คำพูดของเขาดูจืดจาง ประหนึ่งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและปล่อยวางกับสิ่งที่เป็น ติงยียีคิดอย่างนั้น แต่เธอไม่ได้สังเกตถึงแววตาที่โศกเศร้าของเขา
บรรยากาศโดยรอบดูอึมครึม ทันใดนั้นโทรศัพท์ของติงยียีก็ดังขึ้น เธอจึงรีบโดดลงจากเตียง พอเหยียบลงไปบนพื้นก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
” ยียี ฉันคือชิวไป๋เอง เธอสบายดีไหม? ” เพราะว่าในที่สุดตัวเองก็สามารถโทรหาติงยียีติด ชิวไป๋ก็ดีใจมาก
” ขอโทษนะที่ทำให้เธอเป็นห่วง ” ติงยียีรู้สึกว่าอายแก่ใจไม่ลดละ ที่เธอใช้เบอร์โทรศัพท์เก่าก็เป็นเพราะกังวลว่าเย่ชูหวินจะตามหาเธอเจอ แต่ดันลืมว่ายังมีคนที่บ้านเกิดอันแสนไกลก็เป็นห่วงเธอเช่นกัน
ชิวไป๋ก็เปลี่ยนบทสนทนา ” อย่าพึ่งคุยกันเรื่องนี้เลย ที่ฉันอยู่ตอนนี้ว่าจะให้เธอรับงานส่วนตัวหน่อย งานดีเลยทีเดียว ทำแค่วันเดียวเงินที่ได้แทบจะเท่ากับมนุษย์เงินเดือนถึงสองเดือนเลยนะ ”
ติงยียีลังเลว่าจะบอกกับเธอดีไหมว่าตัวเองกำลังตัดสินใจที่จะตั้งใจเรียนออกแบบจิวเวลรี่อยู่ ชิวไป๋ไม่เห็นเธอมีท่าทีลังเล จึงพูดด้วยความดีใจว่า: ” ถ้าทำงานชั่วคราวนี้เสร็จแล้วละก็ ยียี เธอไม่ต้องทำงานไปอีกนานเลยนะ จากนั้นก็เอาเงินตรงนี้ไปใช้เรียนออกแบบจิวเวลรี่ต่อไง ”
คำพูดของเธอทำให้ติงยียีถึงกับใจเต้น ตัวเธอเองก็ไม่อยากพึ่งพาใคร ถ้ามีเงินก้อนนั้นเธอก็จะสามารถเปิดร้านเป็นของตัวเองได้ ” เอาสิ เดี๋ยวฉันจะกลับประเทศเอง ”
เธอกลับเข้ามาในประเทศจีนอีกครั้ง ติงยียีมองผู้คนที่มีสีผิวที่เหมือนเธอ แค่ได้ยินภาษาที่เหมือนกัน ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย เย่ชูหวินก็ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างเธอ
แล้วก็มีรถอัลพาร์ดคันหนึ่งจอดลงตรงหน้าพวกเขา ชิวไป๋ลงจากรถก็วิ่งเข้ามากอดติงยียีทันที ” ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ”
เย่ชูหวินมองพวกเขาที่กอดกันอย่างยิ้มๆ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เย็นชาลงทันที ติงยียีจึงถามด้วยความแปลกใจ: ” เป็นอะไรไปเหรอ? ”
เขาส่ายหน้า แววตาของเขาพุ่งไปยังชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เย่เนี่ยนโม่คงรู้ว่าติงยียีกลับมาแล้ว แต่ทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัวออกมาล่ะ?
” พวกคุณไปธุระก่อนเถอะ ผมมีเรื่องต้องจัดการ ” เขาไม่รอให้สองคนตอบรับแต่เดินตรงดิ่งไปยังกลุ่มคนพวกนั้น
ภายในตรอกเล็กๆ ผู้ชายคนหนึ่งเดินถอยหลังและมองด้วยความระมัดระวัง ” ไม่ต้องมองแล้ว ฉันอยู่นี่ ” เย่ชูหวินเดินไปตรงหน้าเขาและมองด้วยสายตาเย็นยะเยือก
” คุณชูหวิน ” ชายคนนั้นรู้สถานะของเย่ชูหวิน แน่นอนว่าคงไม่สามารถยึกยักกับเขาได้ ” ทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของคุณชายเย่เนี่ยนโม่ครับ ”
เย่ชูหวินรู้ดีว่าเขาคงไม่ยอมคายความลับออกมา จึงหันตัวแล้วตรงดิ่งไปยังตระกูลเย่
ภายในโถงใหญ่ของตระกูลเย่ คนรับใช้หญิงห้าหกคนเรียงกันเป็นแถวเดียวเพียงเพื่อที่จะคอยปรนนิบัติหญิงตั้งครรภ์เพียงหนึ่งคน ฝู้เฟิ่งหยีนั่งอยู่อีกข้างเพื่อคอยกำชับพ่อบ้านให้ยกซุปบำรุงที่ตุ๋นใหม่มาให้อ้าวเสว่
” เด็กดี เธอต้องบำรุงหน่อยนะ รีบดื่มเข้าไปสิ ”
” ได้ค่ะคุณยาย นำซุปนี้รสชาติดีเลยทีเดียวค่ะ ”
อ้าวเสว่ซดน้ำซุปคำเล็กคำน้อย เธอแทบอยากจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องทำตัวเอาใจฝู้เฟิ่งหยีก็เท่านั้น
” คืนนี้เนี่ยนโม่จะกลับมากินข้าวไหมคะ? ” แววตาของอ้าวเสว่เปล่งประกายออกมาอย่างมีความหวัง ฝู้เฟิ่งหยีตกไปที่หลังมือเธอแล้วหัวเราะด้วยความเอ็นดู
” เพราะรู้ไงจ๊ะว่าเธอเป็นห่วงเรื่องนี้ ฉันก็เลยให้คนไปถามมาแล้ว กลับมาทานมื้อเย็นอยู่แล้วล่ะ! ”
พูดถึงใครคนนั้นก็มาพอดี เย่เนี่ยนโม่สาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านจึงรีบไปรับเสื้อตัวนอกในมือของเขาเอาไว้ ดูเหมือนวันนี้เขาจะอารมณ์ดีมาก มุมปากก็มีรอยยิ้มเล็กๆ
มันโต๊ะอาหารนั้น อ้าวเสว่ตักน้ำซุปใส่ชามให้เขาแล้ววางลงตรงหน้าของเขา ครั้งนี้เขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร มันทำให้ใจของอ้าวเสว่กระชุ่มกระชวยขึ้นมา ในที่สุดก็ไม่มีติงยียี เย่เนี่ยนโม่จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน ไม่แน่สุดท้ายก็ไม่ต้องเอาเด็กคนนี้ออก แล้วจะให้เย่เนี่ยนโม่มาเป็นพ่อเด็กแทน
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข จากนั้นจึงหยิบตะเกียบเตรียมที่จะคีบกุ้งในจานหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป เธอยื่นมือยังไงก็ไม่ถึง จังหวะที่จะเรียกคนใช้ ก็มีตะเกียบคู่หนึ่งคีบกุ้งอบน้ำมันมาวางในจานของเธอ จากนั้นก็ยกกุ้งชามนั้นมาวางตรงหน้าของเธอให้
อ้าวเสว่เผยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและตกตะลึงให้กับการกระทำนี้ คนใช้รีบเดินมาข้างหน้าและสวมถุงมือเพื่อแกะกุ้งให้อ้าวเสว่ ฉากนี้ดันไปเข้าตาเย่ชูหวินที่เดินเข้ามาพอดี ช่างน่าขันเสียจริง
” เย่เนี่ยนโม่ ไม่นึกเลยว่า ภายในเวลาอันสั้น คุณก็แต่งงานใหม่เสียแล้ว? ” เขาโกรธจนต้องดันมือพ่อบ้านออก
เย่เนี่ยนโม่ยังคงทำสีหน้าเช่นเดิม เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากอย่างสง่างาม และมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย อ้าวเสว่ใจสั่นขึ้นมา จากนั้นก็แบกท้องแล้วยืนขึ้น ” ชูหวินมาทานข้าวด้วยกันสิจ๊ะ ”
เย่ชูหวินกวาดสายตามองท้องของเธอ ” ไม่จำเป็น ”
เขามองเย่เนี่ยนโม่ด้วยความเย็นชา เงียบไปสักพักจึงจะพูดว่า ” การที่คุณทำแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้ติงยียียิ่งห่างคุณออกไปไกลมากขึ้น ”
ติงยียีสามคำนี้ มันคือฝันร้ายของอ้าวเสว่ชัดๆ เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าในขณะที่เย่เนี่ยนโม่ใกล้จะเปลี่ยนใจจากผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อนี้ก็ยังไม่วายตามมารังควานพวกเขาอีกจนได้
” ชูหวิน ฉันเองก็หวังว่าจะเจอเธอเหมือนกัน เพราะเธอเองก็เป็นน้องสาวของฉันใช่ไหมล่ะ แต่อย่าเอาความโกรธนี้มาลงที่เนี่ยนโม่เลยนะจ๊ะ เขาเองก็คงเสียใจไปไม่น้อยกว่าใคร ”
ขณะที่พูดสายตาของอ้าวเสว่ก็พยายามสังเกตปฏิกิริยาของเย่เนี่ยนโม่ แต่กลับเห็นเพียงใบหน้าที่เรียบเฉยของอีกฝ่าย ไม่ได้ยอมรับหรือโต้ตอบคำพูดใดๆ ของเธอ สิ่งนี้มันทำให้เธอรู้สึกแปลกใจขึ้นมา สำหรับความรู้สึกที่เย่เนี่ยนโม่มีต่อติงยียีแล้ว เขาไม่มีทางทำท่าทีแบบนี้เด็ดขาด
ท่าทีของเย่เนี่ยนโม่ก็ทำให้เย่ชูหวินโกรธเช่นเดียวกัน ฝู้เฟิ่งหยีเห็นดังนั้นแล้วก็รีบพูดขึ้นมา ” ชูหวินจ๊ะ ทำไมถึงกลับมาแล้วเอาแต่พูดถึงชื่อคนนอกล่ะ รีบมาทานข้าวกับยายหน่อยเร็ว ”
” คุณยายครับ เธอไม่ใช่คนนอก เธอคือคนที่ผมชอบครับ ” เย่ชูหวินพูดด้วยความหัวแข็ง และหันตัวจากไปด้วยความผิดหวัง
มื้อนี้ทำให้หมดอารมณ์ไปเลย อ้าวเสว่เกลียดที่สุด มันไม่ได้ง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้ทานข้าวดีๆ กับเย่เนี่ยนโม่ สุดท้ายก็มีคนเข้ามาทำมันพังจนได้ ไอ้คนพวกนี้เห็นเธอได้ดีไม่ได้เลย อ้าวเสว่เดินเข้ามาในห้องหนังสือเงียบๆ เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ด้านนอกหน้าต่างนั้นมืดสนิท เธอเดินเข้าไปแล้วเอาท้องชนเข้ากับด้านหลังของเขา จากนั้นก็เอามือโอบรอบเอวของเขาเอาไว้
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ตอบโต้อะไร เธอก็ยิ่งได้ใจ เอาหัวซบไปที่แผ่นหลังของเขา แผ่นหลังของเขาช่างกว้างใหญ่และดูอบอุ่น ทำให้คนที่ได้ซบรู้สึกสบายใจ ใจของเธอรู้สึกได้ถึงความหอมหวาน จึงลองเชิงพูดขึ้นมาว่า: ” เย่เนี่ยน เราแต่งงานกันเถอะค่ะ ทำให้ลูกก็มีครอบครัวที่สมบูรณ์ไงคะ ”
เย่เนี่ยนโม่ขยับตัวเล็กน้อย เขายังคงมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ราวกับว่าด้านนอกนั้นมีสิ่งที่ทำให้เขาหลงใหล: ” อย่าลืมว่าเราเคยตกลงอะไรกันไว้ ”
อ้าวเสว่ตัวแข็งไปสักพัก สีหน้าของเธอแสดงความแปลกใจออกมาก่อน จากนั้นก็เป็นอารมณ์ที่ผิดหวังเสียใจสับสนปนเปกันไปหมด เธอค่อยๆ คลายมือออก ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเย่เนี่ยนโม่ถึงทำดีกับเธอขนาดนี้ มันก็เป็นแค่เพียงเพราะเธอเคยพูดว่ารอให้คลอดลูกเมื่อไหร่เธอก็จะยอมจากไปเอง
ช่างน่าตลกเสียจริง เธอนึกว่าตัวเองกับเย่เนี่ยนโม่จะได้เข้าใกล้กันมากขึ้นแล้ว เพียงแค่เธอได้อยู่ข้างกายเขา จะต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะกลับมา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การบริจาคทานและความสงสารของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่รอให้เธอคลอดลูกเสร็จแล้ว เธอก็คงกลายเป็นแค่ตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่งที่โดนคนทิ้งเอาไว้ก็เท่านั้นเอง
” ตระกูลเย่จะมีการตอบแทนให้กับคุณหรอก ” เหมือนเขาจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เย่เนี่ยนโม่จึงหันกลับมามองเธอ เขาเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบเอกสารฉบับหนึ่งที่ไม่เคยเปิดมาก่อน จากนั้นยื่นมันให้กับเธอ
เธอตัวแข็งทื่อและใช้มือที่ด้านชานั้นเปิดเอกสารดู ภายในนั้นเป็นอสังหาที่ประเมินราคาไม่ได้จนทำให้คนตกใจกับมูลค่าของมัน เธอมองดูมันแล้วหัวเราะ ” ขอบคุณความใจป้ำของตระกูลเย่นะคะ แต่วางใจเถอะ ถ้าคลอดลูกเสร็จแล้วฉันจะยอมไปแต่โดยดี แต่เงินพวกนี้ฉันขอไม่รับไว้นะคะ เพราะฉันรักคุณที่เป็นคุณ ไม่ใช่เงินทองของคุณ ”
เธอวางซองเอกสารแล้วหมุนตัวออกไปด้วยความผิดหวัง เมื่อมองเห็นใครบางคนตรงประตูก็ตะโกนออกมาด้วยความน้อยใจ ” คุณยายคะ! ”
ฝู้เฟิ่งหยีเห็นภาพที่เธอร้องไห้แล้วเดินจากไป เธอจึงเดินเข้ามาในห้องช้าๆ สายตาของเธอกวาดลงบนโต๊ะก็เห็นกับเอกสารฉบับหนึ่ง จึงพูดว่า ” ฉันเคยเจอกับผู้หญิงคนนั้น และฉันก็ให้เงินก้อนหนึ่งกับเธอเพื่อให้ไปจากแก ”
” แน่นอนว่าเธอคงเอาเงินนั้นไป จากนั้นก็ตอบตกลง ” เย่เนี่ยนโม่ทำหน้านิ่ง แต่พอพูดถึงติงยียีดวงตาคู่นั้นก็ดูผ่อนคลายลง
” แกรู้ได้ยังไง? ” ฝู้เฟิ่งหยีมองเขาอย่างแปลกใจ เดิมทีเธออยากจะบอกกับเย่เนี่ยนโม่ว่าเด็กสาวคนนั้นพิสมัยในความฟุ้งเฟ้ออย่างไร แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับอ้าวเสว่ได้
เย่เนี่ยนโม่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร คนรักของเขามักจะเป็นแบบนี้ ให้ตายยังไงเธอก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ ถึงแม้จะโดนใครเข้าใจผิด ก็จะไม่ยอมอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด
ฝู้เฟิ่งหยีเห็นว่าพูดเตือนอะไรไม่ได้ จึงหันตัวแล้วเดินออกไป ภายในห้องกลับมาเงียบเช่นเดิม เย่เนี่ยนโม่กลับมายืนหยุดที่โต๊ะ เขาดึงลิ้นชักออกมา พอคิดจะหยิบสร้อยเพชรภายในลิ้นชักขึ้นมาด้วยความเคยชิน มือที่เรียวสวยนั้นก็ชะงักลง และเขาก็ปิดลิ้นชัก เพราะเขาไม่อยากเห็นของสิ่งนั้นแล้วนึกถึงใครบางคน ที่ต้องการตอนนี้ก็คือเวลาเท่านั้น
ภายในห้องพิเศษ ชายคนหนึ่งก็พูดกับติงยียีด้วยท่าทีที่ดูพอใจ จากนั้นก็หยิบสัญญาขึ้นมาแล้วพูดว่า: ” เพราะงานนี้ของพวกเราค่อนข้างเร่งด่วน และจะต้องเผยแพร่ออกไปอย่างเร็ว ดังนั้นเราหวังว่าพวกเธอจะเซ็นสัญญาแล้วเริ่มทำงานได้เลย ”
ติงยียีหยิบสัญญาออกมาแล้วอ่านประมาณสองรอบ เรื่องพวกนี้ชิวไป๋ทำมาตลอด เธอจึงส่งสายตาไป ชิวไป๋ก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหา
ติงยียียิ้มแล้วเซ็นชื่อของตัวเองลงไปในสัญญา ชายคนนั้นเก็บสัญญาพร้อมยิ้มแล้วพูดว่า: ” ไหนๆ ก็เซ็นสัญญาแล้ว งั้นก็เริ่มงานเลยแล้วกัน ”
” เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ? ” ติงยียีกับชิวไป๋ถามออกมาพร้อมกัน ชิวไป๋รู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ประวัติตามจริงทุกอย่างของคนคนนี้เธอก็เช็กมาแล้ว และไม่มีปัญหาอะไร
ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจากไป ” ก็เพราะรีบไง ผมมีธุระต่อขอตัวก่อนนะ หลังจากนี้ก็ติดต่อกับผู้ช่วยของผมก็แล้วกัน ”
ติงยียีกับชิวไป๋มองหน้ากัน และต่างคนต่างเห็นถึงความไม่แน่ใจของอีกฝ่าย
ภายในฉากถ่ายหนัง ติงยียีมองไปยังที่ตัวฉากที่สูงขนาดสามเมตร และถามผู้กำกับซ้ำๆ ว่า: ” คุณบอกว่าจะให้ฉันปีนไอ้นี่ขึ้นไปเหรอคะ? ”
การถ่ายโฆษณาครั้งนี้เชิญมาแค่คนถ่ายทำภาพยนตร์อย่างผู้กำกับหวู ชิวไป๋สูดลมหายใจเข้า เป็นคนสนิทก็คงจะพูดง่ายขึ้น เธอจึงเดินหน้าเข้าไป
” ผู้กำกับหวู หยวนๆ ให้หน่อยไม่ได้เหรอ? ”
” ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ ยียีลำบากเธอหน่อยนะ แต่มันมีสลิงติดกับตัวเธออยู่แล้ว วางใจเถอะ ” ผู้กำกับหวูสีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากใช้เส้นสาย แต่เขาไม่มีให้ใช้นี่สิ ใครจะไปคิดว่าหลายวันก่อนเขายังอยู่ไกลออกไปพันกว่าลี้เพื่อตกปลาและพักผ่อน พอมาวันนี้ก็ดันวิ่งกลับมาถ่ายทำงานที่นี่ และเป็นงานโฆษณาที่เขาไม่เคยทำมาก่อน?
ผู้คนรอบข้างเริ่มซุบซิบ ” ตอนนี้เริ่มเล่นตัวแล้วสิ แค่สามเมตรเองแถมยังมีสลิงอีก นี่เล่นใหญ่กว่าอันหรันตอนแรกอีกนะ ”
” ผู้กำกับหวู ฉันไปเองค่ะ ” ติงยียีมือเท้าอ่อนยวบ ใบหน้าซีดเผือด แม้กระทั่งรองพื้นที่หนาก็ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ เธอพยักหน้าด้วยความยากลำบาก