พ่อบ้านที่อยู่นอกประตูรีบเดินเข้ามา เย่เนี่ยนโม่ถามขึ้นอย่างเคร่งขรึม:“เกิดอะไรขึ้น”
พ่อบ้านสีหน้าลนลาน แต่กลับก้มหน้า เมื่อสักครู่ท่านนายเย่เพิ่งจะกำชับว่าไม่ให้บอกคุณชาย เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วหนึ่งข้างขึ้น แล้วเพิ่มเสียงให้สูงขึ้น “พูด!”
“คุณอ้าวเสว่เจ็บท้อง แพทย์ชาวอเมริกันตอนนี้ลางานไม่ได้อยู่บ้านตระกูลเย่” พ่อบ้านรีบกล่าวขึ้น เย่เนี่ยนโม่ปิดประตูดังปัง ใช้เวลาห้านาทีในการสวมใส่เสื้อผ้า แล้วก็เดินตรงไปที่ห้องของอ้าวเสว่ จากนั้นสั่งกำชับ “ไล่ผู้หญิงที่อยู่ในห้องของผมออกไปจากบ้านตระกูลเย่”
อ้าวเสว่เห็นเย่เนี่ยนโม่ น้ำตาก็รื้นขึ้นเบ้าตาอย่างรวดเร็ว “ทำอย่างไรดีเนี่ยนโม่ ลูกของพวกเราอาจจะมีอันตราย”
เย่เนี่ยนโม่ก้าวมาด้านหน้าอย่างเงียบ ๆ แล้วโอบกอดเธอไว้ จากนั้นรับสั่งขึ้น:“เตรียมรถ”
รถได้มุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาล อ้าวเสว่กุมแขนของเย่เนี่ยนโม่ไว้แน่น ลมหายใจของเธอแผ่วเบา “เดิมทีฉันคิดไว้แล้ว รอให้คลอดลูกแล้วฉันก็จะจากไป จะไม่สร้างปัญหาให้คุณกับน้องสาวอีก ถึงแม้ว่าฉันกับเธอจะมีประสบการณ์ในการเติบโตที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นน้องสาวของฉัน”
ในที่สุดแววตาที่เย่เนี่ยนโม่มองดูเธอก็มีความอ่อนโยนลง เขาจับฝ่ามือของเธอเบา ๆ “ไม่ต้องคิดมาก นี่ก็ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว”
ระหว่างทาง โทรศัพท์เย่เนี่ยนโม่ได้ดังขึ้น เขาจึงกดเปิดลำโพง “คนของเราที่อเมริกาเหมือนจะได้บ่อแสของคุณติงยียีครับ”
แล้วรถก็ได้หยุดจอดข้างทางกะทันหัน อ้าวเสว่มองเย่เนี่ยนโม่ที่เดินจากไปเร็วดุจดาวตก แววตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก เธอลุกขึ้นนั่ง แววตาแห่งความเจ็บปวดค่อย ๆ กลายเป็นความเย็นชา มือสองข้างก็ได้ดึงออกจากหน้าท้อง คนขับรถทำการสตาร์ทรถเพื่อที่จะมุ่งไปโรงพยาบาล อ้าวเสว่จึงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา :“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว กลับบ้านตระกูลเย่”
ณ ปารีส ติงยียีตามหาของไปทั่ว เอเลนจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย:“คุณเป็นอะไร กำลังหาอะไรอยู่”
“เห็นหนังสือนิทานของฉันไหม ฉันวางไว้บนโต๊ะ” ติงยียีสีหน้ากระวนกระวาย จนเกือบจะร้องไห้ออกมา นั่นเป็นสิ่งปลอบใจของเธอเพียงสิ่งเดียวของการอยู่ต่างประเทศ
“เมื่อสักครู่มีพนักงานทำความสะอาดได้มาถามผมอยู่นะ” เอเลนเห็นท่าทีที่ลนลานของเธอ ในใจก็เกิดความทรมานใจ เขารู้สึกจริงจังกับติงยียีจริง ๆ แต่ใครให้ตัวเองก่อวีรกรรมไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงติงยียียังอยู่ที่ฝรั่งเศส เขาจะต้องทำให้เธอรู้สึกถึงความโรแมนติกของชายชาวฝรั่งเศสให้ได้
เขาเพิ่งจะออกจาประตูไป สาวใช้ก็รีบเรียกเขาให้หยุดลง “คุณเอเลนคะ มีผู้ชายชาวจีนคนหนึ่งต้องการพบคุณติงยียีค่ะ”
มาพบติงยียีอย่างงั้นเหรอ? เอเลนโบกมือให้คนรับใช้ถอยไป พลางครุ่นคิดในใจ หรือว่าจะเป็นเจ้าของหนังสือนิทาน? เขาเดินไปที่ห้องรับแขกตามที่สาวใช้ได้บอกไว้ ที่หน้าห้องรับแขกมีชายชาวจีนรูปร่างผอมบางนั่งอยู่
ชายหนุ่มพูดด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว:“ขออนุญาตถามว่าพวกท่านเคยเจอติงยียีหรือไม่ครับ ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอเพิ่งจะมาเดินแบบที่นี่”
เอเลนมองสำรวจเขา ไม่อาจปฏิเสธว่าชายหนุ่มคนนี้มีหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการอยู่ นอกจากร่างกายที่ดูอ่อนแอไปหน่อยแล้ว นอกนั้นภายนอกดูโดดเด่นมาก เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หรือว่านี่จะเป็นสเปคที่ติงยียีชอบ ชายชาวฝรั่งเศสมีส่วนไหนที่ไม่ดี!
เขาไม่อยากให้ติงยียีกลับประเทศจีนไปกับชายหนุ่มคนนี้ จึงได้โกหกไปว่า “ติงยียีอะไรของคุณ ผมจำไม่ได้ พักนี้ไม่มีคนจีนมาที่นี่ อีกอย่างพื้นที่ของAlinไม่ใช่ที่ใคร ๆ อยากจะเข้ามาก็เข้ามาได้ง่าย ๆ”
เย่ชูหวินพยักหน้า ในใจเกิดความผิดหวังจนยากจะปกปิด เขารู้สถานที่ที่ติงยียีเคยไป ดังนั้นสถานที่แรกที่เลือกมาก็คือฝรั่งเศส ถ้าหากว่าไม่เจอ อย่างนั้นเธอจะไปอยู่ที่ใดกัน
เขาพยักหน้าบอกขอบคุณ จากนั้นก็หันหลังจากไป เอเลนมองดูแผ่นหลังที่อ้างว้างของชายหนุ่ม ในใจเกิดความกังวล เขากลับไปที่ห้องออกแบบที่ติงยียีชอบอยู่เป็นประจำ ในห้องเต็มไปด้วยผลงานการออกแบบของติงยียี แต่ว่ากลับว่างเปล่าไร้เงาคน
หรือว่าเธอออกไปแล้ว? ถ้าหากว่าสองคนนั้นได้เจอกันก็คงจะต้องจบกัน เขาตบโต๊ะแล้ววิ่งออกไป ติงยียีงมาหาหนังสือนิทานในถังขยะที่อยู่ประตูหลังคฤหาสน์ เมื่อสักครู่เธอหาทั่วบริเวณคฤหาสน์แล้ว ได้พบกับพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง พนักงานทำความสะอาดบอกว่าหนังสือนิทานนั้นค่อนข้างเก่าชำรุด นึกว่าไม่เอาแล้วก็เลยทิ้งไป
เธอตามหาจนน้ำตาไหลออกมา ในใจกระวนกระวายสุดขีด ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางระยะไกลที่เหมือนรู้สึกราง ๆว่ามีเงาคนได้เดินผ่านไป
เงาคนนั้นช่างเหมือนกับเย่ชูหวินมาก เธอลืมตัวจนตะโกนออกไป “ชูหวิน!”
“ติงยียี!” ด้านหลังมีเสียงของเอเลนหายใจหอบวิ่งเข้ามาที่ด้านหน้าของเธอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลนลาน :“ผมหาหนังสือนิทานของคุณเจอแล้ว”
“อยู่ที่ไหน!” ติยียีกระโดดด้วยความดีใจ รีบกระชากดึงแขนของเขา “เร็ว รีบพาฉันไปเร็ว”
เอเลนเหลือบมองไปยังร่างที่อยู่ไกล ๆ ยิ้มแล้วดึงแขนของติงยียีเดินเข้าไปข้างใน “จะพาคุณไปเดี๋ยวนี้”
เย่ชูหวินที่ยืนอยู่ตรงกลางลานจัตุรัส คนรอบข้างเดินผ่านไปมา เขามองไปทางถังขยะด้วยความมึนงง เมื่อสักครู่เขาได้ยินคนเรียกเขาว่า “ชูหวิน” ใช่ไหม
เขายืนอย่างเงียบ ๆ ราวกับสัตว์ร้ายที่หาทางกลับบ้านไม่เจอ สักพักเขาก็ยิ้มเยาะตัวเอง บางทีอาจเป็นเพราะคิดถึงเธอมากเกินไป ดังนั้นจึงทำให้เกิดภาพหลอนที่น่าขำเช่นนี้ เขาส่ายหน้า แล้วรีบเดินทางไปยังประเทศอื่นเพื่อตามหาคนที่อยู่ในใจคนนั้น
เย่เนี่ยนโม่นั่งอยู่ในห้องประชุม การเดินทางไปอเมริกาครั้งนี้ก็เหมือนคว้าน้ำเหลวอีกตามเคย เขาจึงบินจากอเมริกาตรงมายังฝรั่งเศส ระหว่างนั้นได้นอนหลับอยู่บนเครื่องบินเพียงไม่กี่ชั่วโมง
แววตาของเขาเชือดเฉือน นิ้วมือเคาะอยู่บนโต๊ะหินอ่อน “Alinจะมาถึงเมื่อไหร่”
สาวใช้ในคฤหาสน์ถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจจนแข้งขาอ่อน Alinคิดว่าคนที่มาวันนี้ก็น่าจะเป็นเพียงพนักงานของบริษัทเย่ซื่อเท่านั้น ดังนั้นจึงได้นัดคนอื่นออกไปตกปลาแล้ว เหลือเพียงคุณติงยียีเท่านั้น
ใช่แล้ว ! สาวใช้จึงรีบกล่าวขึ้น :“Alinได้รับลูกศิษย์คนใหม่มาคนหนึ่ง มีบุคลิกที่สามารถทำให้คนอื่นโปรดปราน ยังบอกว่าจะถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดให้กับเธอ ดิฉันจะไปตามเธอมาเดี๋ยวนี้ค่ะ!”
เย่เนี่ยนโม่เงียบไม่พูดไม่จา สาวใช้จึงรีบถอยออกไป แล้วไปตามติงยียีมา ติงยียีที่กำลังวาดภาพอยู่ เป็นงานที่Alinได้มอบหมายไว้ มือของเธอเต็มไปด้วยผงหมึก แม้แต่หน้าก็ติดมาด้วย “คุณยียีคะ!” สาวใช้ได้เคาะประตู
“มีอะไรเหรอ” ติงยียีมองเธอด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของAlin แม้ว่าเธอจะสามารถทำตัวเย่อหยิ่ง แต่ว่าเดิมทีเธอก็เกิดมาจากครอบครัวธรรมดา จึงค่อนข้างเข้าใจคนรับใช้เหล่านี้
สาวใช้รู้สึกเกรงใจ “มีแขกท่านหนึ่งมาหาค่ะ แต่ว่าเจ้านายไม่อยู่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดีคะ”
ติงยียีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตามหลักแล้วเธอไม่มีสิทธิ์ในการช่วยจัดการเรื่องราวให้กับAlin จึงกล่าวอย่างสุขุม :“เอเลนล่ะ”
“ดิฉันก็หาเอเลนไม่เจอค่ะ!” สาวใช้ที่เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว คนในคฤหาสน์ที่เคยเห็นในปกติ ทำไมถึงไม่เจอเลยสักคนเดียว
ติงยียีวางดินสอถ่านลง แล้วหยิบผ้ามาเช็ดมือพลางกล่าวขึ้น :“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปเอง”
แพนด้าเห็นว่าเธอจะออกไป ก็ได้ลุกขึ้นตาม ติงยียีจึงห้ามไว้ “อยู่ที่นี่นะ ห้ามไปไหน ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้กินเนื้อวัวแห้ง”
แพนด้าฮึดฮัด แล้วก็นั่งลงไป ใช้เท้าหน้าปิดตาของตัวเองไว้ ใช้ท่าทางแบบนี้เพื่อต่อต้าน ติงยียียิ้มแล้วลูบหัวของแพนด้า จากนั้นลุกขึ้นเดินไปยังห้องประชุม
ติงยียีเดินมาถึงนอกประตู กำลังจะยกมือกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากห้องประชุม จึงได้หยุดชะงักขึ้น แววตาของเธอลนลาน ประตูที่อยู่ตรงหน้าราวกับเป็นปากของสัตว์ร้ายที่อ้ากว้างใหญ่ เธอถอยหลังรัว ๆ ทำไมเย่เนี่ยนโม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขาตามหาตัวเองเจอแล้วเหรอ เป็นไปได้อย่างไร
คำถามรัว ๆ ทำให้เธอเกือบจะเป็นลม สองมือของเธอสั่นเทา แววตาว่างเปล่า “พวกเขามาทำอะไรกัน”
สาวใช้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเธอ ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่ก็กล่าวไปตรง ๆ :“พวกเขานั้นมาคุยเรื่องธุรกิจค่ะ ก่อนหน้านี้เหมือนตัวแทนของพวกเขาก็เคยมา แต่ว่าถูกเจ้านายไล่กลับไป”
ติงยียีฝืนยืนอยู่นิ่ง ๆ แผ่นหลังของเธอพิงอยู่ผนังกำแพงที่เย็นยะเยือก ความเย็นแบบนั้นทิ่มแทงเข้ามาในประสาท ทำให้ความคิดที่เตลิดกลับมาสู่ที่เดิม
“ไปบอกพวกเขาว่า ฉันไม่ค่อยสบาย ให้พวกเขารอคุณAlinกลับมาแล้วค่อยเจรจากันอีกที” ติงยียีมองประตูที่อยู่ไกลออกไปไม่กี่ก้าวด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าเย่เนี่ยนโม่จะเปิดประตูออกมาอย่างฉับพลัน
สาวใช้มองสีหน้าที่ขาวซีดของเธอ จิตใจที่กระสับกระส่าย จึงคิดว่าเธอคงไม่สบายจริง ๆ จึงรีบรับคำสั่งแล้วก็จากไป มองดูแผ่นหลังของเธอที่เดินตรงไปทางห้องประชุม ติงยียีหัวใจเต้นแรง เธอรีบเดินกลับไปทางเดิมที่เดินมา
ในห้องประชุม “ขออภัยค่ะท่าน ลูกศิษย์ของคุณAlinไม่ค่อยสบาย เธอขอให้พวกคุณกลับมาอีกทีตอนที่คุณAlinอยู่ค่ะ”
เย่ป๋อขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นแผนของนักออกแบบคนนั้น เขาที่กำลังจะเอ่ยปาก เย่เนี่ยนโม่ก็โบกมือขึ้นด้วยท่าทีที่สงบ “ครับ”
เมื่อเดินออกมาจากห้องประชุม ดูเหมือนจะมีกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ เย่เนี่ยนโม่หยุดชะงักเท้า จากนั้นค่อยยกเท้าเดินจากไป
“อะไรนะ Alinจะกลับมาในอีกสามวัน!” ติงยียีลืมตัวตะคอกใส่แม่บ้านของคฤหาสน์เสียงดัง มีดและส้อมในมือของเธอได้ตกลงพื้น จนทำให้พรหมราคาสุดแพงนั้นเปื้อนสกปรก
“ขออภัยค่ะ ฉันไม่ควรตะคอกใส่เธอ และก็ไม่ควรทำมีดส้อมตก” ติงยียีรีบโน้มตัวไปเพื่อจะเก็บมีดส้อม ด้วยความรีบร้อนเกินไป จึงได้ชนเข้ากับแก้วทรงสูงที่อยู่ริมโต๊ะ ทำให้แก้วทรงสูงก็ตกลงไปแตกบนพื้น ไวน์แดงที่อยู่ในนั้นได้สาดกระจายเปื้อนเต็มพรหม
“ขอโทษค่ะ!” ติงยียีรีบขอโทษรัว ๆ แม่บ้านคนเก่าที่อายุมากกว่า50ปีได้จับมือของเธอไว้ จากนั้นยิ้มให้เธอย่างเมตตา “เด็กน้อย ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหากว่าหัวใจคุณไร้ที่พึ่ง อย่างนั้นก็ให้ไปที่โบสถ์คาทอลิก พระเจ้าอยู่ที่นั่นเพื่อนำทางให้กับคุณ”
ตอนกลางคืน โบสถ์คาทอลิกที่สูงตระหง่านถูกค่ำราตรีปกคลุม ไฟสีส้มบนพื้นทำให้สิ่งก่อสร้างนี้เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ติงยียียืนอยู่หน้าประตูโบสถ์มองดูลวดลายดอกไม้ที่ซับซ้อนอย่างเหม่อลอย
น่าขำชะมัด เธอมาที่นี่เพื่อหาที่พึ่งทางใจอย่างนั้นเหรอ เธอหันหลังเพื่อจะจากไป ได้มีลมพัดโชยมา ท้องฟ้ามีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น เธอรีบวิ่งไปด้านนอกสองสามก้าว คิดไม่ถึงว่าฝนจะตกลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนไม่ทันตั้งตัว
บริเวณรอบ ๆ มีเพียงโบสถ์เท่านั้นที่สามารถบังลมฝนได้ เธอจึงต้องย้อนกลับไปที่โบสถ์ แสงเทียนในโบสถ์แกว่งไปแกว่งมาเบา ๆ เพราะลมที่พัดโชยเข้ามา ดอกกุหลาบญี่ปุ่นที่ด่างดำบนฝาผนังพันกันอย่างมีชีวิตชีวา ใบหน้าเทวดาที่สงบภายใต้การสะท้อนของแสงเทียน ทำให้คนรู้สึกสบายใจ น้ำฝนสาดกระทบมาที่หน้าต่างกระจกหลากสีสัน ทำให้ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวา