ซางหัวรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวอย่างระมัดระวัง:“ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณนายคิดจริงๆนะคะ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณชาย ไม่คิดเลยสักนิดเดียวค่ะ”
อ้าวเสว่มองเธออย่างเย็นชา “ถึงคิดก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเขานั้นเป็นผู้ชายที่ทำผู้หญิงหลายคนหวั่นไหว”
ซางหัวไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่มองเธอครู่หนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว อ้าวเสว่ยิ้มขึ้นอีกครั้ง ลุกขึ้นแล้วมอบกล่องที่อยู่ในมือให้กับเธอ “มานี่ ตอนที่ฉันเข้ามาที่บ้านตระกูลเย่นั้น คุณย่าได้มอบของขวัญให้ฉันชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ฉันก็อยากจะให้เธอสักหนึ่งชิ้น ต่อไปพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง?”
ซางหัวรับมาด้วยความตื่นเต้น มองอ้าวเสว่ด้วยความซาบซึ้งใจ อ้าวเสว่ยิ้ม “เธอค่อย ๆ แกะของขวัญนะ ฉันไปก่อน”
มองดูแผ่นหลังของอ้าวเสว่หายไปแล้วซางหัวก็แกะของขวัญออก ในกล่องของขวัญคือเสื้อที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นส่วน ซางหัวกำกล่องกระดาษไว้แน่น ข้อต่อนิ้วที่ใช้แรงบีบมากเกินไปจนกลายเป็นขาวซีด เธอจ้องมองประตูอย่างดุเดีอด เธอจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ให้ได้!
รุ่งเช้าต่อมา เย่เนี่ยนโม่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ มีพ่อบ้านยืนอยู่ข้าง พร้อมที่จะรับคำสั่งของเขาตลอดเวลา แต่กลับเห็นสายตาของเขาจดจ่ออยู่ที่หน้าหน้าหนึ่ง โดยไม่มีการเปิดพลิกหน้าต่อไป
การเดินทางไปอเมริกาครั้งนี้ก็ยังคงไม่มีข่าวคราว ติงยียีราวกับหายสาบสูญจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็หาร่องรอยของเธอไม่เจอ
เย่เนี่ยนโม่กำหนังสือพิมพ์ไว้แน่น ในใจก็ยิ่งพร่ำเพ้อ ตอนแรกแค่เพียงต้องการตามหาตัวเธอให้เจอก็พอ ต่อมาก็เริ่มค่อย ๆ โมโหแล้วโกรธขึ้น เธอทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวเช่นนี้ ทิ้งให้เขาเจ็บปวดอยู่คนเดียวแต่ความรู้สึกตอนนี้ก็กลายเป็นความเกลียด อยากจะขังเธอไว้ข้างกาย ต่อให้เธอจะเกลียดหรือโกรธก็ช่าง ฃจะใช้โซ่ล่ามเธอไว้
“หลานชาย?” ฝู้เฟิ่งหยีมองเขาด้วยความเป็นห่วง ตลอดทั้งเดือนมานี้ความบ้าคลั่งของเย่เนี่ยนโม่อยู่ภายใต้สายตาของเธอ ความยึดติดของเด็กคนนี้ที่มีต่อคนรักนั้นช่างมากเกินไป เธอไม่ได้โกรธผู้หญิงที่ชื่อติงยียี เธอแค่อยากให้ติงยียีอดทนไว้จนกว่าอ้าวเสว่จะคลอดลูก นอกจากสถานะที่ไม่สามารถให้เธอได้ ยังมีอะไรอีกที่ไม่สามารถให้ได้ แต่ดูเธอสิ กลับหนีไปไม่ลาสักคำ!
“คุณย่า” เย่เนี่ยนโม่ได้ดึงจิตใจกลับคืนสู่ปกติ เพียงแต่ว่าแววตานั้นยังไม่สามารถกลบเกลื่อนความอาฆาตได้ ฝู้เฟิ่งหยีกล่าวเบา ๆ: “ท้องของเสี่ยวเสว่ก็ใหญ่มากแล้ว ฉันไม่ค่อยเชื่อใจหมอต่างชาติ วันนี้แกไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอหน่อยเถอะ”
อ้าวเสว่รีบเงยหน้าขึ้นมองเย่เนี่ยนโม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มหน้าทานโจ๊กอย่างสงบเสงี่ยม ซางหัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองด้วยความอิจฉา เมื่อไหร่กันที่เธอจะสามารถนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารของตระกูลเย่ และมีสถานะเท่าเทียมกับคนในบ้านของตระกูลเย่?
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้คัดค้าน “ครับคุณย่า”
เมื่อจะออกไป ซางหัวก็ได้ประคองฝู้เฟิ่งหยีและส่งทั้งสองคนออกจากประตู อยู่ ๆ อ้าวเสว่ทำท่าจะล้ม แขนเย่เนี่ยนโม่ข้างหนึ่งจึงรีบคว้าเอวของเธอ แขนอีกข้างหนึ่งก็คว้าแขนของเธอไว้ เขาขมวดคิ้ว “ระวัง”
อ้าวเสว่ตอบรับเสียงเบา ๆ จากนั้นก็หันหน้าไปทางฝู้เฟิ่งหยีแล้วทำท่าจะกล่าวลา แต่สายตากลับชำเลืองไปทางซางหัว ในแววตานั้นเต็มไปด้วยการท้าทาย เยาะเย้ย
มือของซางหัวที่วางไว้ด้านหลังได้กำแน่นขึ้น ความแค้นในใจก็ยิ่งมากขึ้น เย่เนี่ยนโม่จะต้องเป็นของเธอให้ได้ เมื่อขึ้นรถไป อ้าวเสว่อารมณ์ดีมาก มือกุมอยู่ที่หน้าท้องตลอดเวลา
“เนี่ยนโม่ เดี๋ยวพวกเราแวะทานอาหารด้านนอกด้วยกันสักหน่อยดีไหม นานแล้วที่ฉันไม่ได้ออกไป” มือทั้งสองข้างของอ้าวเสว่ไหว้ประกบกัน แล้วมองเย่เนี่ยนโม่ตาปริบ ๆ
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธ อ้าวเสว่จึงยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข เธอเปิดเก๊ะรถออก อยากจะใส่ครีมทามือที่เธอพกติดตัวเข้าไป เพราะอย่างไรอนาคตเธอก็สามารถใช้มันได้ไม่ใช่เหรอ
ในลิ้นชักมีเครื่องประดับสร้อยคอวางอยู่นิ่ง ๆ จนกระทั่งมีมือข้างหนึ่งรีบหยิบมันขึ้นมา
“เนี่ยนโม่! สร้อยคอชิ้นนี้สวยมาก เข้ากับแหวนของฉันเลย” อ้าวเสว่หยิบแหวนที่เลือกไว้ตอนหมั้นออกจากกระเป๋า เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเขา
เย่เนี่ยนโม่ไม่ขยับและก็ไม่พูด เอาแต่จ้องมองสร้อยคอที่อยู่ปลายนิ้วอย่างเงียบ ๆ คิ้วของเขาขมวดแน่น และจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้านหลังมีเสียงแตรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงดังแหลมหู แต่เขากลับนิ่งเหมือนพระที่กำลังเข้าฌาน ราวกับว่าโลกนี้เหลือเพียงแค่เขากับสร้อยเส้นนี้เท่านั้น
กระจกหน้าต่างรถถูกเคาะ มีตำรวจท่านหนึ่งมองคนสองคนในรถด้วยสายตาที่ตั้งคำถาม ในที่สุดเย่เนี่ยนโม่ก็ดึงสติคืนมา แต่ว่าสีหน้ากลับยิ่งเย็นชา
ตำรวจจราจรก็เหมือนกับจะทราบว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร หลังจากคุยกันไม่กี่คำแล้ว ก็ได้ทำการสตาร์ทรถใหม่ แต่บรรยากาศในรถกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างชิ้นเชิง
อ้าวเสว่จ้องสร้อยคอในหว่างนิ้วของเขาที่จับไว้ตลอดเวลา ข้างในจึงเข้าใจราง ๆ ว่าทำไมตอนนั้นที่ตัวเองเลือกแหวนวงนั้นเขาถึงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงขนาดนั้น ทำไมเวลาที่มองแหวนวงนี้แล้วเขาถึงใจลอย สามารถทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้คงมีแต่ติงยียีสินะ
รถยนต์ได้วิ่งราวกับฟ้าแลบมาจอดเทียบที่หน้าโรงพยาบาล ซางหัวสาวใช้ในบ้านตระกูลเย่ที่ได้มารอที่หน้าโรงพยาบาลอยู่ก่อนแล้วก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ ซางหัวเห็นใบหน้าที่โมโหของเย่เนี่ยนโม่ ก็รู้สึกมีความสุขในใจ
เธอนั้นขออนุญาตท่านนายเย่แล้วถึงได้มาที่ เมื่ออ้าวเสว่เห็นเธอ ตอนแรกคือตกใ จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้น และยิ้มเยาะเย้ยอยู่ในใจ ‘ดีมาก แม้แต่แบบนี้ก็ยังจะตามมาอีก อย่างนั้นฉันจะทำให้เธอได้ลิ้มลองความโมโหของชายที่เธอรักก็แล้วกัน’
ในห้องปรึกษาพิเศษของผู้อำนวยการโรงพยาบาล สูตินรีแพทย์หลายคนได้วนรอบตัวอ้าวเสว่ ซางหัวยืนกระสับกระส่ายอยู่ข้าง ๆ เอาแต่ชำเลืองมองออกไปด้านนอก ครุ่นคิดในใจว่า อ้าวเสว่จะไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เนื่องจากต้องทำการตรวจครรภ์ นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้อยู่กับคุณชายสองต่อสองตามลำพัง
มีหรือที่อ้าวเสว่จะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร เธอจึงกล่าวเบา ๆ :“สร้อยคอของฉันตกอยู่ในรถ เธอช่วยฉันไปเอามาหน่อยสิ”
ซางหัวถึงแม้จะไม่อยากไป แต่ก็ต้องทำตาม อ้าวเสว่มองแผ่นหลังของเธอแล้วก็ยิ้มขึ้น เมื่อสักครู่ตอนที่ลงจากรถเธอเห็นว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ถือสร้อยคอลงมาด้วย และได้ทิ้งไว้ในรถ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เรื่องนี้เธอจะต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์
ซางหัวหยิบสร้อยคอมาตามที่เธอต้องการ ขณะที่เดินมาที่ห้องสูติกรรมนั้น เธอได้มองสร้อยคอในมือครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วประหลาดใจว่าทำไมถึงได้มีสร้อยคอที่งดงามมากขนาดนี้
หัวใจของเธอถูกบีบรัดขึ้นอย่างรุนแรง อยากจะได้สร้อยคอเส้นนี้จริง ๆ ซางหัวส่องกระจก เห็นสร้อยคอส่งแสงระยิบระยับ เธออดไม่ได้ที่จะทำมาเทียบใส่กับตัวเอง “ฉันใส่แล้วถึงจะสวยที่สุด”
เธอพึมพำเบา ๆ สองมือปลดตะขอสร้อยคอออกอย่างไม่รู้ตัว แล้วทำการใส่เข้าไป จากนั้นมองดูกระจกที่สะท้อนตัวเองออกมา เพลิดเพลินกับความฝันอันแสนหวานที่ว่าได้เข้าไปสู่ตระกูลเศรษฐี
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเดินไปที่รถอย่างเร็ว เขาทิ้งสร้อยคอไว้ที่รถ เพราะว่าเขาต้องไปจัดการกับงานบางอย่าง และสร้อยคอเส้นนี้ได้ครอบงำความคิดของเขาทั้งหมด เขาไม่ชอบตัวเองที่เป็นเช่นนี้เลย
เขาเปิดประตูรถ ก่อนหน้านี้ยังครุ่นคิดถึงข่าวคราวที่เย่ป๋อได้ส่งกลับมาจากฝรั่งเศส วินาทีหลังต่อมาม่านตาของเขากลับหดลงทันที สร้อยคอหายไปแล้ว ซึ่งเหมือนกับติงยียีในตอนนั้น ที่บอกว่าจะเจอกันตอนเย็น แต่กลับหายตัวไป
เขารีบปิดประตูรถ รูม่านตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดกระหายเลือด การปรากฏของสร้อยคอเส้นนั้น ทำให้ความคิดถึงและความโกรธแค้นที่เขามีต่อติงยียีได้เพิ่มขึ้นจนถึงสุดขีด
แต่จู่ ๆ สร้อยคอดันหายไป ทำให้เขาตื่นตระหนกโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าติงยียีจะเป็นเหมือนกัน จะหายตัวไปตลอดกาล ไม่ เขาไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์ที่ไม่เคยใช้ออกมาอย่างเย็นชา แล้วโทรไปยังหมายเลขที่อยู่ด้านบนสุด นั่นคือทีมเบื้องหลังที่ให้บริการหัวหน้าตระกูลเย่ หนึ่งในนั้นที่ขาดไม่ได้คือทหารรับจ้าง และตอนนี้อำนาจการควบคุมครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือของเขา
ไม่นานก็มีสองคนที่สวมชุดดำได้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาโค้งคำนับให้กับเย่เนี่ยนโม่ จากนั้นก็ทำการเปิดคลิปขึ้นมา ในคลิปเห็นซางหัวเดินเข้าไปตัวรถ เปิดประตูรถทำการแล้วก็หยิบสร้อยคอออกมาจากตัวรถ
“ทำไมถึงไม่ห้าม” เย่เนี่ยนโม่ข่มความโกรธเอาไว้ แต่สีหน้ากลับเย็นยะเยือกจนรู้สึกน่ากลัว
ชายชุดดำทั้งสองคนสบตากัน ต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นถูกความโกรธที่ร้อนเป็นไฟเข้าครอบงำความคิดแล้ว หนึ่งในนั้นมีชายร่างสูงใหญ่ได้กล่าวอย่างสุขุมว่า:“คุณชายเย่ครับ พวกเราเป็นคนในที่ลับ มีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ถ้าหากว่าปรากฏตัว จะถูกคนคิดไม่ดีหลอกใช้ได้ง่าย เว้นเสีแต่เมื่อชีวิตของท่านจะตกอยู่ในอันตรายเราจะปรากฏตัวทันที”
เย่เนี่ยนโม่โบกมือ สายตาของเขาจับจ้องไปยังตัวอาคารของโรงพยาบาล แต่ใบหน้าที่เดิมทีโกรธโมโหกลับบีบรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา ซางหัวที่ยังไม่รู้ตัวว่าอันตรายกำลังจะมาถึง เธอกำลังถือโทรศัพท์ถ่ายรูปตัวเองแล้วโพสน์ลงในสตอรี่ของตัวเอง ให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ ได้อิจฉาตาร้อน เธอก็ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังจากไกลมาใกล้ เธอรีบเงยหน้าขึ้น เห็นคุณชายที่เข้ามาหาตัวเองด้วยรอยยิ้ม เธอไม่รู้ว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่เกรี้ยวกราด และยิ่งไม่เข้าใจว่ารอยยิ้มนั้นหมายถึงความโมโหสุดขีดของเย่เนี่ยนโม่
เธอมองคุณชายอย่างระมัดระวัง แล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้โกรธ เธอจึงเบาใจลง จากนั้นรีบทำการขอโทษขอโพย “ขออภัยค่ะ ดิฉันจะถอดเดี๋ยวนี้”
เธอนึกว่าคุณชายจะไม่สนใจประเภทสิ่งของที่ผู้หญิงใช้กัน และก็ยิ่งหวังอยากจะดึงดูดความสนใจจากเขา เธอสามารถรับความรู้สึกได้ถึงสายตาที่คุณชายมองมาทางตัวเอง นี่ทำให้เธอตื่นเต้นจนตัวแทบสั่น
เธอก้มหน้าลง มองรองเท้าหนังที่มันวาววับ ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เธอก็ถูกกระชากคอเสื้อขึ้น แรงของเย่เนี่ยนโม่นั้นเยอะมาก เธอจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นตามแรงบังคับ
ซางหัวมองคุณชายด้วยความหวาดกลัว ในแววตาของคุณชายเห็นถึงตัวเองที่หวาดกลัว ลิ้นของเธอแลบออกมาเล็กน้อยด้วยแรงที่บีบ รูม่านตาขยายใหญ่ อากาศที่บางเบาทำให้ปอดของเธอเจ็บแสบ เธอรู้ว่าคุณชายต้องการให้เธอตายจริง ๆ
“เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่พยุงท้องวิ่งออกมา เธอเองก็ตกใจกับอาการโมโหของเย่เนี่ยนโม่ และก็ยิ่งรู้ว่ามีรอบ ๆ นี้ต้องมีสายตาของฝู้เฟิ่งหยีจ้องมองอยู่ ในใจของเธอกำลังยิ้มอยู่ แต่ภายนอกของเธอกลับลนลานจับแขนของเย่เนี่ยนโม่ไว้
“เย่เนี่ยนโม่คุณปล่อยเธอไปเถอะ เธอทำอะไรผิดไปให้ฉันช่วยเธอแก้ไขนะ เป็นความผิดฉันเองที่ไม่สั่งสอนให้ดี ๆ”
สติของเย่เนี่ยนโม่ล่องลอย เขาปล่อยมือจากการกระชากบีบซางหัว แล้วก็คว้าสร้อยคอจากลำคอที่ขาวเนียนของเธอ จากนั้นก็โยนสร้อยคอนั้นทิ้งไปด้านนอก ของที่คนอื่นเคยใช้แล้ว เขาไม่มีทางที่จะนำไปให้ติงยียีอีกซางหัวล้มฟุบกองไปกับพื้น เขาเดินหันหลังจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
อ้าวเสว่มองจากมุมสูงลงมาร่างของซางหัวที่หายใจหอบหมอบอยู่บนพื้น “ทำหน้าที่คนใช้ของเธอให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เธออยากอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็อย่าหวัง”
ซางหัวจ้องมองเธอด้วยความโกรธ แววตาดุร้าย ราวกับจะถลกหนังเธอออกมาเสียให้ได้ อ้าวเสว่ยิ้มอย่างไม่แยแส หันหลังแล้วจากไป เธอยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ