ร่างกายของติงยียีสั่นออกมาเล็กน้อย เธออยากหนีออกไป แต่มันกลับก้าวขาไม่ออกเลย ทำได้แค่เพียงก้มหน้าอย่างยอมจำนนไปเท่านั้น แต่เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่ให้โอกาสเธอได้หนีไปเลย ดึงไหล่เธอมา ให้เธอเผชิญหน้ากับเย่ชูหวิน
เย่เนี่ยนโม่โน้มหน้าเข้ามาเล็กน้อยค่อย ๆ พูดไปที่ข้าง ๆ ใบหูของเธอ “พูดให้เขาได้ยินสิ ว่าคุณเป็นคนอาสามากับผมเองไม่ใช่เหรอ?”
ติงยียีรับรู้ได้ถึงแรงกดดันบนไหล่ สบเข้ากับสีหน้าที่เจ็บปวดของเย่ชูหวิน “อันที่จริงฉันอาสาที่จะมาเอง”
เย่ชูหวินมองเธอไปเงียบ ๆ หัวใจของเขาเจ็บแปลบขึ้นมา ถ้าติงยียีบอกว่าจะไปกับตน อย่างนั้นแล้วไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะพาเธอไปให้ได้ แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความตั้งใจของเธอทั้งนั้น เขาก็ไม่อาจไปควบคุมเอาไว้ได้
อ้าวเสว่ยืนมองทั้งสามคนที่กำลังยุ่งอีนุงตุงนังกันอยู่ข้างหน้าไปเงียบ ๆ อยู่ที่ในพุ่มไม้ที่ห่างออกมาอีกหลายก้าว เงาต้นไม้ละลานตาได้ทำให้เงาร่างของเธอลากยาวออกมา “ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเขาไม่รักเธอ เธอก็ยังจะคลอดลูกเขาออกมาต่องั้นเหรอ?”
เหยนหมิงเย้ายืนอยู่ด้านหลังเธอสายตาเรียบนิ่ง เขาเอ่ยพูดออกมา ในน้ำเสียงมันเต็มไปด้วยความขมขื่น อ้าวเสว่ผันร่างมาตอบเขาไปอย่างแน่วแน่ “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักฉัน เด็กคนนี้ก็เป็นตัวหมากให้ฉันได้อยู่ที่ตระกูลเย่ด้วยเช่นกัน”
เหยนหมิงเย้าขมวดคิ้วมองเธอ เย่ชูหวินที่อยู่ไกลออกไปได้เดินจากไปแล้ว อ้าวเสว่มองทั้งสองคนที่ร่างค่อย ๆ แนบเข้าหากัน เธออยากผันร่างออกไปอย่างทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
เหยนหมิงเย้าโอบรัดไหล่ของเธอเอาไว้ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ถ้าสิ่งที่คุณรักเป็นสถานะและเงินของตระกูลเย่ งั้นก็ให้เวลาผมอีกสักหน่อยได้หรือเปล่า ผมจะเปลี่ยนไปพัฒนาให้แข็งแกร่งมากขึ้น ให้ตระกูลเย่ไม่อาจละเลยผมไปได้เลย”
“พอแล้ว!” อ้าวเสว่ผลักเขาออกไปอย่างหงุดหงิด “ไม่จำเป็นต้องให้นายเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงของนายมันกระเทือนความรู้สึกของฉันไม่ได้หรอก”
เธอชำเลืองมองไปยังจุดที่ไกลออกไปแวบนึง ติงยียีผลักเย่เนี่ยนโม่ออกไปเดินไปยังในตัวอาคารไปด้วยความโกรธจัด เธอเห็นเย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ตรงที่เดิมด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
เย่เนี่ยนโม่มองเงาร่างที่เดินออกไปของติงยียี แต่เธอมองตามสายตาของเย่เนี่ยนโม่ไป กลับละเลยสายตาที่จ้องมองตนอยู่ทางด้านหลังมาโดยตลอดไป
ติงยียีกลับมายังห้องโถง เธอหาไปรอบแล้ว อย่างที่คิดเขาไม่อยู่แล้วจริง ๆ ด้วย เย่ชูหวินกลับไปแล้ว จำนวนคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เองก็เพิ่มขึ้นมาด้วยเหมือนกัน
พิธีกรบนเวทีถือไมค์เริ่มดำเนินงาน กลุ่มคนทยอยกันไปรวมตัวกันอยู่ที่ข้างหน้ากัน เย่เนี่ยนโม่ก็ตามเข้ามา สายตาของเขาลุ่มลึก ไม่จะยังไงก็ตามแค่ยืนสบาย ๆ มันก็ได้กลายเป็นจุดสนใจให้กับคนทั้งงานได้ง่าย ๆ แล้ว
“คุณผู้หญิงคุณผู้ชายทั้งหลาย หลังจากที่ศูนย์การค้าสากลเปิดทำการอย่างเป็นทางการก็ได้ประสบความสำเร็จจนได้กลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองตงเจียงไป และหลังจากนี้บริษัทเย่ซื่อก็จะพยายาม เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเมืองตงเจียงต่อไป”
พิธีกรพูดทางการออกมาได้งดงามมาก แขกที่มาด้านล่างได้ปรบมือกันอย่างให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี พิธีกรได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมาทันที “วันนี้พวกเราได้เชิญดาวนำโชคของบริษัทเย่ซื่อมาได้ โดยท่านนายฟู่จะมาพูดคุยให้กับพวกเรา”
คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ขมวดออกมาเล็กน้อย เขาได้ค้นหาจุดที่ติงยียีอยู่ไปทันที แต่ตรงหน้าได้ถูกคนคนหนึ่งขวางกั้นเอาไว้ อ้าวเสว่ยิ้มอ่อนโยนให้เขา ราวกับทั้งหมดที่เห็นไปเมื่อกี้มันเป็นภาพลวงตาของเธอทั้งนั้น
ฝู้เฟิ่งหยีถึงแม้ว่าจะอยู่ในวัยชราแล้ว แต่ออร่าความร่ำรวยบนร่างมันกลับเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ในทุก ๆ การเคลื่อนไหวมันสามารถเอามาเป็นกิริยาท่าทางที่เป็นแบบอย่างให้ทุกคนได้เลย สายตาของเธอสอดส่องไปยังสถานที่จัดงานไปรอบนึง แล้วค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ “ดีใจมากที่วันนี้สามารถมาที่นี่ แล้วได้มาเจอแขกมากมายขนาดนี้ได้ อนาคตของเมืองตงเจียงต้องพึ่งบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างพวกคุณทั้งหลายเหล่านี้ช่วยกันค้ำชูกันขึ้นมา”
คำพูดของเธอพูดได้อย่างไม่มีช่องโหว่เลย คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ได้ขมวดกันออกมาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริง ๆ ฝู้เฟิ่งหยีได้หยุดไปแป๊บนึงแล้วก็ได้พูดออกมาต่อ “ตระกูลเย่ของพวกเรากำลังจะต้อนรับชีวิตใหม่ที่กำลังจะคลอดออกมา เขาจะเป็นคนที่จะมาดำเนินรุ่งโรจน์ของตระกูลเย่ให้คนอยู่ต่อไป และก็จะเป็นความหวังของตระกูลเย่อีกด้วย”
คนโดยรอบต่างพากันแสดงความยินดีกับอ้าวเสว่ ทั้ง ๆ ที่คนที่มีตามองปราดเดียวก็มองออกแล้วว่า ถึงแม้ว่าคนที่คุณชายคนนี้พาเข้ามาเมื่อกี้จะเป็นผู้หญิงหน้าตาดีคนนั้น แต่คนที่เป็นฝ่ายชนะไปกลับเป็นผู้หญิงคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงตามลำพังคนนี้
ติงยียีถอยออกไปทางข้างหลัง สายตาของฝู้เฟิ่งหยีกวาดมองเข้ามาอย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก เธอเข้าใจแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่จะเป็นการข่มให้เธอยอมจำนนไปเสีย เป็นการบอกเธอว่าถึงแม้ว่าคนที่เย่เนี่ยนโม่รักจะเป็นเธอ แต่เธอก็ไม่อาจควบคุมการแต่งงานของเขาได้งั้นสินะ?
น่าขันจริง ๆ เลย ติงยียีทอดสายตาไปยังบนเวทีพลางก้มหัวออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ รีบเดินออกไปทันที เธอพยายามให้ฝีเท้าของตัวเองดูหนักแน่น ชายกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลแกว่งไหวเดินก้าวเข้าไปข้างหน้าบนพื้นหินอ่อนที่เรียบลื่น ผู้คนต่างพากันออกันไปทางข้างหน้า มีเพียงแค่เธอเงาร่างที่อยู่ในชุดสีฟ้านี้ที่ขยับเคลื่อนออกไปข้างนอกเท่านั้น
“คุณยียี” ทันทีที่ติงยียีเดินออกมาจากห้องโถง ด้านหลังก็มีเสียงของเย่ป๋อดังเข้ามา
“ผมส่งคุณกลับไปเองครับ” เย่ป๋อควักเอากุญแจรถออกมา ภายในห้องโถงได้มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาเป็นระลอก ๆ ติงยียีผันร่างไป เธอเดินไปอย่างรีบเร่ง แม้แต่เสื้อคลุมก็ไม่ได้เอาไปด้วย
ลมหนาวพัดเข้ามา เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เธอมองทั้งสองคนที่ถูกห้อมล้อมอยู่ในกลุ่มคน อ้าวเสว่คล้องแขนเย่เนี่ยนโม่ไปเบา ๆ กลุ่มคนเบียดเสียดกัน มือของเย่เนี่ยนโม่ได้กั้นอยู่ตรงหน้าเธอเพื่อกันไม่ให้กลุ่มคนเบียดเสียดเข้ามาทำอันตรายเธอไปอย่างเป็นธรรมชาติ
เธอสั่นสะท้านออกมาด้วยความหนาวเย็น เสื้อคลุมตัวนอกที่อบอุ่นได้คลุมลงบนไหล่ของเธอ เย่ป๋อยืนอยู่ด้านหลังเธอได้เอ่ยออกมาว่า “คุณยียี ไปกันเถอะ”
ไฟรถได้ตัดผ่านความมืดมิดยามค่ำคืน ขับไปยังตระกูลเย่ไปอย่างมั่นคง ติงยียีมองภาพวิวที่แวบผ่านไปอย่างรวดเร็วด้านนอกหน้าต่าง ส่วนเย่ป๋อที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับก็รับสายผ่านบลูทูธไปเงียบ ๆ
เธอไม่อยากให้ตัวเองมองไปแล้วดูเหมือนกับภรรยาที่ถูกทอดทิ้งหนีเตลิดหัวซุกหัวซุนไป ดังนั้นแล้วจึงฝืนยิ้มออกมารอจนเย่ป๋อวางสายไปแล้วก็เอ่ยออกไปว่า “นายยุ่งมากจริง ๆ”
เย่ป๋อมองเธอมาแวบนึงผ่านทางกระจกมองหลัง มุมปากได้ยกยิ้มออกมา “คุณผู้ชายมีโทรศัพท์สองเครื่อง เบอร์นึงปกติแล้วจะต้องให้ผมเป็นคนกรองให้ อีกอันนึงเป็นเบอร์สำหรับครอบครัว” เขาเน้นเสียงพูดออกมา “เบอร์นั้นแม้แต่คุณอ้าวเสว่ก็ยังไม่รู้เลยครับ”
ติงยียีฟังไปอย่างเงียบ ๆ เธอทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง นี่เป็นถนนคนเดินเส้นหนึ่ง บนถนนมีเด็กสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนเยาว์ทั้งใบหน้าได้ห่อหุ้มอยู่ในผ้าพันคอ เด็กชายที่อยู่ข้างเธอเอามือออกมาจากเสื้อกันหนาวมาปิดที่บนใบหูของเธอ ทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างหน้าด้วยท่าทางที่ดูมีความสุข ติงยียีมองตามพวกเขาเดินออกไป ในทันใดนั้นเองก็คิดขึ้นมาว่าความรักที่เรียบง่ายอย่างนี้มันช่างมีความสุขเสียจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้เลย
ตอนที่รถขับออกมาจากถนนคนเดินแล้ว ติงยียีก็ถอนสายตากลับมา ส่งยิ้มหวานไปให้เย่ป๋อ “ขอบคุณ” กลับมาถึงตระกูลเย่ ต้าต้าล้อมเข้ามา “ยียีเธอสวยมากเลย!”
ติงยียีฝืนยิ้มให้เธอเล็กน้อย ตัวรัดรองเท้าบาง ๆ ที่รองเท้าส้นสูงมันรัดจนเธอเจ็บมาก เธอจึงถอดรองเท้าออกแล้วถือเดินเข้าไปในบ้านไปเลยทันที
เปิดไฟ แม้แต่เสื้อผ้าเธอก็ไม่ได้ถอดออกไป ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองแสงไฟสลัวที่บนผนังไปอย่างเลื่อนลอย ผ่านไปนานมากเธอก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา “ชิวไป๋ฉันเองนะ”
“ยียี! เธอเป็นยังไงบ้าง ฉันอยากโทรหาเธอตลอดเลย แต่ก็กลัวว่าจะไปสร้างความลำบากให้เธออีก!” น้ำเสียงของชิวไป๋มีความเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด นี่จะทำให้ติงยียีรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ฉันไม่เป็นไร พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า? ฉันอยากคุยกับเธอสักหน่อย” ติงยียีเดินไปที่ตรงหน้าขอบหน้าต่าง พบว่าจากมุมนี้มองออกไปสามารถมองเห็นภูเขาที่อยู่ไม่ไกลออกไปได้พอดี แสงไฟบนภูเขาสลัวมองเห็นไม่ค่อยชัดนัก หลังจากที่วางสายไปแล้วเธอก็ได้ส่งข้อความไปให้เย่ป๋อข้อความนึงแล้วก็นั่งอยู่บนด้านนอกหน้าต่างแล้วเหม่อลอยไปทันที
เย่ป๋อเอารถไปจอดที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมตี้เหาใหม่อีกครั้ง เขาควักเอาโทรศัพท์ออกมา นาทีที่เห็นข้อความก็ซาบซึ้งใจต่อติงยียีขึ้นมา จากมุมมองส่วนตัวจะเห็นว่าเขาเอนเอียงไปให้คุณผู้ชายกับติงยียีได้คบกันมากกว่า แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่ความคิดของเขาเท่านั้น
เขารีบเดินขึ้นบันไดไปอย่างรีบร้อน ภายในงานเลี้ยงมีคนไม่เยอะเท่าไหร่แล้ว คุณผู้ชายแล้วก็ท่านนายต่างก็ไม่อยู่กันทั้งคู่ อ้าวเสว่ยืนคุยกับคนอื่นอยู่อีกด้านนึง
เห็นเขาแล้ว อ้าวเสว่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คุณย่ากับเนี่ยนโม่กำลังคุยงานกันอยู่ในห้องประชุม”
เย่ป๋อก้มหน้าส่งสัญญาณไปให้เธอ ผันร่างก้าวขาเตรียมจะเดินออกไป “เย่ป๋อ” อ้าวเสว่เรียกเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง “หลังจากนี้อยู่ที่ตระกูลเย่ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่ลูกคลอดออกมาแล้ว”
เย่ป๋อผันร่างไปเผชิญหน้ากับเธอ ไม่ได้ตอบโต้และไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นกัน เพียงแค่โค้งตัวให้เธอเล็กน้อยไปอย่างสุภาพเท่านั้น จากนั้นก็ผันร่างรีบก้าวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินออกไปทันที อ้าวเสว่ลูบท้อง สายตาล้ำลึกเสียจนอ่านยากขึ้นมา
ภายในห้องประชุม เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่หน้าขอบหน้าต่าง สีหน้าของเขาถมึงทึงอย่างมาก “คุณย่า ผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณย่าจะทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“หลานชาย นี่ย่าหวังดีกับแกนะ อ้าวเสว่เด็กคนนั้นย่าคิดว่าสามารถมาเป็นนายหญิงของตระกูลเย่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในท้องเธอก็ยังมีเหลนของย่าอยู่ด้วยอีกคน”
บนใบหน้าที่งดงามของฝู้เฟิ่งหยีได้เผยความเสียใจออกมาเล็กน้อย “ย่าก็แก่แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะไปคุณปู่ของแกไป ก็เลยอยากจะเจอเหลนในช่วงเวลาที่จำกัดนี้ อุ้มเขาสักหน่อย”
บนใบหน้าของเย่เนี่ยนโม่ได้เผยความอ่อนไหวออกมาเล็กน้อย หน้าที่ถมึงทึงก็อ่อนโยนขึ้นมาแล้วบ้าง “แต่ว่าคุณย่าครับ ใจของผมมันมีแค่ติงยียีเท่านั้น คุณย่าทำอย่างนี้ไปเธอจะเสียใจมาก และเห็นเธอเสียใจแล้วใจผมมันเจ็บยิ่งกว่า คุณย่าทำร้ายผมอยู่นะครับ”
ฝู้เฟิ่งหยีถอยออกไปข้างหลังสองสามก้าว คำพูดของเขาทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา เย่เนี่ยนโม่ยื่นมือขึ้นไปบีบสันจมูกเล็กน้อย “คุณย่าผมขอตัวก่อน”
เขาเปิดประตูออกไป เย่ป๋อได้ยืนอยู่ด้านนอกประตู “คุณยียีกลับบ้านเรียบร้อยแล้วครับ”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าออกมา “ฉันจะกลับเอง นายดูแลคุณย่าให้ดี”
ณ ตระกูลเย่
ติงยียีได้จามออกมา เธอขยับแขนที่ได้หนาวจนแข็งไปแล้ว แต่ก็ยังคงไม่อยากจะออกไปจากตรงนั้นอยู่ดี และยิ่งไม่อยากเข้านอนเลย ประตูได้ถูกเปิดออกมา เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
เขามองแสงจันทร์ที่สาดส่องมาที่ใบหน้าของเธอ ชายกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลได้ลาดเอียงลงมาบนพื้นจากบนขอบหน้าต่าง ลมได้พัดพาผมสวยของเธอยกขึ้นมา เผยให้เห็นใบหูเล็กจิ้มลิ้มของเธอโผล่ออกมา
ในทันใดนั้นเองก็มีแวบนึง ที่เขาได้คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าต่อจากนี้กำลังจะพัดไปตามลมแน่เลย แต่เขากลับไม่อาจแข็งใจเข้าไปรบกวนความงดงามมองเธอในตอนนี้ได้
“คุณกลับมาแล้ว” ติงยียีหันหน้ามาดวงตาที่มองเขาไปนั้น ไม่หลบเลี่ยงและก็ไม่มีความเสียใจ มองเขาไปอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไรไปอย่างนั้น
เย่เนี่ยนโม่เดินเข้ามาที่ตรงหน้าเธอ เขาโน้มตัวเข้ามามองเธอ ผมสวยของเธอพัดพลิ้วไหวไปที่ลำคอของเขา เย่เนี่ยนโม่ก้มตัวลงไปเล็กน้อยอุ้มเธอขึ้นมาจากบนขอบหน้าต่างแล้วอุ้มไปวางลงบนเตียงไปเบา ๆ
“เย่เนี่ยนโม่ฉันเหนื่อยแล้ว” ติงยียีนอนบนเตียงหลับตาพูดออกมานิ่ง ๆ
ผ้าห่มที่ถูกตากแดดจนอ่อนนุ่มได้คลุมบนร่างเธอไปเบา ๆ เย่เนี่ยนโม่นั่งอยู่ที่ข้างเตียง มือใหญ่ได้ตบผ้าห่มเบา ๆ ไปเป็นช่วง ๆ
บรรยากาศมันเป็นความเงียบสงบหลังจากที่ฝืนรักษาสภาพเดิมอย่างที่ควรเป็นมาแล้ว ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จู่ ๆ ประตูก็ถูกเคาะดังขึ้นมา เสียงของพ่อบ้านดังเข้ามา “คุณอ้าวเสว่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อยครับ เธออยากให้คุณผู้ชายเข้าไปดูสักหน่อย”
ร่างของติงยียีขยับออกมาเล็กน้อย เธอพลิกตัวนอนตะแคงออกมา “คุณไปเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องอะไรที่ต้องการคุณขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้”
เธอได้ยินเสียงการควานหาเสื้อผ้า มือใหญ่ข้างหนึ่งได้ลูบบนหัวเธอไปอย่างอ่อนโยน “ผมจะรีบกลับมา”