ในสมองของอ้าวเสว่เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าแย่แล้วตัวเอง จึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างหมดหวัง จากนั้นก็สะดุดกับสายตาอันอบอุ่นนั้น เหยนหมิงเย้ามองเธออย่างเงียบ ๆ เขาได้พยายามห้ามใจตัวเองไม่ไปหาเธอ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ไม่มีเธอ รับรู้ข่าวจากคุณแม่ว่าเธอได้เข้าไปอยู่ที่ตระกูลเย่แล้ว ดังนั้นจึงได้ย้ายมาที่บ้านเก่าของเธอ คิดเพียงอย่างเดียวว่าอย่างน้อยก็มีกลิ่นอายของเธอที่สามารถบรรเทาอาการนอนไม่หลับของเขาได้
“เหยนหมิงเย้า!” อ้าวเสว่กัดฟันและสะบัดมือของเขาทิ้งอย่างแรง จากนั้นตะคอกขึ้น:“แกจะทำอะไร นี่มันบ้านของฉันนะ ฉันตกใจหมดเลย!”
ขาของเธอยังคงสั่นเทา การจู่โจมเมื่อสักครู่ได้สูบพลังของเธอไปหมด หัวใจของเธอตอนนี้ยังคงเต้นตึกตักไม่หยุด สักพักเหยนหมิงเย้าได้ตอบกลับมาเบา ๆ “ขอโทษ”
“ไสหัวออกไปซะ” เธอหยิบหมอนขึ้นจากโซฟาแล้วโยนใส่ตัวของเหยนหมิงเย้า ในใจขุ่นเคือง ทำไมแม้แต่เขาก็ยังมารังแกตัวเอง เห็นอยู่ตำตาว่าเขาทำผิดต่อเธอ!
เหยนหมิงเย้ายืนให้เขากระทำได้อย่างอำเภอใจ จนกระทั่งเธอหมดแรงไปในที่สุด “คนตระกูลเย่ทำไม่ดีต่อเธอเหรอ”
ใบหน้าของเขาบึ้งตึง เวลาในขณะนี้ถือว่าดึกแล้ว ทำไมตระกูลเย่ถึงปล่อยให้คนท้องอย่างเธอเดินเพ่นพ่านอยู่ด้านนอก ถ้าหากว่าเจอคนไม่ดีแล้วจะทำอย่างไร
อ้าวเสว่ทรุดลงนั่งลงอยู่บนโซฟา เธอต้องนั่งถ่างขาออกเนื่องจากตั้งครรภ์ นี่จึงทำให้เธอรู้สึกเขินอายและลำบากเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่รบกวนแกให้มาลำบากใจหรอก รีบไสหัวออกไปซะ”
เหยนหมิงเย้ามองส่วนท้องของเธอที่นูนออกมา ถอนหายใจเบา ๆ กำลังคิดที่จะจากไป สายตาก็เหลือบไปเห็นเท้าที่พุพองของเธอ
อ้าวเสว่ตกใจกับการแสดงออกที่น่ากลัวของเขา เธอก้มลงมองตามสายตาของเขา จากนั้นก็ซ่อนเท้าของตัวเองลงอย่างไม่รู้ตัว แววตาของเหยนหมิงเย้าดูน่ากลัว ใบหน้าเคร่งขรึม ได้กำหมัดแน่นแล้วก็คลายออกอย่างอ่อนแรงในที่สุด
เขาหันหลังไปอย่างเงียบ ๆ จากนั้นไปค้นหากล่องยาบนตู้อย่างคุ้นชินทาง อ้าวเสว่อยากจะหลบเขา แต่กลับถูกเขาคว้าดึงข้อเท้ามาวางไว้ที่ตักของตัวเขา
“ไสหัวไป! ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง!” อ้าวเสว่ขัดขืน เหยนหมิงเย้าแม้แต่หน้าก็ไม่เงยและคว้าเท้าของเธอมา แล้วหาแผลเพื่อที่จะใส่ยา น้ำเสียงเคร่งขรึม :“ขยับอีกผมจะจูบคุณ”
อ้าวเสว่ได้แต่เงียบ มองจากมุมของเธอ เห็นเพียงผมที่หนาตึบของเขาเท่านั้น บนผมยังมีคราบน้ำที่ดูเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ
สักพัก เธอถึงตระหนักได้ว่าตัวเองจ้องมองเหยนหมิงเย้าอยู่นานหลายนาทีแล้ว หัวใจของเธอสับสนและก็เบนสายตาไป เหยนหมิงเย้าค่อย ๆ บรรจงช่วยเธอจัดการกับแผลอย่างอ่อนโยน
เขารู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับตระกูลเย่ แต่กลับไม่สามารถที่จะเอ่ยปากได้ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่นไม่ใช่หรือ เขาหัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นวางเท้าอ้าวเสว่ลงแล้วเตรียมจะลุกขึ้น
อ้าวเสว่เก็บเท้ากลับอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นท้องได้ร้องจ๊อก ๆ ขึ้น เธอรีบเงยหน้าขึ้น เหยนหมิงเย้ามองเธอแล้วก็นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามเธอ จากนั้นหยิบแผ่นเมนูอาหารที่สามารถโทรสั่งได้24ชั่วโมงที่อยู่ใต้โต๊ะน้ำชา
“699-287-112” อ้าวเสว่พึมพำ “โจ๊กร้านนี้อร่อย”
เหยนหมิงเย้าถอนหายใจ “ทำไมถึงไม่ยอมใช้ชีวิตที่ถูกรักถูกเอาใจ แต่กลับไปเลือกใช้ชีวิตแบบนั้น”
อ้าวเสว่เงียบ ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากตอบ แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่รู้จะตอบอย่างไร แววตาของเหยนหมิงเย้า ทำให้เธอรู้สึกว่าถึงความสงสาร เธอรีบผลักเขาออกแล้ววิ่งหนีออกไป ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่สักวินาทีเดียว
อ้าวเสว่กลับบ้านไปด้วยใจที่ตกตะลึงพรึงเพริด เห็นซางหัวที่กำลังจะออกจากบ้านพร้อมกับกระติกน้ำร้อน เธอจึงรีบทำหน้าร่าเริงแล้วกล่าวถามขึ้น “คุณชายเย่ล่ะ”
“คุณชายไปที่ทำงานแล้วค่ะ ท่านนายเย่เห็นว่าคุณไม่อยู่ จึงให้ดิฉันส่งซุปไปให้คุณชายค่ะ” ซางหัวก้มหน้าแล้วตอบกลับ
อ้าวเสว่มองซุปแล้วขมวดคิ้ว เธออยากจะไปส่งเอง แต่เหมือนว่าท้องเจ็บขึ้นเล็กน้อย บวกกับการจู่โจมของเหยนหมิงเย้าเมื่อสักครู่นี้ ทำให้เธอไม่มีแรงที่จะรับมือกับความเย็นชาของเย่เนี่ยนโม่ได้อีก เธอโบกมือ แววตาของซางหัวยิ้มขึ้นอย่างมีชัย
ที่ตึกของบริษัทเย่ซื่อมีเพียงห้องเดียวที่ยังเปิดไฟไว้ เย่ป๋อยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างซื่อสัตย์ รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขาดีขึ้นมากแล้ว เหลือเพียงหางตาที่ยังคงมีรอยม่วงช้ำจาง ๆ
“ชายแก่ที่ชื่อAlinไม่เคยมาประเทศจีน น่าจะไม่มีความบาดหมางกับบริษัทเย่ซื่อครับ” เย่ป๋อกล่าวอย่างเคร่งขรึม จากการไปสืบเสาะมา เขารู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นน่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
“ไปฝรั่งเศสอีกครั้ง ครั้งนี้จะต้องทำสำเร็จให้ได้กับการร่วมมือกับแบรนด์ของนักออกแบบคนนี้ ถ้าไม่สามารถสืบข่าวจากตัวเขา ก็ให้ลงมือกับคนรอบข้างของเขา” เย่เนี่ยนโม่สีหน้าเคร่งขรึม เขามองรอยแผลบนใบหน้าของเย่ป๋อ น้ำเสียงก็ยิ่งเคร่งขรึม “ครั้งนี้ผมจะส่งคนของตระกูลเย่ติดตามไปด้วย”
“คุณชาย ครั้งก่อนผมทำพลาดไป อย่างไรครั้งนี้ผมจะไม่ทำพลาดแบบครั้งนี้อีก” สีหน้าของเย่ป๋อค่อย ๆ หดเกร็งขึ้น แรงอาฆาตที่ปกปิดไม่มิดจนปรากฏออกมาให้เห็น จึงทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
เย่เนี่ยนโม่เอามือบีบที่ดั้งจมูก แววตาเหนื่อยล้า “อีกสองวันผมจะไปอเมริกา”
เย่ป๋อรู้ว่าคุณชายไปทำอะไรที่อเมริกา จึงได้แต่ภาวนาในใจว่าครั้งนี้ขอให้ได้ข่าวคราวของคุณติงยียีกลับมา
มีเสียงเบา ๆ ดังขึ้นนอกประตู ทั้งสองคนสบตากันแล้วหยุดพูดคุยทันทีซางหัวที่แอบฟังอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด เวลานี้ก็ได้เคาะประตูดังขึ้น หลังจากที่เย่ป๋อเปิดประตูให้เธอแล้ว ถึงได้แสร้งกล่าวอย่างขอโทษ “ขออภัยค่ะคุณชาย ท่านนายเย่ให้ดิฉันมาส่งซุปให้ท่านค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า “วางไว้ตรงนั้นได้เลย”
ซางหัวเดินมาถึงด้านหน้าของเขา กำลังเตรียมที่จะวางซุปลงไปบนโต๊ะ เท้าก็เกิดการสะดุดลื่น จนร่างไถลไปทางเย่เนี่ยนโม่ เธอคิดว่าคุณชายจะต้องรับเธอไว้อย่างแน่นอน เมื่อเธอล้มลงไปจนใบหน้าบูดเบี้ยว ถึงได้พบว่าคุณชายได้ยืนห่างออกไปสองสามก้าว และกำลังจ้องมองมาทางเธอ
เสื้อของเย่เนี่ยนโม่ถูกสาดเข้าเต็ม ๆ ด้วยน้ำซุป เขาขมวดคิ้วแน่นทนไม่ได้กับของมันเยิ้มแบบนี้ ซางหัวจึงรีบลุกขึ้นมา แววตาหวาดกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“ขอโทษค่ะคุณชาย ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ ท่านไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะนำไปทำความสะอาดให้ตอนนี้เลยค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่หนวดคิ้ว เขาเดินไปที่ห้องเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ แล้วเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ออกมา มองซางหัวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม :“ทิ้งไปซะ”
ซางหัวพยักหน้า แล้วรีบไปที่ห้องหยิบเสื้อออกมา ในห้องทำงานมีเสียงการสนทนาดังขึ้นอีกครั้ง ซางหัวยกรอยยิ้มที่งดงามแกมน่ากลัวขึ้นในความมืด
ณ ตระกูลเย่ซางหัวเดินเข้าประตูมา ฝู้เฟิ่งหยีที่กำลังดื่มซุปบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอทำเป็นประจำ ดื่มซุปบรรเทาอาการนอนไม่หลับในเวลาสี่ทุ่ม ส่วนซางหัวที่จัดสรรเวลาได้พอดิบพอดี เธอจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นหน้าของฝู้เฟิ่งหยีก็ยังรู้สึกลนลานเล็กน้อย
ในใจของซางหัวครุ่นคิด จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี้ไม่มีทางที่ไม่สนใจสีหน้าท่าทางของเธออย่างแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ฝู้เฟิ่งหยีกล่าวอย่างเมินเฉย:“เป็นอะไร”
เธอแกล้งทำเป็นตกใจ ทำเป็นแอบซ่อนเสื้อไว้ด้านหลัง น้ำเสียงที่น่าเกรงขามของฝู้เฟิ่งหยี คือท่าทางที่เธอฝึกฝนมาหลายสิบปีอย่างไม่ต้องสงสัยของชีวิตที่หรูหราสง่างาม เธอรีบเก็บอาการทันที ไม่มีท่าทีโกรธ “ ยังไม่พูดความจริงอีก!”
ซางหัวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ยื่นเสื้อที่อยู่ในมือออกมา แล้วก้มหน้าอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา ฝู้เฟิ่งหยีเห็นรอยแดงช้ำบนหัวเข่าของเธอ และก็มองไปยังเสื้อที่ดูออกได้ชัดเจนว่าเป็นของหลานชายตัวเอง
ท่าทางของเธอลึกซึ้งยากจะคาดเดาได้ สักพักกล่าวขึ้นเบาๆ :“ไปนอนเถอะ”
ซางหัวเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ท่านนายเย่จะพูดเพียงประโยคเดียว เธอในตอนนี้เรียบนิ่งนั้นเป็นเพราะอะไร เธอพยักหน้าพร้อมกับจิตใจที่กังวล ถือเสื้อผ้าแล้วขึ้นบนตึกไปที่มุมบันได เธอสูบดมกลิ่นจากเสื้ออย่างตะกละตะกลาม ท่าทางลุ่มหลงราวกับว่าทำแบบนี้ประหนึ่งได้ครอบครองเย่เนี่ยนโม่ก็ไม่ปาน เธองึมงำ “เย่เนี่ยนโม่ ฉันจะต้องได้ตัวคุณมาครอบครองให้ได้”
ทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่ภายใต้สายตาของอ้าวเสว่ มุมปากของเธอยกรอยยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ยืนอยู่บนชั้นสองของตึกแล้วมองลงมาดูท่าทางที่ลุ่มหลงของซางหัวที่อยู่ตรงมุมบันได อยากจะต่อกรกับเธอ อย่างนั้นก็เชิญได้เลย เธอจะต้องทำให้สาวใช้คนนี้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่ควรไปแตะต้อง!
อ้าวเสว่เดินมาถึงที่ห้องรับแขก ฝู้เฟิ่งหยีขมวดคิ้ว “ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ นอนดึกไม่ดีต่อลูกในท้องนะ”
อ้าเสว่กุมหน้าท้องแล้วเดินมาด้านหน้า จากนั้นยกแก้วน้ำชายื่นใส่มือของฝู้เฟิ่งหยีด้วยตัวเอง แล้วถึงกล่าวขึ้น “คุณย่าคะ สองสามวันมานี้หนูได้คิดไตร่ตรองมากมาย หนูรู้สึกว่าการตั้งท้องของหนู จะต้องมีเรื่องมากมายที่หนูไม่สามารถช่วยเย่เนี่ยนโม่ได้เลยค่ะ”
ฝู้เฟิ่งหยีมองเธออย่างเงียบ ๆ แล้วรอเธอกล่าวต่อ อ้าวเสว่ถอนหายใจ “หนูคิดว่าตัวซางหัวไม่เลวทีเดียว แถมยังกระฉับกระเฉง หนูคิดว่าในระหว่างที่หนูกำลังตั้งท้อง สามารถให้เธอไปดูแลเนี่ยนโม่แทนหนูได้ คุณย่าคิดว่าอย่างไรคะ”
คิ้วของฝู้เฟิ่งหยีที่ขมวดแน่นได้คลายออก ริ้วรอยบนใบหน้าของเธอก็ดูจางลง เธอพยักหน้า บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มเล็กน้อย “ดีมาก เธอสามารถคิดได้แบบนี้ก็ถือว่ามีแววเป็นสตรีตระกูล เข้ามาอยู่ในตระกูลเศรษฐี ใจต้องกว้าง”
มือของอ้าวเสว่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ได้กำชายกระโปรงขึ้น แล้วก็กำไว้แรง ๆ แต่ที่ริมฝีปากกลับยังคงมีรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนของคุณย่าค่ะ แต่ว่าชีวิตเนี่ยนโม่ค่อนข้างมีวินัยระเบียบ ดังนั้นหนูจึงอยากจะสอนซางหัวก่อน แล้วค่อยให้เธอไปดูแลเนี่ยนโม่ค่ะ”
ฝู้เฟิ่งหยีตบหลังมือของเธอด้วยความชื่นชม “ทำตามที่เธอบอกแล้วกัน เธอมีความคิดเช่นนี้ ฉันเองก็เบาใจ ช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน”
อ้าวเสว่มองดูแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป ในใจหัวเราะเยาะไม่หยุด เป็นเด็กดี? ขอเพียงแค่ให้หลานชายของคุณได้รับผลประโยชน์ทุกอย่าง ถึงจะเรียกว่าเป็นเด็กดีได้ อยากได้แค่ความสุขเล็กน้อยจากความเท่าเทียม ฉันก็คือไม่สมควรที่แต่งเข้าไปในบ้านตระกูลเศรษฐีว่างั้น คอยดูแล้วกัน เธอจะไล่ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายของเย่เนี่ยนโม่ไปให้หมด ไม่ว่าจะเป็นซางหัวหรือติงยียีก็ตาม
ณ ปารีส ติงยียีหมกมุ่นอยู่กับงานอยู่ในห้องออกแบบ Alinตะโกนจากข้าง ๆมาว่า “คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่ค่อยดูหนังสือของฉัน อย่าหาว่าฉันจู้จี้นะ บนโลกใบนี้นอกจากเซี่ยชีหรั่นจากประเทศจีนของพวกเธอที่สามารถเทียบกับฉันได้แล้ว ฉันก็ไม่เคยเกรงกลัวใครเลยจริง ๆ!
“ใช่ ๆ ๆ อาจารย์เก่งที่สุด อาจารย์เยี่ยมที่สุด อาจารย์เจ๋งที่สุดแล้ว” ติงยียีพลางวางเท้าของเธอที่ท้องของแพนด้าเพื่อรับความอบอุ่น พลางเอียงหน้ามามองการออกแบบของAlin เธอรู้สึกประทับใจมาก คิดไม่ถึงว่าตัวเองที่อายุยังน้อยก็ได้สัมผัสกับบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกถึงสองคนแล้ว
เอเลนเดินเข้ามาแล้ววางน้ำผลไม้ไว้บนโต๊ะของติงยียี จากนั้นกล่าวอย่างเอาใจ:“ คงเหนื่อยแล้ว ทานน้ำผลไม้ก่อนนะ”
ติงยียียิ้มให้เขาอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาพยายามฝืนใจเธอ เธอก็เริ่มอยู่ให้ห่างจากเขา จนแทบไม่อยากจะเจอหน้ากันตลอดไป
Alinที่อยู่ข้างๆ กระทืบเท้าขึ้น “ไอ้ลูกอกตัญญู ไม่นึกว่าจะแกเอามาเพียงแก้วเดียว”
ติงยียีที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวขึ้นอย่างจนปัญญา “อาจารย์คะ คำว่าลูกอกตัญญู ในประเทศจีนดูเหมือนจะไม่สามารถทใช้กับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดนะคะ”