เย่ป๋อไม่อยากจะมีเรื่องที่ต่างประเทศ นี่มันช่างยากลำบาก เขาขมวดคิ้วแล้วขับรถเข้าไปในซอยเล็ก ๆ เป็นไปตามคาด มีรถสามคันได้ขับตามเข้ามา รถได้จอดอยู่ที่ข้างถนน มีคนผิวสีสี่คนเดินลงมาจากรถ
“คนล่ะ!” คนผิวสีคนหนึ่งเดินมาที่ด้านหน้ารถ แล้วใช้ไม้เบสบอลทุบลงตรงด้านหน้ากระจกจนแตกละเอียด เขายื่นหน้าเข้ามาดู “น่าแปลก คนผิวเหลืองคนนั้นล่ะ”
คนอื่น ๆ ต่างสบถคำด่าตามหาคนอยู่ตรงนั้น “ฉันอยู่นี่” จู่ ๆ มีเสียงดังขึ้นจากด้านบน ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้น แล้วรับกับแสงแดด จากนั้นก็มีฝ่าเท้ากระแทกเข้ามาอย่างรวดเร็วที่ใบหน้าคนผิวสีสองคน
คนผิวสีถูกทุบต่อยจนต้องถอยหลังรัว ๆ จากนั้นตะโกนขึ้นพร้อมกับถือไม้เบสบอลมุ่งมาหาเย่ป๋อ เย่ป๋อใช้มือบังหน้าไว้ แผ่นหลังจึงถูกทุบเข้าอย่างจัง เขาจึงต้องหันหลังแล้วใส่หมัดกำปั้นลงไป
คนเหล่านี้ต่อสู้กันจนถนนไม่สามารถสัญจรได้ เย่ป๋อยิ่งต่อยก็ยิ่งดุเดือด ใส่หมัดไม่ยั้งที่ล้วนเป็นกระบวนท่าของการฝึกจากทหาร ทำให้คนผิวสีที่สูงเกือบสองเมตรยังไม่สามารถสู้เขาได้เลย สักพักคนนั้นจึงถูกต่อยจนวิ่งหนีหางจุกตูดไป
“ไอ้บัดซบ ไม่มีทางปล่อยมึงไปแน่ ต่อไปอย่าได้มาฝรั่งเศสอีก!” หนึ่งในคนผิวสีดุด่าสาปแช่ง จากนั้นก็ขับรถหนีไป
บนตัวของเย่ป๋อมีสีเลือดเจือปน เขาใช้มือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก หว่างคิ้วขมวดขึ้น คนเหล่านี้ดูเหมือนมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เป็นใครกันแน่ที่แอบคิดร้ายต่อเขา ไม่ ต้องบอกว่าคิดร้ายต่อเขาหรือคิดร้ายต่อตระกูลเย่กันแน่
ณ ตระกูลเย่ เย่เนี่ยนโม่คลายเนกไทออกแล้วนั่งลงบนโซฟาอย่างโรยรา จิตใจอ่อนล้า เขาตามหาติงยียีมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว สถานที่ที่นึกออกก็ได้ไปออกตามกันทั้งหมด
ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นอันหรันที่ซ่อนเธอเอาไว้ จึงแทบจะมุ่งไปทางอันหรันในการตามหาคน จนในที่สุดก็ต้องเชื่ออย่างสิ้นหวังว่าติงยียีไม่ได้ไปหาอันหรัน
เธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่ จะได้รับอันตรายไหม ถูกคนร้ายจับตัวไปแล้วหรือเปล่า สองสามวันมานี้ที่ลอสแองเจลิสมีข่าวคนถือปีนกราดยิง มีคนเสียชีวิต คนคนนั้นจะเป็นติงยียีหรือเปล่า ถ้าหากว่าใช่ อย่างนั้นเขาจะทำอย่างไรดี
“คิดจะทำการใหญ่ต้องไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ต้องยอมรับและเผชิญความเจ็บปวดทั้งปวง” ฝู้เฟิ่งหยีที่ยังไม่ได้จากไป เธอมองอ้าวเสว่แล้วกล่าวเบา ๆ
ในที่สุดอ้าวเสว่ก็หันหน้ามา เบ้าตาของเธอแดงเล็กน้อย ส่วนน้ำตานั้นได้ถูกดึงกลับไปแล้ว แต่น้ำเสียงยังคงแหบพร่า “หนูแค่หวังว่าจะมีที่สำหรับความเท่าเทียมในความรักเท่านั้น แค่นี้มันมากเกินไปเหรอคะ”
ฝู้เฟิ่งหยีค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ น้ำเสียงราบเรียบ “แต่งเข้าตระกูลเศรษฐีย่อมไม่มีคำว่าเท่าเทียมกัน เพราะบนโลกมีเย่เชินหลินเพียงแค่คนเดียว และก็มีเซี่ยชีหรั่นเพียงคนเดียวที่สามารถได้รับความรักแบบนั้น เสมือน นกกระจอกที่กลายเป็นหงส์อย่างสง่างาม”
นิ้วมือของอ้าวเสว่จับชายกระโปรงแน่น ข้อต่อนี้วมือขาวซีดเทาเพราะออกแรงเกินไป ฝู้เฟิ่งหยีมองเธอครู่หนึ่ง จากนั้นหันหลังขึ้นตึกไปซางหัวจึงรีบเข้าไปประคองเธอไว้
ซางหัวช่วยเธอจัดระเบียบเตียงในห้องนอนบนหน้าเธอนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ฝู้เฟิ่งหยีมองหน้าเธอครู่หนึ่ง “มีอะไรอยากพูดก็พูดมาเถอะ”
ซางหัวเม้มริมฝีปากแน่นแล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็กล่าวอย่างเคารพ “ท่านนายเย่ ดิฉันกำลังคิดเรื่องคุณชายอยู่ค่ะ คุณชายทั้งซื่อตรงและยังหนุ่มยังแน่น และคุณอ้าวเสว่ก็ไม่สามารถตอบสนองคุณชายได้ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ถ้าหากคุณชายถูกผู้หญิงไม่ดีหลอกใช้ อย่างนั้นคงต้องแย่แน่ ๆเลย ”
ฝู้เฟิ่งหยีมองเธออย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่น สิ่งที่ซางหัวกล่าวนั้นเธอก็เคยตระหนักถึง หลานชายของเธอตอนนี้กำลังอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของชีวิต ถึงแม้ว่าตัวอ้าวเสว่ก็ไม่เลว แต่การเพิ่มคนไปดูแลตัวเขาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร
ซางหัวเห็นเธอขมวดคิ้วแน่น ก็รู้ว่าท่านนายเย่เอาคำพูดของตัวเองนั้นไปวิเคราะห์แล้ว เธอจึงยิ้มแล้วก็ออกจากห้องไป เธอนึกว่าวันรุ่งขึ้นท่านนายเย่จะเริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงวันรุ่งขึ้นท่านนายเย่ก็ได้ติดต่อสตรีผู้มีตระกูลคนหนึ่งมาจริง ๆ แต่ก็ได้เรียกเย่ชูหวินมาด้วย
คนรับใช้เดินไปมาในห้องอาหาร ยกอาหารที่ไม่แพ้กับระดับโรงแรมห้าดาวมาเสิร์ฟ ฝู้เฟิ่งหยีทานอาหารอย่างสง่างาม หลังจากที่จิบไวน์แดงแล้วถึงได้ค่อย ๆ กล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ:“ชูหวิน ย่าเห็นว่าหนูก็อายุไม่น้อยแล้ว คุณจูหลินคนนี้เป็นลูกสาวคนรองของเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศ และก็กำลังเรียนอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เชื่อว่าพวกเธอคงจะสามารถสื่อสารกันได้”
“สวัสดีค่ะ จูหลินเองค่ะ คุณคือผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา” คุณจูหลินยกแก้วทรงสูงมาทางเย่ชูหวินด้วยรอยยิ้ม เธอพึงพอใจกับรูปลักษณ์และภูมิฐานของเย่ชูหวินมาก ตอนนี้ในบรรดาลูกเศรษฐีสามารถหาได้เช่นนี้มีไม่มากแล้ว
เย่ชูหวินชนแก้วกับเธอแล้วกล่าวเบา ๆ :“แต่น่าเสียดายที่คุณจูหลินไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเกิดความกระดากขึ้นทันใด เย่เนี่ยนโม่ที่กำลังดื่มไวน์แดงก็นั่งอย่างสบายใจอยู่นั้น เขาเมินเฉยกับสายตาอ้อนวอนขอความช่วยของคุณย่าตัวเอง และก็ถือโอกาสนี้ทำให้คุณย่าล้มเลิกความคิดที่ต้องการช่วยเขาจัดการปัญหาหัวใจ
“โอ้ อย่างนั้นฉันก็อยากทราบว่าในสายตาของคุณเย่ที่ว่าผู้หญิงสวยนั้นมีลักษณะอย่างไรกัน” จูหลินสมแล้วที่เป็นลูกสาวผู้ดี หลังจากที่ตะลึงงันครู่หนึ่งแล้ว ก็เริ่มสนทนาต่ออย่างครึกครื้นรื่นเริง
เย่ชูหวินวางแก้วไวน์ลง จากนั้นลุกขึ้นด้วยท่าทีที่สง่างาม แล้วจู่ ๆ เขาก็เข้าใกล้ตัวจูหลิน ใบหน้าที่หล่อเหลาจึงได้ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ใบหน้าของจูหลินแดงก่ำ ดูงดงามสะดุดตา
เย่ชูหวินจ้องมองเธอ ดวงตาใสแป๋ว และทันใดนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ขออภัย ผมไม่มีความสนใจที่จะแบ่งปันลักษณะของผู้หญิงผมรักที่สุดให้กับใคร”
เขายืดตัวตรง แล้ววางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ จากนั้นโค้งคำนับไปทางฝู้เฟิ่งหยี “คุณย่าครับ ต่อไปโปรดอย่าทำเรื่องแบบนี้อีก ผมรักเธอ ไม่ว่าเธอไปอยู่ที่ใด ผมก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนใจ”
“ชูหวิน! ต่อให้คุณย่าไม่ได้ห้าม แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ชอบแกนะ!” ฝู้เฟิ่งหยีลนลาน เธอก็มีหลานรักเพียงสองคนนี้เท่านั้น แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรต่อ!
ความกังวลบนใบหน้าของเย่ชูหวินค่อย ๆ เข้มข้นขึ้น แต่เขากลับใช้รอยยิ้มปกปิดไว้ในทันใด เขามองเย่เนี่ยนโม่ที่ใบหน้าเรียบเฉยแล้วกล่าวอย่างเสียงดัง “ถ้าหากมีคนไม่สามารถมอบความสุขกับเธอได้ อย่างนั้นความสุขของเธอผมก็จะขอรับผิดชอบเอง”
“เธอไม่มีวันที่จะเป็นของนาย” เย่เนี่ยนโม่กล่าวเบา ๆ เขาทนไม่ได้ที่จะให้ติงยียีไปอยู่กับคนอื่น
จูหลินมองดูใบหน้าตึงเครียดของทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ จึงได้คาดเดาในใจว่าสองคนนี้น่าจะชอบผู้หญิงคนเดียวกัน เป็นผู้หญิงคนไหนกันนะที่เสน่ห์แรงเช่นนี้
“ ทางเรานี่เสียมารยาทกับคุณจูหลินเกินไปแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ” ฝู้เฟิ่งหยีกล่าวขึ้นในทันที พ่อบ้านมองดูสีหน้าของเธอ จึงรีบก้าวมาด้านหน้าแล้วยืนข้างจูหลิน เธอย่อมเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย จึงพยักหน้าเบา ๆ แล้วตามพ่อบ้านออกไป
เย่ชูหวินพยักหน้าให้กับคุณย่า แล้วก็สาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปอย่างเร็วที่ตรงนี้ทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาได้เตรียมพร้อมที่จะไปเมืองนอกแล้ว ถึงแม้ติงยียีบอกว่าเธอจะกลับมา แต่เขานั้นก็ไม่อยากจะรออย่างหมดแรงอยู่ในที่แบบนี้ เขาต้องการออกไปตามหาเธอ
ใต้แสงจันทรา เย่ชูหวินก้าวเดินไปข้างหน้าจนกระทั่งมีเงาหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าเขา อ้าวเสว่ยืนรอเขาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ เขาเดินใกล้เข้าไป ภายใต้แสงจันทร์ได้เห็นถึงแผลพุพองที่เท้าของเธอ “คุณเป็นอะไร”
อ้าวเสว่ก้มหน้ายิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความเศร้า เย่ชูหวินคนที่เคยลักพาตัวเธอยังมีน้ำใจถามว่าเธอเป็นอะไร แต่เย่เนี่ยนโม่ไม่เคยสนใจเธอเลย จริงอย่างที่ว่าใครรักก่อนเจ็บก่อน
“หาตัวเธอเจอหรือยัง” อ้าวเสว่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ท้องของเธอนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เย่ชูหวินมองเธออย่างระมัดระวัง หันหลังแล้วเดินผ่านเธอไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับติงยียีเขาจะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
“เธอไม่กลับมา หรือพวกคุณสองคนลงเอยกันถึงจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ!” อ้าวเสว่ตะโกนจากด้านหลังเขา น้ำเสียงลอยดังอยู่กลางอากาศที่รู้สึกได้ว่าอ้างว้างมาก
เย่ชูหวินหันหลังมา “ฉันจะทำทุกวิถีทางอย่างเปิดเผยทำให้เธอรักฉันให้ได้”
อ้าวเสว่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น สองมือทับไว้บนท้อง แล้วเดินไปหาเขาทีละก้าว ๆ “นั่นเป็นเพราะว่าคุณรักเธอไม่มากพอ ถ้าหากว่าคุณรักเธอจริง จะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เธอมาครอบครอง แม้ว่าวิธีนั้นจะทำให้ถูกรังเกียจเหยียดหยามก็ตาม ขอเพียงมีเธออยู่ข้าง ๆ สิ่งเหล่านั้นจะไปสำคัญอะไร”
น้ำเสียงของเธอค่อย ๆ เบาลง ราวกับว่าเป็นการพูดให้ตัวเองฟัง เย่ชูหวินเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์รูปเสี้ยว แล้วกล่าวเบา ๆ :“การรักใครสักคนก็คือการไม่อยากเห็นคนนั้นต้องทุกข์ ถ้าหากว่าความทุกข์ของเธอนั้นเกิดจากคุณ อย่างนั้นความรักแบบนี้คือความรักที่ใช้ไม่ได้
เขามองดูอ้าวเสว่ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด จึงได้จากไปโดยไม่หันกลับมามอง คนบางคนถูกลิขิตมาให้เดินคนละเส้นทาง คำพูดบางคำพูดถูกกำหนดให้เข้าใจเพียงลำพัง
อ้าวเสว่มองดูแผ่นหลังของเขาอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตระกูลเย่ที่เธออยากแต่งเข้าไปนั้น ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ๆ คนในนั้นล้วนต่างกำลังหัวเราะเยาะตัวเอง พวกเขาทุกคนเห็นตัวเธอเป็นเพียงเครื่องมือคลอดลูกเท่านั้น
เธอรู้สึกอึดอัดและหดหู่ใจ จึงได้ขับรถไปรอบ ๆ เพียงลำพัง จนกระทั่งขับไปถึงบ้านเก่าที่เคยอยู่ สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ ที่ห้องรับแขกมีการเปิดไฟทิ้งไว้ และยังมีเงาราง ๆ เคลื่อนไหวไปมา
ในใจเธอเกิดความสงสัย แวบแรกที่คิดคือคุณพ่อได้กลับมาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณพ่อกลับมาจากเยอรมัน อย่างนั้นก็จะต้องโทรศัพท์หาเธออย่างแน่นอน
หรือว่าจะเป็นคุณแม่ มีเพียงเธอเท่านั้นที่มีกุญแจ เธอเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวแล้วก็หยุด ถ้าหากว่าไม่ใช่คุณแม่แล้วจะทำอย่างไร ถ้าหากเป็นผู้บุกรุก เธอก็คงจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ๆ
เธอเดินไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ แน่ใจว่าได้อยู่ห่างจากตัวบ้านพอสมควรแล้ว ก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา น้ำเสียงของซือซือในโทรศัพท์ดูค่อนข้างอารมณ์ดี “ลูกรัก อยู่บ้านตระกูลเย่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีค่ะ” อ้าวเสว่กล่าวด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ซือซือก็ได้กล่าวขึ้น : “แม่รู้ว่าคุณย่าของตระกูลเย่กลับไปแล้ว จำไว้ว่าจะต้องเอาอกเอาใจเธอ เอาใจเธอได้ก็เท่ากับว่าได้ก้าวขาเข้าสู่ประตูใหญ่ของตระกูลเย่แล้ว”
“หนูรู้แล้วค่ะแม่” อ้าวเสว่รู้สึกรำคาญเล็กน้อย วันนี้เธอไม่อยากจะพูดเรื่องตระกูลเย่ ซือซือฟังออกถึงคำพูดลวก ๆ ของเธอ น้ำเสียงจึงสูงขึ้น “ฉันว่าทำไมแกถึงไม่รู้จักเอาไหน แม่จะบอกแกไว้นะ ครั้งนี้ห้ามล้มเหลวเด็ดขาด!”
“ตู๊ด ๆ!” โทรศัพท์ถูกวางสายไป อ้าวเสว่ยิ้มเศร้า ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าคนในห้องนั้นเป็นคุณแม่นะ นี่ช่างน่าขำมาก ๆ คนที่มีอายุยืนยาว สติก็เริ่มลดลงตามอายุจริง ๆ
แววตาของเธอเย็นชาลงทันที ที่นี่เป็นบ้านของเธอ เป็นเพียงสถานที่เดียวที่เธอสามารถมาหลบซ่อนยามที่เสียใจ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี ก็จงไสหัวออกไป
เธอเก็บท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่แข็งแรงใต้ต้นไม้ขึ้นอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ เขยิบเข้าไปใกล้ระเบียงห้องรับแขก เนื่องจากตั้งครรภ์อยู่ เธอจึงปีนขึ้นไปบนกระถางดอกไม้เพื่อขึ้นไปบนระเบียงได้ค่อนข้างลำบาก
บนระเบียงมีเงาหนึ่งได้แวบผ่านไป เธอค่อย ๆ ดึงประตูกระจกออก จากนั้นก็พุ่งเข้าไปแล้วยกท่อนไม้ฟาดไปที่เงาร่างนั้น ระหว่างทางท่อนไม้ในมือนั้นก็ถูกคนคว้าไว้ได้อย่างง่ายดาย