เย่เนี่ยนโม่มาที่ห้องของอ้าวเสว่ พอเข้าไปอ้าวเสว่ก็กระโจนเข้ามาในอ้อมแขนของเขา “เนี่ยนโม่ ฉันฝัน น่ากลัวมากเลย ในฝันมีคนจะมาทำร้ายลูกของเรา”
“อ้าวเสว่พอแล้ว” เย่เนี่ยนโม่ดึงแขนของเธอที่กำลังพาดอยู่บนลำคอของตนออกไปเบา ๆ สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง ในดวงตาแสดงความเข้าใจแจ่มแจ้งทุกอย่าง
“เนี่ยนโม่ ทำไมคุณต้องดุขนาดนี้ด้วย? คุณโกรธเรื่องเมื่อเย็นวันนี้อยู่เหรอ? ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ฉันเองก็เพิ่งมารู้เอาตอนหลังเหมือนกัน” อ้าวเสว่มองเขาไปอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
เย่เนี่ยนโม่เว้นระยะห่างกับเธอหนึ่งช่วงแขน “หลังจากคลอดลูกแล้วเธอก็ออกไปจากตระกูลเย่ การตัดสินใจนี้มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
อ้าวเสว่ได้ตกตะลึงไปชั่วขณะนึง เธอยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด “ฉันรู้ ฉันไม่ลืม หลังจากนี้เด็กคนนี้จะมอบให้คุณกับยียีเป็นคนเลี้ยงดู ฉันจะไม่มารบกวนพวกคุณอีก”
สีหน้าของเย่เนี่ยนโม่ได้อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย ความอ่อนโยนอย่างนี้ในความคิดของอ้าวเสว่นั้นมันยิ่งเป็นการเยาะเย้ยที่น่าเจ็บปวดเสียมากกว่า เธอพยายามลองดึงมือเขามาวางบนท้องของตัวเอง “เพียงแค่คืนนี้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย? ฉันฝันร้ายจริง ๆ”
ภายใต้แสงไฟสีเหลืองส้ม อ้าวเสว่ได้จับมือของเย่เนี่ยนโม่เอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปเลยสักนาทีเดียว คิ้วเรียวยาวของเธอได้ขมวดเล็กน้อย บนใบหน้ามีความเศร้าโศกที่ไม่อาจสลายไปได้เลย แสงไฟได้ดึงเอาเงาร่างเบื้องหลังของพวกเขาทั้งสองคนทอดยาวออกไป
ส่วนอีกด้านนึงก็มีคนที่เศร้าเสียใจอยู่คนนึงเหมือนกัน เธอเดินไปมาอยู่ในห้อง เท้าเหยียบอยู่บนพรมขนแกะที่อ่อนนุ่ม พระจันทร์ค่อย ๆ ซ่อนเข้าไปในชั้นเมฆ ทั้งเศร้าเสียใจและทั้งโดดเดี่ยว
“คุณยียีนอนเถอะครับ คุณผู้ชายเขาไม่กลับมาแล้ว” พ่อบ้านยืนมองเด็กตรงหน้าที่มักจะมีความโศกเศร้าออกมาจาง ๆ อยู่ที่ปากประตูทางเข้า ครั้งแรกตอนที่เจอเธอ เธอยังสดใสร่าเริงอยู่เลย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บนใบหน้าของเด็กคนนี้ได้ประดับไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจกัน
“ขอบคุณค่ะ” ติงยียียิ้มให้เขาไปเล็กน้อย ผันร่างปิดบังความอ้างว้างในดวงตา เธอรู้ว่าเขาจะไม่กลับมา เธอรู้
ตอนเช้ามืด ติงยียีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ในดวงตาของเธอไม่ได้มีความง่วงนอนอยู่เลย ตาตื่นตลอดทั้งคืน เฉยชาไร้ความรู้สึกไปทั้งคืน รออยู่ทั้งคืนทั้งที่รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าไม่มีหวัง
“ฮัดชิ้ว!” เธอจามออกมาอย่างแรง ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า เปิดตู้เสื้อผ้าแต่พบว่าชุดสาวใช้ที่ปกติจะต้องใส่ได้หายไปแล้ว แทนที่ด้วยเสื้อผ้าใหม่อยู่เต็มตู้ แม้แต่ป้ายที่ห้อยอยู่ก็ไม่ได้ดึงออกไปเลย
เธอก็เลยต้องเลือกเสื้อเชิ้ตสีขาวมาตัวนึง สวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาเตรียมกินข้าวที่ห้องอาหารของคนใช้ ต้าต้าเห็นเธอก็พูดออกมาอย่างตกใจว่า “ยียีเธอมาได้ยังไง ไม่สิ คุณยียี”
“มีอะไรเหรอ?” ติงยียีรู้สึกได้ถึงท่าทีที่แตกต่างไปของทุกคน หัวของเธอปวดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังฝืนให้มีชีวิตชีวาออกมา
“คุณผู้ชายได้สั่งเอาไว้แล้ว ต่อจากนี้ไปเธอไม่ต้องทำงานสาวใช้อีกแล้ว ถ้าใครมอบหมายงานให้เธอ ก็ไล่คนนั้นออกไปจากตระกูลเย่” เสียงของต้าต้าได้เบาลงเรื่อย ๆ
ติงยียีไม่อาจฝืนทนให้พวกเธอต้องลำบากใจกันไปได้ ก็เลยต้องตอบรับไป ทั้งห้องรับแขกเงียบเชียบมาก จู่ ๆ ติงยียีก็คิดถึงแพนด้าขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ที่ฝรั่งเศสจะเป็นยังไงบ้าง เอเลนได้ดูแลมันดีหรือเปล่า
เธอหยิบกระเป๋าสะพายออกจากบ้านไป วันนี้นัดเจอกับชิวไป๋เอาไว้แล้ว ตอนที่ออกจากบ้านไปก็มีคนขับรถเดินเข้ามาหา ติงยียีจำได้ว่าคนขับรถเป็นคนที่เย่เนี่ยนโม่บอกกับตนมาเมื่อตอนนั้นว่าเป็นคนที่ท่านนายส่งมาสอดส่องตน
เธอยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วแจ้งชื่อสถานที่ไป “รบกวนคุณแล้ว”
ตอนเช้าตรู่ ร้านกาแฟล้วนเป็นกลุ่มคนทำงานที่กระจัดกระจายกันอยู่เต็มไปหมด กลุ่มคนทำงานบางคนเห็นรถปอร์เช่คันหนึ่งเข้ามาจอดที่หน้าร้านกาแฟต่างก็ลอบอิจฉากันขึ้นมา ถ้าได้ขับรถปอร์เช่ก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อเงินไม่กี่พันหยวนแล้ว
ติงยียีลงจากรถเห็นกลุ่มคนทำงานที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนัง ภายในใจมันกลับรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาถึงแม้ว่าจะเหนื่อย แต่อย่างน้อยก็ต่อสู้ดิ้นรนสุดกำลังเพื่อตัวเอง ส่วนเธอน่ะเหรอ เธอนั้นไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอเหมือนอะไร ถูกคนอื่นกักขังเอาไว้ในที่แห่งหนึ่งไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
ทันทีที่เข้าไป บริกรก็แนะนำกาแฟที่แพงที่สุดในร้านให้เธออย่างกระตือรือร้น ติงยียียิ้มพลางสั่งกาแฟธรรมดาที่ตัวเองดื่มบ่อยที่สุดไปแก้วหนึ่ง
เพียงไม่นาน ชิวไป๋กับเย่ชูหวินก็เดินเข้ามา สายตาของติงยียีได้หยุดอยู่ที่บนใบหน้าของเย่ชูหวิน แต่กลับเป็นอีกฝ่ายที่หลบสายตาเธอแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์แทน
สายตาของเธอก็ได้หม่นลง หรือว่าเมื่อคืนตนจะทำร้ายจิตใจเขาไปแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ? กำลังรู้สึกไม่ดีอยู่นั้นเองปลายจมูกก็ได้กลิ่นหวานเลี่ยนลอยเข้ามา ทาร์ตไข่ชุดนึงได้วางอยู่ที่ตรงหน้าเธอ ในน้ำเสียงของเย่ชูหวินได้แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เช้าตรู่อย่างนี้อย่าดื่มแค่กาแฟเปล่า ๆ”
“จุ๊ ๆ ๆ ใส่ใจกันจังเลยอ่ะ” ชิวไป๋ขยิบตาพูดขำ ๆ ออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ติงยียีย้อนถามกลับออกไป “เธอเองก็มีนี่”
สีหน้าของชิวไป๋แข็งเกร็งออกมา “ฉันไม่มีเสียหน่อย” เธอถอนรอยยิ้มกลับมาแล้วหยิบของที่ห่อกระดาษหนังวัวชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วดันไปที่ตรงหน้าของติงยียี “ด้านในเป็นเงินหกแสน ฉันรู้ว่าเธอไม่ต้องการเงินของคนอื่น แต่เรื่องนี้ฉันเองก็มีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นผู้จัดการแต่ไม่ได้ช่วยเธอตรวจสอบให้ดี เงินนี้เธอเอาไปเถอะ”
ติงยียีอึ้งค้างไป ยื่นมือไปดันเงินกลับไป น้ำตาของชิวไป๋ไหลพรากลงมา “เธอรับไปเถอะ เธอรู้หรือเปล่าว่าฉันโทษตัวเองแค่ไหน สิ่งที่คิดอยู่ทุกวันก็คือจะช่วยเธอออกมายังไงดี”
เสียงของเธอทำเอาใจของติงยียีอ่อนยวบลง เธอรีบหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เธอไปเสียให้ควั่ก น้ำเสียงเองก็ได้ประดับไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นออกมาด้วย “เธอร้องไห้อะไรเนี่ย ร้องเสียฉันอยากร้องไปด้วยเลย”
ชิวไป๋หันหน้าไปเช็ดขอบตาเพื่อไม่ให้ตาที่แต่งมาเลอะไป ผ่านไปสักพักนึงกว่าจะหันหน้ามาอีกครั้ง “ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเก็บเงินนี้เอาไว้ให้ดี”
ติงยียีก็เลยต้องเก็บเอาไว้ เธอรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่มีทางจะสนใจเงินพวกนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะยืมเงินจากใครก็ดีทั้งนั้น เธอไม่ได้อยากติดค้างอะไรเขาเลย
ประตูถูกเปิดออก ชิวไป๋ยังกำลังยุ่งอยู่กับว่าอายไลเนอร์ของตัวเองเปื้อนออกมาหรือเปล่า ไม่ได้สังเกตเห็นว่าด้านหลังมีคนยืนอยู่คนนึง จนกระทั่งที่ข้างตัวได้ยื่นกระดาษทิชชูมาให้แผ่นนึง
เธอรับมา จากนั้นก็ตะลึงงันไปเลย ติงยียีกับเย่ชูหวินยืนขึ้นมาอย่างรู้สถานการณ์ เย่ป๋อมองเส้นเลือดแดงที่เบ้าตาของชิวไป๋ไปอย่างเจ็บปวดใจ
ชิวไป๋หน้าบึ้งออกมา “นายยังจะพูดอะไรอีก? ฉันกับนายไม่มีอะไรให้ต้องพูดกันอีกแล้ว”
จู่ ๆ เย่ป๋อก็ลุกขึ้นเดินผ่านออกไปจากข้าง ๆ ร่างของเธอไป เธอไม่ได้หันหน้าไป แต่น้ำตากลับไหลลงมา หยุดไม่ได้เลย ในทันใดนั้นเองตรงหน้าก็ได้มีถุงกระดาษถุงหนึ่งวางลงมา กลิ่นเค้กลอยเข้ามาในจมูก
“ผมก็แค่ไปช่วยเอามื้อเช้ามาให้คุณร้องไห้อะไรกัน?” เย่ป๋อส่งกระดาษทิชชูมาให้อีกครั้งอย่างจนใจ ชิวไป๋สูดจมูกออกมาเล็กน้อย พยายามสงบสติอารมณ์ให้กลับไปเป็นปกติ “ฉันกับนายไม่เคยเริ่มต้นกันมาก่อน เมื่อก่อนเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ อนาคตก็ยังเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน”
“ผมรอได้” เย่ป๋อพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ เขาพูดจาสวยหรูไม่จริงใจแบบนั้นไม่เป็น เพียงแค่พูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมาเท่านั้น
ชิวไป๋ส่ายหน้าออกมา “รอ! รอฉัน? รอจนรอยเหี่ยวย่นของฉันมันปกปิดไม่ได้แล้ว รอจนถึงตอนที่ผมฉันเป็นหงอกขาวไปหมดคุณก็จะยังรอฉันอยู่เหรอ?!”
เสียงของเธอค่อนข้างดังเล็กน้อย รอบข้างก็มีคนมองเข้ามาไม่หยุดหย่อน ร่างของเธอสั่นออกมา ตกใจตื่นขึ้นมาจากฝันมากี่ครั้ง เนื้อหาที่อยู่ในฝันล้วนแล้วแต่จะเป็นภาพที่เธอถอดเสื้อผ้าออก ผิวหนังหย่อนคล้อยเสียจนไม่ผุดผ่องเลยสักนิดเดียวทั้งนั้น ริมฝีปากเธอสั่นออกมา “ฉันเคยคิดว่าการแก่ไปมันก็เป็นสภาพที่เป็นไปตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่หลังจากที่รักคนคนนึงแล้วก็ได้พบว่าการแก่ก่อนอีกฝ่ายมันเป็นการทรมานกันอย่างหนึ่ง”
คำพูดของเธอเพิ่งจะออกมาจบก็ได้ถูกแรงหนึ่งดึงเข้าไปในอ้อมแขนอย่างแรง เย่ป๋อรัดเธอเอาไว้แน่น เหมือนกับจะโอบกอดเธอเข้าไปในกระดูกเลือดเนื้อของตัวเองไปเลยก็ไม่ปาน การโพล่งเอาความคิดของตัวเองออกมาด้วยความโกรธประโยคนั้นได้ทำให้เลือดทั้งร่างของเขามันเดือดพล่านออกมาไม่มีหยุด
“จะต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าผมจะอยู่กับคุณ อยู่กับคุณไปตลอด” เย่ป๋อจูบไปที่กระหม่อมเธอไปด้วยความรักใคร่พลางพูดเสียงกระซิบออกมา ด้านนอกหน้าต่าง ติงยียีแอบส่งสัญญาณมือให้เย่ชูหวินไปเงียบ ๆ
เย่ชูหวินมองเธอไปอย่างไม่เข้าใจ ติงยียีรีบร้อนขึ้นมา จูงมือเขาแอบหนีออกไปข้างนอก บรรยากาศด้านในมันดีขนาดนี้ ยังไงก็จะเข้าไปรบกวนไม่ได้เด็ดขาด
เย่ชูหวินตามอยู่ข้างหลังเธอ เห็นเธอก้มตัวลงคืบคลานเข้าไปจากด้านล่างขอบหน้าต่างไปอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วก็หันมาแลบลิ้นให้เขาไปเป็นครั้งคราว ท่าทางดูน่ารักซุกซน
เดินผ่านไปจากของหน้าต่างของร้านกาแฟไป ติงยียียืดเอวเล็กน้อย มือทั้งสองข้างอ้าออกหมุนไปรอบนึงอย่างมีความสุข พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “มีความสุขมากเลยจริง ๆ ! ตอนนี้ความเข้าใจผิดของทั้งสองคนคงจะคลี่คลายกันแล้วล่ะมั้ง”
เย่ชูหวินมองมือที่ถูกปล่อยออกของตัวเอง บนมือเหมือนกับยังมีกลิ่นหอมจากร่างของเธอเหลือทิ้งเอาไว้อยู่ เขาได้เอ่ยพูดออกมาทันที “หลังจากคืนเงินไปหมดแล้วคุณยังอยากจะทำอะไรอีก?”
ติงยียียืนนิ่ง ด้านหลังเธอเป็นพืชพรรณสีเขียวที่ปริบานแม้แต่ในช่วงฤดูหนาว เธอเอียงหัวครุ่นคิดไปอย่างตั้งอกตั้งใจ “ฉันอยากไปเรียนออกแบบเครื่องประดับที่ฝรั่งเศส”
เย่ชูหวินพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ออกมาเล็กน้อย บนใบหน้าได้ประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยจริง ๆ”
“คุณว่าคอนโดสองห้องนอนที่ฝรั่งเศสมันแพงหรือเปล่า? จะไปพักอยู่ที่แมนชั่นของอาจารย์ไปตลอดก็ไม่ได้” ติงยียีมองเขาไปอย่างเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงลากยาวออกมา
เย่ชูหวินไม่มีการตอบสนองออกมา ตอบกลับไปโดยอาศัยแค่ความรู้สึก “คอนโดสองห้องนอนเหรอ? อีกห้องหนึ่งเอาไว้ให้แพนด้า?”
ติงยียีมองเขาไปด้วยรอยยิ้ม พลางส่ายหน้าออกไปเบา ๆ เย่ชูหวินขมวดคิ้วออกมา “งั้นห้องที่เหลืออยู่อีกห้องให้ใคร?”
ดวงตาที่เขามองเธอจู่ ๆ มันก็รู้แจ้งขึ้นมาทันที คนที่จมอยู่กับบางอย่าง ใจที่ถูกทำร้ายไปได้เต้นขึ้นมาอย่างกับเป็นปาฏิหาริย์ ติงยียีเดินเข้าไปที่ข้าง ๆ เขาเขย่งเท้าจ้องมองเขาไปอย่างเอาจริงเอาจัง “ฉันไม่ได้ลืมเขาไปเร็วขนาดนั้น อย่างนี้ก็ไม่เป็นไรเหรอ?”
ในอกของเย่ชูหวินได้สะเทือนไปที่ความรู้สึกที่เรียกกันว่าความสุข ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเธอไม่ได้รักตนเลย แต่พอคิดขึ้นมาว่าเธอยินดีลองพยายามดู ความอ่อนโยนภายในใจมันแทบจะขยายตัวออกมาเลย
“ผมรอคุณได้ รอจนถึงตอนที่คุณพูดถึงเขาแล้วจะไม่เศร้าเสียใจอีก” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาได้หลอมละลายหิมะฤดูหนาว ให้ละลายกลายเป็นสายลมที่อบอุ่นที่สุด
พระอาทิตย์ในหน้าหนาวมักจะแทบจะรอจากไปอยู่แทบไม่ไหว เย่ชูหวินกับติงยียีก้าวเข้าประตูทางเข้าตระกูลเย่ไป พ่อบ้านมองทั้งสองคนไปเล็กน้อย กำลังจะเข้าไปรายงาน เย่ชูหวินก็ส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย เดินตามติงยียีเข้าห้องรับแขกไป
ภายในห้องรับแขก เย่เนี่ยนโม่หันหลังให้กับประตูทางเข้า อ้าวเสว่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา ในมือของฝู้เฟิ่งหยีกำลังถือสมุดสีเหลืองเล่มหนึ่งพูดอยู่ที่ข้าง ๆ “ชื่อของเด็กคนนี้ต้องตั้งให้ดี ๆ พวกเธอลองดูชื่อนี้สิเป็นยังไง เย่ยวนเจี๋ย หวังว่าเขาจะเป็นผู้คงแก่เรียน และยอดเยี่ยมเหมือนกับผู้ชายตระกูลเย่ไปตลอด”
อ้าวเสว่แบกท้องประชิดเข้าไปหา แม้แต่สายตาของเย่เนี่ยนโม่ก็ได้เคลื่อนเข้ามาด้วยเหมือนกัน ทั้งสามคนมีท่าทางดูเป็นครอบครัวสุขสันต์สมัครสมานร่วมใจกัน เย่ชูหวินพอคิดจะพูดออกไป ติงยียีก็ได้ดึงเขาเอาไว้พลางส่ายหน้าให้เขาไปเล็กน้อย
“เนี่ยนโม่คุณคิดว่ายังไงบ้าง?” อ้าวเสว่ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “ฉันคิดว่าชื่อที่คุณย่าตั้งมามันดีมากเลย”
ฝู้เฟิ่งหยีพอได้ยินเธอคล้อยตามข้อเสนอของตัวเอง สีหน้าที่แสดงออกมาในตอนนี้ก็ยิ่งมีความสุขขึ้นมา เย่เนี่ยนโม่ได้กลับไปนั่งแล้ว “เอาตามคุณย่าว่ามาก็ดี”
เย่ชูหวินที่สุดก็ทนไม่ไหวขึ้นมาแล้ว เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินเข้าไป “คุณย่า!”