สถานการณ์กดดันตึงเครียดขึ้นมา องค์จักรพรรดิพาคนมาที่บริเวณชายหาดอย่างรีบเร่ง เพื่อตรวจสอบดูสถานการณ์
ซูเจ๋อมองแสงไฟสลัวขมุกขมัวที่อยู่บนท้องทะเลไกลๆ โครงร่างของเรือลำหนึ่งที่อยู่ในสีของท้องฟ้ายามค่ำคืนทำให้มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เขาบีบดวงตาแคบลง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองกำลังเฝ้าปรารถนาอะไร ครั้นแล้วดวงตาของเขาก็เหมือนกับประกายไฟอันน้อยนิดที่อยู่แสนไกลนั่น
ซูเจ๋อกล่าวว่า “เรือลำเดียว ไม่ได้มาจุดชนวนเริ่มต้นสงครามหรอก”
และเวลานี้ซูเซี่ยนก็ยืนเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงอยู่บนดาดฟ้าของเรือเช่นกัน และเรือเดินทะเลห่างจากชายฝั่งทะเลอยู่ประมาณหกร้อยหกสิบหกถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเมตร ได้ยินเฮ่อโยวกล่าวว่า “บนฝั่งแสงไฟสว่างไสว เกรงว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “พวกเรารู้ชัดเจนว่าพวกเขาคือผู้ใด แต่ทว่าพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเราคือใคร เพราะฉะนั้นต้องส่งคนมาอย่างแน่นอน ไม่ต้องรีบร้อน”
หลังจากนั้นก็รับสั่งลงไปให้เทียบท่าเรือพักผ่อน แล้วแบ่งทหารรักษาพระองค์ไปสองชุดเพื่อเข้าเวรก็ได้
เฮ่อโยวลูบคลำที่จมูก มองซูเซี่ยนที่หันกลับเดินเข้าไปภายในห้อง บนตัวของเขายังหาความรีบร้อนไม่เจอจริงๆ เย่ซวิ่นที่อยู่ในห้องยิ่งไม่ต้องเอามาพูดถึง ดื่มเหล้าอย่างมีความสุขกับชายหนุ่มรูปงามและสาวใช้อยู่ ไม่ต้องพูดว่าเขามีความสุขสบายใจแค่ไหนหรอก
เหตุใดแต่ละคนถึงไม่ได้รีบร้อน? หากปะมือกันกับเป่ยเซี่ยขึ้นมาจริง ผลที่ตามมาไม่สามารถประมาณการได้เลยนะ
เฮ่อโยวเฝ้าคอยให้เฉินสียนรีบเร่งตามมาควบคุมสภาพการณ์นี้ และเขาก็จะไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอย่างนี้
ตั้งแต่กลางดึกจนถึงฟ้าสาง เรือเดินทะเลเทียบท่าอยู่บนน่านน้ำทะเลอย่างสงบ ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย
วันต่อมาพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นจากพื้นระนาบของน่านน้ำทะเล แสงสว่างเปล่งประกาย โครงร่างของเรือที่จอดห่างออกไปหกร้อยเมตรนั้น ทำให้คนที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่บนชายฝั่งอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
ถึงแม้ว่าจะห่างกันไกล ก็ยังคงมองเห็นความใหญ่โตวิจิตรตระการตาของเรือเดินทะเลลำนั้นอย่างเลือนราง อยู่ที่เป่ยเซี่ยไม่เคยเห็นเรือลำใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย
เรื่องแบบนี้หากว่าทำสงครามสู้รบบนทะเลกับเป่ยเซี่ย แม้ว่ามีการฝึกฝนทหารเป็นประจำ ให้คุ้นเคยกับน้ำแล้วอย่างไร เป่ยเซี่ยอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองเหมือนเดิม
ทหารที่อยู่ด้านข้างมีหน้าที่รับผิดชอบป้องกันแนวชายฝั่งทะเลกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท เรือลำนั้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวันนี้ ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ และยิ่งไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด”
ถึงวันนี้ตอนเช้า มีเสียงซอเอ้อร์หูผีผาและขลุ่ยอยู่บนท้องทะเลดังมา ล่องลอยอยู่บนน่านน้ำทะเลที่กว้างโล่ง ราวกับเสียงดนตรีในโลกของเซียน
มองจากที่สูงออกไปไกลๆ สามารถมองเห็นว่ามีร่างคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนเรืออย่างเลือนรางไม่ชัดเจน แต่นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร
ท่านอ๋องมู่กล่าวว่า “เจรจากันด้วยเหตุผลก่อนไม่รู้เรื่องค่อยใช้กำลัง ไม่ดีเท่ากับการส่งคนไปสอบถามสถานการณ์ก่อน”
สองวันหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเลยได้ส่งทูตผู้หนึ่งนั่งเรือลำเล็กไปเข้าใกล้เรือใหญ่นั่น
ระยะห่างเข้าใกล้เรื่อยๆ ทูตผู้นั้นจำเป็นต้องเงยหน้ามองเรือลำใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เขาตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก
ประเดี๋ยวเดียว ขอบสองข้างของเรือได้มีลูกธนูโก้งโค้งอยู่ บนมือของทหารรักษาพระองค์เต็มไปด้วยลูกธนู และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือพุ่งเป้าหมายไปที่ทูตบนเรือลำเล็ก
ทูตตื่นตระหนกตกใจ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “ข้าเป็นทูตที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยส่งมา ขอให้เหล่าพี่น้องที่อยู่ด้านบนได้โปรดเข้าใจ!”
เฮ่อโยวปรากฏตัวที่ด้านข้างราวจับ ก้มศีรษะลงมอง แล้วออกคำสั่งว่า “นำตัวเขาขึ้นมาบนเรือ”
ทันทีหลังจากนั้นด้านบนเรือได้ปล่อยบันไดไม้ลงมา ขาทั้งสองข้างที่อ่อนแรงของทูตผู้นั้นได้ปีนป่ายบันไดไม้ขึ้นไป อยู่ใต้เท้านั่นเป็นทะเลลึกกว้างมหาศาล หากว่าขาลื่นเสียบลงไปไม่สามารถขึ้นมาได้ หัวใจกับตับของทูตเลยสั่นไหวระริก ไม่กล้าก้มศีรษะมองลงไปเลยสักนิดหนึ่ง
บนใบหน้าของเขามีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา รู้สึกว่าตลอดชีวิตที่เป็นทูตมานี่เป็นหน้าที่ที่ยากที่สุดแล้ว
รอขึ้นมาบนดาดฟ้าของเรืออย่างปลอดภัยแล้ว ขาทั้งสองข้างของทูตยังคงสั่นเทาอยู่
เขาเช็ดเหงื่อที่มุมหน้าผาก เฮ่อโยวนำทางเขาไปพบซูเซี่ยน
เวลาเดียวกันร่างเล็กของซูเซี่ยนได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แบบโบราณ บนใบหน้ามีอารมณ์ความรู้สึกดีใจ โกรธ เศร้าโศก และความสุขอย่างที่เด็กน้อยควรจะมีน้อยมาก ตั้งแต่ทูตเข้ามา แววตาที่แยกแยะละเอียดอย่างชัดเจนได้มองที่ตัวของทูต เรียบเฉยเย็นชามาก
ทูตก้มศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ แนะนำตัวเองว่าเป็นทูตที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยส่งมาทักทายปราศรัยโดยเฉพาะ
ซูเซี่ยนรอเขาพูดไปสักพักหนึ่ง ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเป่ยเซี่ยจะมีน้ำใจไมตรีชอบรับแขกเช่นนี้ แต่ที่ข้าได้ยินมา องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยของพวกเจ้าเวลาพูดคุยชอบพูดเสียดสี ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร้ความรู้สึกนะ”
ทูตที่ก้มศีรษะทำความเคารพอยู่ตลอดนั้น คิดไม่ถึงว่าเสียงที่ตอบกลับเขามาเป็นเสียงของเด็กน้อย เขาชะงักงัน หลุบตาขึ้นชำเลืองมองอย่างรวดเร็ว เกินความคาดหมายเป็นเด็กน้อยอย่างที่คิดจริง มองผ่านๆ รู้สึกเพียงว่าร่างเล็กขาวละมุนละไม สวยสง่างามเป็นอย่างมาก อีกทั้งสูงส่งเกินคำบรรยาย
ทูตรีบกล่าวว่า“ท่านชายน้อยต้องได้ยินข่าวโคมลอยอะไรเป็นแน่ ท่านชายน้อยมาจากต้าฉู่ใช่หรือไม่?”เมื่อครู่เขาขึ้นเรือมาเห็นชุดเกาะทหารและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเฮ่อโยว น่าจะเป็นคนของต้าฉู่ไม่ผิดเพี้ยนหรอก ครั้นแล้วกล่าวอีกว่า “หากผู้ที่มาเป็นแขก องค์จักรพรรดิของเป่ยเซี่ยต้องต้อนรับอย่างแน่นอน หากท่านชายน้อยมาท่องเที่ยว เหตุใดถึงไม่เข้าใกล้ชายฝั่งแล้วไปท่องเที่ยว องค์จักรพรรดิของเป่ยเซี่ยต้อนรับดูแลอย่างทั่วถึงแน่นอน”
ทูตคิดว่า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ น่าจะค่อนข้างง่ายที่จะหลอกลวงให้รู้สึกดี
แต่ทว่าจะรู้ที่ไหนกันว่าซูเซี่ยนจะโกรธก็โกรธขึ้นมาเลย เขากล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้วเป่ยเซี่ยปฏิบัติกับทูตต้าฉู่ของข้าอย่างไร และวันนี้ข้าก็จะปฏิบัติกับทูตของเป่ยเซี่ยที่มาบ้าง ทหาร นำตัวเขาทิ้งลงไปในท้องทะเล”
ไมว่าทูตจะร้องตะโกนอย่างไร ก็ได้ถูกทหารรักษาพระองค์ลากตัวออกไป แล้วทิ้งลงในท้องทะเล
ทูตร้องอย่างน่าสงสารเวทนาแล้วตกลงไปในท้องทะเล
ผู้ที่พายเรือพาทูตมาเห็นเหตุการณ์ เลยรีบเร่งพายไปตรงที่ทูตร่วงลงมา หลังจากที่ดิ้นรนอยู่ในน้ำสักพัก ทูตก็นับว่าปีนป่ายขึ้นมาบนเรือเล็กได้อย่างราบรื่นแล้ว แต่ทั้งตัวเปียกโชกอย่างกับลูกหมาตกน้ำไม่มีผิดเลย
ทูตได้รับความอับอาย ทำให้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอับอายด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าเสียดายห่างตั้งไกลเช่นนี้ แม้ว่าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโมโห จะเอาซูเซี่ยนมาก็ไร้หนทาง
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสีหน้าอึมครึม ฟังทูตเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลังจากที่เขาขึ้นไปบนเรือ
น่าจะเป็นเรือของต้าฉู่จริงไม่ผิด บนเรือมีทหาร เรือลำใหญ่ จนกระทั่งมีกำลังทหารเท่าไหร่ ทูตเพียงแค่แอบดูจากช่องเล็กๆบนเรือ ไม่กล้าบุ่มบ่ามตัดสินชี้ขาด
ทูตยังนำคำพูดต้นฉบับของซูเซี่ยนกราบทูลองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย สีหน้าขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย
สุดท้ายคำพูดของทูตที่ว่า “เจ้านายของฝั่งตรงข้ามเป็นเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบ”ทำให้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยแปลกประหลาดใจ
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้สติกลับมา แววตาราวกับคบเพลิงจ้องเขม็งใส่ทูต แล้วกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าเขาเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบหรือ?”
ทูตพยักหน้า กล่าวว่า“พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรีบเดินมาด้านหน้า เพ่งมองทูตแล้วกล่าวว่า “เขามีลักษณะอย่างไร?”
ทูตกล่าวอย่างรู้สึกลำบากใจว่า “กระหม่อมเพียงแค่ชำเลืองมองผ่านๆ โปรดพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเวลานั้นกระหม่อมไร้หนทางที่จะมองอย่างละเอียด”
“ทหาร ไปนำรูปภาพคนในราชนิเวศน์ของข้ามา!”
ต่อมา รูปภาพหนึ่งได้มอบวางอยู่ตรงหน้าของทูต องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวถามว่า “มองให้ข้าอย่างละเอียด เด็กน้อยผู้นั้นใช่เด็กที่อยู่บนภาพวาดนี้หรือไม่?”
ทูตกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า“คล้ายคลึงแปดเก้าคะแนนพ่ะย่ะค่ะ”
ต่อมาคิดไม่ถึงเลยว่า องค์จักรพรรดิไม่เพียงแค่ไม่โมโหที่ทูตของเป่ยเซี่ยตกลงไปในน้ำทำให้ได้รับความอับอาย กลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา และยังคงกล่าวว่า “นั่นคือหลานชายของข้า!”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยส่งคนไปที่น่านน้ำทะเลอีกครั้ง
ครั้งนี้เชื้อเชิญให้ซูเซี่ยนขึ้นฝั่งมาสังสรรค์ ชัดเจนว่าตอนนี้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรออยู่ที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ได้แต่งตั้งกองกำลังทหารซุ่มหมอบโจมตี และก็รอข้าตกเข้าไปในหลุมพราง?”