธอเดินไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว คู่ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตา พนักงานขายตั๋วนึกว่าเธอเป็นอะไร จึงได้รีบเข้ามาทักทายเธอที่ร้องไห้อย่างเสียใจ “รบกวนช่วยคืนตั๋วให้ที และขอซื้อตั๋วใหม่ไปฝรั่งเศสค่ะ”
ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เธอนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ของสนามบิน เด็กน้อยที่อยู่ข้างเธอส่งเสียงดังตลอดเวลา คู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งเคียงข้างกันอ่านหนังสืออย่างกะหนุงกะหนิง
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วส่งข้อความหาเย่ชูหวิน “ชูหวิน หากคุณได้รับข้อความนี้ฉันคงจากไปแล้ว ขอบคุณที่ช่วยฉันเตรียมการทุกอย่าง แต่ว่าฉันอยากไปอีกที่หนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับมาเมื่อไหร่ โปรดอย่าคิดถึงกัน”
นิ้วมือเธอสั่นเมื่อพิมพ์ประโยคทั้งหมดนี้ ระหว่างพิมพ์มีลบๆเพิ่มๆ ตอนที่กดส่งนั้นรู้สึกว่าพลังทั้งหมดของตัวเองถูกสูบออกไปหมด เธอเอนแผ่นหลังไปพิงด้านหลัง ความเย็นนั้นได้แทรกซึมผ่านเสื้อเข้ามาในกระดูก
คุณย่าตระกูลเย่พูดถูก เธอจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ ในเมื่อเธอไม่สามารถตอบสนองความรักของเย่ชูหวินได้ อย่างนั้นเธอก็จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาตัดใจ ถึงแม้ว่าจะต้องทำให้เขาเกลียดตัวเองก็ตาม
เมื่อเย่ชูหวินกลับไปที่สนามบินอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากที่ได้รับข้อความ หัวใจของเขาว่างเปล่าจนหายใจไม่ออกเมื่อเห็นใครที่ดูคล้ายติงยียีเขาก็วิ่งเข้าไปหาเขาอยากจะเข้าไปในประตูขึ้นเครื่องอย่างบ้าคลั่ง แม้จะถูกตำรวจมองและตักเตือนก็ตาม
ทำไมติงยียีถึงได้จากไปแบบนี้ ไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก หัวใจของเขาเหมือนถูกควักออกมา แล้วได้ตามติงยียีไปโดยที่ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
ตอนค่ำ เขานั่งอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ในห้องไม่ได้เปิดฮิตเตอร์ จึงเห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิในห้องเย็นมาก มีแสงไฟของรถส่องแวบผ่านหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็มีการขยับเขยื้อน แต่ก็เป็นเพียงแค่การยกศีรษะเพียงเบา ๆ
เย่เนี่ยนโม่เดินเข้ามาอย่างเร็วดุจดาวตก แววตาดูเหนื่อยล้า สีหน้าดูน่ากลัว เขากระชากคอเสื้อของเย่ชูหวินขึ้น เส้นเลือดที่มือปูดโปน “เธออยู่ไหน”