ลิฟต์ได้หยุดอยู่ที่สักชั้นหนึ่ง นักท่องเที่ยวได้พากันเดินออกไปพึ่บพั่บ ติงยียีรีบขยับออกไปจากในอ้อมแขนของเขา หน้ากลับเผาร้อนเสียจนไม่ไหวอยู่แล้ว เย่เนี่ยนโม่เก็บท่าทางที่เขินอายเหล่านี้ไว้ในสายตา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นมาตลอดในที่สุดก็ได้ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ออกมาจากประตูลิฟต์ ติงยียีหน้าแดง จึงก้มหน้าลงเดินตามฝีเท้าของเย่เนี่ยนโม่ จนกระทั่งฝีเท้าตรงหน้าได้หยุดลงไป
“ประธานเย่” คนที่อยู่ในชุดสูทสีดำคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหา พนักงานภายในร้านทยอยทอดสายตามายังประธานหนุ่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของทั้งศูนย์การค้ากันไปทีละคน แล้วก็ยังมีคนที่ตาดีสังเกตเห็นเด็กสาวหน้าแดงเหมือนกับมะเขือเทศอยู่ที่ด้านหลังเขาอยู่บ้าง
เย่เนี่ยนโม่ดึงเธอเข้ามาที่ตรงหน้าตัวเอง ติงยียีจึงได้เงยหน้าขึ้นไป นี่เป็นร้านชุดราตรีร้านหนึ่ง เธอมองไปทางเขาเพื่อหาคำตอบด้วยความสงสัย
สายตาของเธองงงวยเล็กน้อย แก้มยังคงแดงอยู่ ดวงตาจ้องมองเย่เนี่ยนโม่ตาไม่กะพริบ เย่เนี่ยนโม่นึกไม่ถึงว่าจะรู้สึกว่าเลือดทั้งร่างของตนมันได้รวมตัวกันอยู่ที่จุดเดียว
“เลือกชุดราตรีมาให้เธอชุดนึง” เขาทิ้งเธอเอาไว้แล้วเดินออกไปยังจุดที่ลึกเข้าไปของตรงทางเดินอย่างรีบร้อน ฝีเท้าก้าวออกไปอย่างรีบเร่ง ติงยียีเห็นเขาเดินออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว สายตาหม่นลง ภายในใจมันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา เธอทำให้เขาโกรธแล้วใช่มั้ย ตนมันน่าอึดอัดเสียอย่างนี้ แต่ว่านี่มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง พวกเขาควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว
ภายในห้องน้ำ สิ่งที่คิดอยู่ในหัวของเย่เนี่ยนโม่ล้วนเป็นสัมผัสที่นุ่มนิ่มตรงเอวรวมถึงเสียงหายใจที่ถี่ยิบของเธอภายในลิฟต์ เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาต้องยับยั้งชั่งใจมากแค่ไหนถึงจะทำให้ตัวเองไม่ไปจูบลงบนริมฝีปากเธอได้
ผ่านไปนานมาก เขาได้ทอดถอนหายใจออกมา รอจนถึงตอนที่เขากลับไปที่ร้านชุดราตรีใหม่อีกครั้ง พนักงานของร้านได้ล้อมรอบติงยียีกันอยู่ เธออยู่ในชุดเดรสยาวสีทองตลอดทั้งตัว ด้านหลังชุดไปถึงตรงช่วงเอวแทบจะฉลุไปทั้งหมด
ติงยียียืนอยู่อย่างทำตัวไม่ถูก สายตาของพนักงานชายคนสองคนที่อยู่รอบ ๆ วนเวียนอยู่ที่บนหลังของเธออยู่ตลอด ถึงแม้ว่าภายในร้านจะเปิดฮีตเตอร์แล้ว แต่เธอสามารถรู้สึกได้ว่าหลังของเธอมันขนลุกชันขึ้นมา
ในทันใดนั้นเองที่บนไหล่ของเธอหนักอึ้งขึ้นมา กลิ่นนิโคตินจาง ๆ ฟุ้งกระจายออกมา เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ผู้จัดการเห็นภาพที่เกิดขึ้นก็เดินเข้ามา “ประธานเย่คิดว่าไม่เหมาะพวกเราจะเลือกให้ใหม่ครับ”
มือเรียวยาวของเย่เนี่ยนโม่ได้เคลื่อนผ่านไปบนราวแขวนเสื้อไปเบา ๆ สุดท้ายก็ได้หยุดลงไป แล้วหยิบชุดราตรีผ้าไหมสีฟ้าน้ำทะเลมาตัวหนึ่ง เขายื่นไปให้ติงยียี
ติงยียีรับมา แต่ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวออกไป “คุณไม่อธิบายการกระทำในวันนี้ของคุณสักหน่อยเลยเหรอ?”
ผู้จัดการที่อยู่ข้าง ๆ มองทั้งสองคนไปอย่างเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งไปแวบนึง แล้วกวักมือให้พนักงานออกไป เว้นพื้นที่ส่วนตัวให้กับทั้งสองคน เย่เนี่ยนโม่ไม่ตอบแต่ได้ถามออกไปแทน “คุณคิดว่าผมทำไปทำไม?”
ติงยียียิ้มเย็นออกมา “เตรียมซื้อของมาหลอกล่อฉันเหรอ? ต่อจากนี้เป็นอะไร รถหรือว่าบ้านละ?”
เธอจงใจยั่วโมโหเขา ถึงขนาดที่วางแผนเอาไว้เลยว่าเขาจะต้องโกรธจนเดินออกไปแน่นอน ในหัวของเธอคิดไปถึงความเป็นไปได้มากมาย มือใหญ่ข้างหนึ่งได้วางอยู่บนหัวของเธอไปเบา ๆ เย่เนี่ยนโม่ลูบลงไปเล็กน้อย “ความคิดของคุณไม่เลวเลย”
ติงยียีได้ปัดมือเขาออกไปประหนึ่งระบายความโกรธที่อยู่ภายในอกออกไป เป็นอย่างนี้ไปเสียทุกครั้ง เพียงแค่ผ่านสงครามเย็นไปแล้ว เขามักจะแสดงท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ออกมา การทำใจให้กว้างอย่างนี้มันกลับทำให้เธอยิ่งต้องระงับอารมณ์เอาไว้
“งั้นก็ทำอย่างนี้ไปสิ!” ติงยียีเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ช่วงหลังชุดเปิดออก ตอนที่ผิวสัมผัสเข้ากับอากาศแล้วจึงสั่นออกมาเล็กน้อย เธอผันร่างเตรียมจะเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย
ในทันใดนั้นเองข้อมือของเธอก็ได้ถูกจับเอาไว้ เธอโกรธจนยกมือไปทางข้างหลัง เย่เนี่ยนโม่ถอยไปข้างหลังก้าวนึง ถือโอกาสคว้าแขนของเธอเอาไว้มาอยู่ที่ข้างๆตัวเอง เธอขัดขืนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ในทันใดนั้นเองก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ชุ่มชื้นที่แผ่ออกมาตรงแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของตัวเอง
เธอประหลาดใจจนไม่รู้ว่าจะตอบสนองออกไปยังไง ความรู้สึกที่รับรู้จากการสัมผัสได้หายไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเอวไล่ลงมาในจุดที่ได้ถูกจูบไปกลับร้อนระอุขึ้นมา เสียงของเย่เนี่ยนโม่ดังขึ้นมา ได้ประดับไปด้วยความหน่ายใจขึ้นมาเล็กน้อย “ไปร่วมงานเลี้ยงงานนึงกับผม”
“ฉันไม่ไป!” ติงยียีตอบกลับมา ได้ปฏิเสธออกมาทันที
“สามหมื่นหยวน” เย่เนี่ยนโม่พูดออกมานิ่ง ๆ อยู่ทางด้านหลังเธอ เขาเห็นติงยียีพุ่งเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีน้ำทะเลมา
ความโกรธของเธออาบย้อมขึ้นไปบนหน้า ทำให้เกิดเป็นสีชมพูสวยออกมา เธอไม่มองเขา แล้วได้เปิดประตูพุ่งตัวออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่เดินตามหลังเธอไปช้า ๆ
ตระกูลเย่
อ้าวเสว่ลูบท้องพลางครุ่นคิดไป ท้องนับวันจะใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ทางด้านแม่ทำไมถึงยังไร้วี่แววอีก หรือว่าเธอจะต้องคลอดเด็กคนนี้ออกมาจริง ๆ งั้นเหรอ?
ภายในใจของเธอมันร้อนรนไม่ไหวอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของคุณย่าแล้วหลังจากที่คลอดเด็กออกมาแล้วจะต้องพาไปตรวจดีเอ็นเออย่างแน่นอน ตอนนั้นตนก็จะไม่อาจแก้ตัวออกไปได้เลย เด็กคนนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้ เก็บเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด
เธอเอามือกดไปบนท้อง แรงที่กดมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในท้องจู่ ๆ มันก็มีเสียงเต้นดังเข้ามา เธอตกใจจนปล่อยมือไป
ฝู้เฟิ่งหยีเข้ามาก็เห็นสีหน้าเธอตื่นตระหนกออกมา
“เป็นอะไรไป?” เธอถามไปด้วยความเป็นห่วง พ่อบ้านถึงขั้นเตรียมที่จะออกไปเรียกคุณหมอมาเลยทีเดียว
อ้าวเสว่เอามือซ่อนเอาไว้ใต้หมอนประหนึ่งกำลังปกปิดเอาไว้ รีบยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างลนลาน “ไม่มีอะไร? หนูก็แค่คิดเรื่องบางอย่างไปจนตกอยู่ในภวังค์เท่านั้นเองค่ะ”
ฝู้เฟิ่งหยีตบหลังมือเธอไปเบา ๆ “ถ้าเธอไม่ได้รู้สึกไม่สบายละก็ วันนี้มีงานเลี้ยงงานหนึ่งเธอไปร่วมสักหน่อย”
“งานเลี้ยง?” อ้าวเสว่มองเธอเป็นเชิงสอบถามออกมา ฝู้เฟิ่งหยีได้พูดต่อออกไปว่า “งานเลี้ยงที่ตระกูลเย่จัดขึ้น เธอไปโผล่หน้าที่นั่นมันจะมีประโยชน์ รู้หรือเปล่า?”
อ้าวเสว่พยักหน้าออกมาอย่างกระตือรือร้น คุณย่าพูดมาอย่างนี้แล้วไม่ใช่ว่าอยากจะประกาศสถานะของตนให้ได้รับรู้กัน ให้คนอื่นได้รู้กันว่าตนแล้วก็เด็กที่อยู่ในท้องตนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่กันทั้งคู่งั้นเหรอ?
“ขอบคุณค่ะคุณย่า!” อ้าวเสว่พูดออกมาด้วยความกระตือรือร้นอยู่บ้าง ฝู้เฟิ่งหยียิ้มออกมาเสียดูอ่อนโยนมากเลย “ไปเถอะ ให้เหลนฉันออกไปเจอโลกสักหน่อยมันก็ดีเหมือนกัน”
ตอนกลางคืน ลมหนาวพัดกระโชกไปทั่วทุกหนแห่ง แต่มันก็จะมีบางแห่งที่อบอวนไปด้วยกลิ่นอายที่ร้อนแรง ตรงล็อบบี้ของโรงแรมตี้เหา รถหรูคันแล้วคันเล่าได้เข้ามาจอดที่หน้าประตูทางเข้า
ที่สถานที่จัดงานเลี้ยง แขกสัญจรไปมาอย่างคับคั่งพูดคุยกระซิบกระซาบกันเสียงเบา สายตาอดไม่ได้ที่จะทอดมองไปที่ผู้หญิงที่ท้องโย้คนหนึ่งในงาน อ้าวเสว่อยู่ในชุดกระโปรงตัวโคร่ง แต่ก็ยากที่จะปกปิดท้องที่โย้ออกมาได้
เธอยืนพูดคุยกับคุณหญิงของคู่ค้าหลายท่านของศูนย์การค้าบริษัทเย่ซื่ออยู่ที่ข้าง ๆ อย่างสนิทสนม “นึกไม่ถึงว่าประธานเย่จะมีภรรยาที่ยังสาวยังสวยอยู่แล้ว เด็กคนนี้ใกล้คลอดออกมาแล้วละมั้งใช่มั้ยคะ”
“นั่นสินะ คุณพ่อหล่อเหลาคุณแม่ก็สวย ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจะต้องหล่อมาก เด็กผู้หญิงจะต้องสวยแน่นอน!”
อ้าวเสว่ตอบสนองกลับไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขนาดที่ยังมีความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา อีกหลายปีต่อจากนี้ ตนจะยืนอยู่ใต้แสงไฟสว่างไสว สวมชุดราตรีสวย ๆ จูงมือผู้ชายที่รักมากที่สุดพูดคุยหัวเราะกับคนอื่นเขาไป
“แล้วประธานเย่ล่ะ? ทำไมถึงไม่ได้มาด้วยกันกับคุณ?” ผู้หญิงหนึ่งในนั้นได้ถามออกมาด้วยความสงสัยอยากรู้
ใบหน้าของอ้าวเสว่เกรงขึ้นเล็กน้อย แต่เธอได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว “เขาค่อนข้างยุ่ง งานที่ต้องจัดการค่อนข้างเยอะค่ะ”
เสียงพูดเพิ่งจะหลุดออกไป ที่งานจู่ ๆ ก็มีความโกลาหลขึ้นมาเล็กน้อย กลุ่มคนมองไปทางประตูทางเข้า เย่เนี่ยนโม่สวมเสื้อสูทและรองเท้าหนัง ติงยียีสวมชุดเดรสยาวสีน้ำทะเล กระโปรงพลิ้วไหวไปบนพื้น
อ้าวเสว่ตัวเกร็งอยู่ที่ตรงนั้น คนที่อยู่โดยรอบได้ส่งสายตาสอบถามรวมทั้งมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นออกมาทางเธอไม่หยุด เธอก็ยืนอยู่ที่ข้าง ๆ หัวเดียวกระเทียมลีบ มองทั้งสองคนที่ถูกกลุ่มคนโอบล้อมกันอยู่ที่ตรงประตูทางเข้า
คนที่แต่เดิมได้อยู่ล้อมรอบตัวเธอนั้นก็ได้ทยอยกันออกไปพูดคุยกับเย่เนี่ยนโม่กัน อ้าวเสว่มองทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ อารมณ์จากที่อยู่สูงเหนือเมฆก็ได้ตกฮวบลงนรกไปเลยทีเดียว สายตาของเธอเลื่อนออกไปไม่ได้ ทำได้แค่เพียงจ้องมองไปอย่างนั้น
ติงยียีรู้สึกได้ถึงสายตาหนึ่งที่มองเข้ามาที่ตนอยู่ตลอด เธอหันหน้าไป สิ่งที่เห็นกลับเป็นอ้าวเสว่ เธอปล่อยมือที่คล้องเย่เนี่ยนโม่เอาไว้อยู่ สายตาของเขาก็ได้มองตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว มองตามสายตาเธอไปก็เห็นอ้าวเสว่
อ้าวเสว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แบกท้องโตมาที่ตรงหน้าของทั้งสองคน “เนี่ยนโม่ คุณย่าให้ฉันมาเปิดตัวสักหน่อย ถ้ารู้ว่าคุณพาน้องสาวฉันมา ฉันคงไม่มาหรอก รู้ว่ามีคนมาเป็นเพื่อนคุณแล้วก็ดี”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วมองไปที่ท้องของเธอ “ทำไมถึงแบกท้องออกมา คนอื่นไม่ได้ตามมา?”
คำพูดอย่างนี้ ความหมายที่แฝงอยู่ในหูของทั้งสองคนมันกลับไม่เหมือนกัน อ้าวเสว่ได้เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ภายในใจของติงยียีมันกลับค่อย ๆ จมดิ่งลงไป “ที่แท้เขาก็เป็นห่วงสุขภาพของอ้าวเสว่นี่เองถึงได้พาตนมางั้นเหรอ? ไม่อยากให้เธอต้องลำบาก แต่ก็ต้องการผู้หญิงสักคนนึงมาด้วย”
“ฉันไปสูดอากาศสักหน่อย” ติงยียีก้มหน้าพูดออกไปประโยคนึงอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ออกไปจากฝูงชนทันที เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก หรือเป็นเพราะว่าตนมองไปแล้วดูเข้มแข็งเก่งกาจอยู่เสมอก็เลยต้องเจ็บอยู่เสมอ?
เธอพยายามกัดริมฝีปากข่มกลั้นอารมณ์ไปสุดกำลัง เห็นสนามหญ้าด้านนอกโรงแรมก็ได้พุ่งออกไปทันที ทันทีที่ออกไปก็ได้ถูกดึงเอาไว้ เธอได้กรีดร้องออกมา น้ำตาก็ได้ไหลออกมาทันที
เย่ชูหวินเห็นเธอร้องไห้ออกมาแล้ว ตะลึงงันไปแป๊บนึงแล้วก็รีบปล่อยมือออกไป ในน้ำเสียงได้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ “ยียี คุณเป็นอะไรไป?”
พอติงยียีเห็นเขา ในทันใดนั้นเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อยเลย เธอส่ายหน้าหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนที่สัญจรไปมา ข้อมือได้ถูกดึงเอาไว้อีกครั้ง เย่ชูหวินกุมข้อมือบางของเธอไปอย่างอ่อนโยน พาเธอเดินไปยังสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอกสนามหญ้า
น้ำในสระใสมาก ทิวทัศน์ที่ประทับอยู่โดยรอบล้วนแล้วแต่จะละลานตากันไปหมด แสงจันทร์ห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ประหนึ่งผ้ามุ้งบาง ๆ เย่ชูหวินอยากจะพูดอะไรออกไป แต่กลับรู้สึกเหมือนกับว่ามีเข็มติดอยู่ที่ตรงลำคอ เขาค่อย ๆเอ่ยปากพูดออกไปช้า ๆ “เจ็บปวดมากเลยเหรอ? เจ็บปวดเสียจนทนไม่ไหวเลยเหรอ?”
เสียงของเขาเหมือนกับมีพลังวิเศษ ติงยียีพยักหน้ารับออกมาเล็กน้อย พูดออกมาด้วยเสียงที่ขึ้นจมูกว่า “เจ็บมากเลย เจ็บจนฉันจะตายไปเสียให้ได้อยู่แล้ว”
เย่ชูหวินมองเธอไปเงียบ ๆ สายตาอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าน้ำในสระอยู่หลายส่วน เขายื่นแขนทั้งสองข้างออกไป “ถ้าเจ็บปวดล่ะก็มาหลบอยู่ในอ้อมแขนผมสักหน่อยเถอะ”
ติงยียีมองเขาไปอย่างอึ้ง ๆ สายตาของเขามันอ่อนโยนมากจริง ๆ อ้อมกอดของเขามันอบอุ่นมากจริง ๆ เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขา ทีละก้าวๆ ชายกระโปรงสีน้ำทะเลได้พลิ้วไหวออกมาเล็กน้อย
ระยะห่างอีกเพียงแค่ก้าวเดียว มือที่เธอทิ้งวางไปที่ข้างลำตัวกลับถูกคว้าเอาไว้ทันที สายตาของเย่เนี่ยนโม่มืดครึ้มเสียจนน่ากลัว แรงที่จับติงยียีเอาไว้มันยิ่งแรงขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก
พอเขาออกแรงไป ติงยียีโซเซจนล้มไปทางเขา ในนาทีนั้นเอง เย่ชูหวินก็ได้ยื่นมือมาจับข้อมืออีกข้างนึงของเธอเอาไว้ บรรยากาศมันก็ได้หยุดนิ่งไปทันที
แรงของทั้งสองคนต่างก็เยอะมากด้วยกันทั้งคู่ ติงยียีอดไม่ได้ที่จะงอตัวเล็กน้อยแล้วส่งเสียงร้องเจ็บออกมา เย่ชูหวินลังเลไปแป๊บนึง สุดท้ายก็ได้ปล่อยมือไป เย่เนี่ยนโม่ได้กุมมือเธอเอาไว้แน่นแล้วดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง
“อย่าให้มากเกินไปหน่อยเลย” เสียงของเย่ชูหวินประดับไปด้วยความเยือกเย็น เห็นติงยียีเจ็บขนาดนั้น เขาแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
เย่เนี่ยนโม่รัดกุมคนที่อยู่ในอ้อมแขนแน่นพลางพูดออกมานิ่ง ๆ “เธอเป็นคนอาสามาเองไม่ใช่เหรอ?”