เสียงเคาะประตูนั่นทำให้เฉินเสียนตื่นตระหนกทันที
ตัวของเย่ซวิ่นครึ่งหนึ่งนอนนาบอยู่บนโต๊ะ หัวเราะหึหึขึ้นมา เขาทอดถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา และมีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาตามมาติดๆ มีความอบอุ่นซ่อนเร้นอยู่ยากที่จะอธิบายได้ บวกกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน คล้ายดั่งเสียงหยอกล้อกันระหว่างชายหญิง
เย่ซวิ่นกล่าวว่า “โอ้ มีคนมาเคาะประตู ใช่อาเซี่ยนกลับมาหรือเปล่านะ”
เสียงเคลื่อนไหวภายในห้องซูเจ๋อไม่มีทางจะไม่ได้ยินได้ ด้านในนั้นไม่ได้มีเฉินเสียนเพียงคนเดียว น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลนั่นชัดเจน ทำให้ซูเจ๋อหลุบตาลงต่ำ และมีความเยือกเย็น
“เจ้าประพฤติตัวให้ดี”ว่าแล้วเฉินเสียนก็ค่อยๆปล่อยเย่ซวิ่น มองเห็นเย่ซวิ่นนอนราบอยู่บนโต๊ะไร้การเคลื่อนไหว เธอถึงได้หมุนตัวออกไปเปิดประตู
แต่พอเฉินเสียนหมุนตัวไป เย่ซวิ่นก็ลุกขึ้นและเขาเดินตามเฉินเสียนไปอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับปลดชุดของตนออกแล้วทิ้งลงในห้อง
หากเขาไม่ทำอะไรสักหน่อย ก็ไม่ใช่ว่าถูกเฉินเสียนตีโดยที่เขาไม่ได้อะไรเลยนะหรือ? ตอนที่เฉินเสียนลงมือตีเขาอย่างไร้น้ำใจไมตรี เขาคล้ายดั่งมีความอยากแก้แค้นแฝงอยู่ด้านในเล็กน้อย
เฉินเสียนไม่ได้คิดอะไรมาก เธอคิดว่าเป็นซูเซี่ยนกลับมาแล้วจริงๆ ส่วนเรื่องที่เย่ซวิ่นอยู่ในห้องของเธอนี้ โดยพื้นฐานแล้วมันไม่ได้คุ้มค่าราคาเธอเลยไม่ได้ให้ความสำคัญ รอสักครู่เมื่อเปิดไฟแล้ว ยังสามารถร่วมกันกับซูเซี่ยนจัดการเขา
อิงตามสภาพห้องที่ระเกะระกะไม่เป็นระเบียบจากการต่อยตีนี้ ไม่มีผู้ใดคิดว่าเธอกับเย่ซวิ่นทำอะไรกันหรอก
เฉินเสียนยกมือเปิดประตูห้องออก ตอนที่มองเห็นผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้องอย่างชัดเจนนั้น เธอก็เกิดอาการชะงักงัน
ไม่เห็นว่ามีซูเซี่ยนเลย ยืนอยู่ตรงหน้าเธอมีซูเจ๋อเพียงผู้เดียว แสงไฟใต้ระเบียงทางเดินสาดสะท้อนส่องลงมา เงามืดบนตัวของเขาก่อตัวเป็นความเย็นชา แผ่ปกคลุมบนเรือนร่างของเฉินเสียน กดจนทำให้คนมีความรู้สึกที่หายใจไม่ออก
สายตาของซูเจ๋อมองที่คอเสื้อเฉินเสียน มันคลุมเครือยากที่จะเข้าใจ
เฉินเสียนมองตามสายตาเขาที่มองมาทางคอเสื้อของตนเอง ถึงได้พบว่า ก่อนหน้านี้ตนเองตีเย่ซวิ่นอย่างรุนแรง เลยไม่รู้ตัวว่าชุดของเธอเปิดแยกออก ตอนนี้เธอสวมชุดด้านใน เสื้อผ้ารุ่งริ่งไม่เรียบร้อยเป็นอย่างมาก
เฉินเสียนใจเต้นระรัว ลุกลี้ลุกลนรีบปิดคอเสื้อทันที และกล่าวถามว่า “อาเซี่ยนล่ะ เขาไม่ได้กลับมาหรือ?”
เธอนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมีซูเจ๋อกลับมาเพียงคนเดียว เธอรู้ว่าอาเซี่ยนไม่มีทางเข้าใจผิด แต่ทว่าเธอกังวลใจว่าซูเจ๋อจะเข้าใจผิด
สายตาของซูเจ๋อมองคอเสื้อที่เธอปิดไว้ กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เขาไม่ได้กลับมา”
“อ้อ”เฉินเสียนตอบรับอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
ชั่วประเดี๋ยวเดียว ซูเจ๋อกล่าวถามอีกว่า “ในห้องของท่านยังมีบุคคลอื่นหรือไม่?”
เธอเงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วสบตากับเขา เห็นในดวงตาของเขามีบางอย่างแฝงอยู่อย่างยากที่จะเข้าใจ เฉินเสียนรู้สึกหนักอึ้งในใจ
แต่เขาก็ยังคงรอให้เธอตอบ
แต่เธอยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด เย่ซวิ่นก็เดินเตร่ออกมาจากข้างในห้อง เป็นคำตอบให้กับซูเจ๋อแล้ว
เขาไม่ได้สวมชุดคลุมด้านนอก และชุดก็ไม่เรียบร้อยเหมือนกันกับเฉินเสียน เขาเดินมาหยุดข้างกายเฉินเสียน เอื้อมมือมาโอเธออย่างกล้าหาญ ก่อนที่เธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ก็ได้ถือโอกาสปล่อยออกก่อนแล้ว
แต่แค่การโอบกอด ก็คล้ายดั่งแสดงอย่างเปิดเผยว่ามีอะไรบางอย่าง
เฉินเสียนที่อยู่ตรงหน้าซูเจ๋อเวลานี้ ไม่ใช่เฉินเสียนที่เหี้ยมโหดเหมือนอย่างในห้องเมื่อครู่นี้ ประมาณว่าเธอเหมือนกันกับเย่ซวิ่นคือวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตนเอง แต่เธอก็ไม่เหมือนกับเย่ซวิ่นอีก ตรงที่เย่ซวิ่นกล้าหาญไม่ประหม่า แต่ทว่าตอนที่เธออยู่ต่อหน้าซูเจ๋อกลับประหม่า
ภายในห้องจะมีความระเกะระกะจากการต่อสู้ที่ไหนกัน เก้าอี้ที่ล้มลงเย่ซวิ่นได้ประคองตั้งขึ้นแล้ว อีกทั้งเขายืนอยู่หน้าประตูห้องกับเฉินเสียน ขวางกั้นสภาพการณ์ในห้องมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงมุมโต๊ะกับราวแขวนผ้า ด้านบนยับยู่ยี่มาก ราวกับว่าทั้งสองกระจายชุดลงมา
เย่ซวิ่นกล่าวยั่วยุซูเจ๋อว่า “ท่านอ๋องรุ่ยมาไม่ถูกเวลาเสียจริง ยากที่วันนี้องค์รัชทายาทจะไม่อยู่ ข้ายังคิดว่าจะสามารถทำให้องค์จักรพรรดินีคลายความเหงาเปล่าเปลี่ยวได้”
ซูเจ๋อจ้องมองเฉินเสียนอย่างลึกซึ้งโดยตลอด กล่าวอย่างราบเรียบว่า “อย่างนั้นหรือ พูดอย่างนี้ก็คือข้ารบกวนพวกท่าน ตอนนี้ต้องการให้ข้าออกไป แล้วพวกท่านจะทำอย่างต่อเนื่อง?”
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของเฉินเสียนกำเป็นกำปั้นช้าๆ
เย่ซวิ่นยักไหล่ กล่าวว่า “ช่างเถิด ความน่าสนใจความอยากถูกท่านอ๋องรุ่ยทำลายลงแล้ว หากข้ายังอยู่ต่อ คาดว่าองค์จักรพรรดินีก็ไม่มีอารมณ์แล้ว”
เฉินเสียนมองเย่ซวิ่นอย่างน่าสยดสยอง กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าต้องการระบายคลายความเหงาเปล่าเปลี่ยวให้ข้าหรือ เหตุใดตอนนี้จะไม่อยู่ต่อแล้ว? หากข้าต้องการให้เจ้าอยู่ต่อ เจ้าไม่กล้าหรือ?”
เย่ซวิ่นก้าวออกจากประตูห้อง ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มตาหยีให้เฉินเสียน แล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าท่านจะตัณหามากเกินไป แล้วฉีกข้ากิน พรุ่งนี้จะลุกไม่ขึ้น ค่ำคืนนี้ยกเลิกเพียงเท่านี้เถิดนะ ถึงอย่างไรก็อยู่สถานที่ของผู้อื่น รอหลังจากกลับถึงพระราชวังต้าฉู่ ท่านอยากจะทรมานข้าเยี่ยงไร ข้าก็จะเชื่อฟังท่านให้ท่านทรมาน ”
เขากลัวเฉินเสียนกินที่ไหนกัน เขากลัวว่าเฉินเสียนจะฆ่าเขาต่างหาก เพราะฉะนั้นซูเจ๋อมา เขาก็สามารถที่จะถอนตัวออกได้แล้ว
เย่ซวิ่นออกมาอยู่ภายในเรือน กล่าวกับภาพด้านหลังของซูเจ๋ออย่างมีความสุขว่า “ท่านอ๋องรุ่ย ดึกดื่นเช่นนี้ท่านอ๋องรุ่ยอยู่ที่นี่ไม่เหมาะสมนะ ข้าจะรอไปพร้อมกันกับท่านอ๋องรุ่ยนะ”
ครั้งนี้เขาไม่ได้ชะล่าใจขนาดนั้น ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้ซูเจ๋อกับเฉินเสียนอยู่สองต่อสองเพื่อเป็นโอกาสที่พวกเขาสองคนจะปรับความเข้าใจอธิบายกันหรอก
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันคนหนึ่งอยู่ด้านนอกประตูอีกคนอยู่ด้านใน ซูเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย พิจารณาไตร่ตรองกล่าวกับเฉินเสียนว่า “หากท่านยังต้องการให้เขาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านก็มิเป็นไรนะ”
ก่อนหน้านั้นที่พูดเป็นคำพูดที่เฉินเสียนพูดด้วยความโมโหกับเย่ซวิ่น ตอนที่เธอพบซูเจ๋อก็เข้าใจทันทีว่าเย่ซวิ่นแอบเข้ามาในห้องเธอไม่ใช่มาหาเรื่อง เขามีจุดมุ่งหมายอื่น
ตอนนี้จุดมุ่งหมายเขาสำเร็จแล้ว ทำให้ซูเจ๋อเห็นภาพที่ชุดเธอกับเย่ซวิ่นรุ่งริ่งไม่เป็นระเบียบ
มีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ใจอยากจะสังหารเย่ซวิ่นจนตายจริงๆ เย่ซวิ่นเองก็สัมผัสสังเกตได้ เพราะฉะนั้นถึงได้อออกจากห้องมาอยู่ในเรือนก่อน
ได้ยินซูเจ๋อพูดเช่นนี้ ใจของเฉินเสียนเจ็บปวดระทมอย่างมาก กล่าวว่า “ท่านคิดว่าข้าเป็นหญิงเช่นนั้นที่หาใครคนไหนก็ได้มาค้างแรมด้วยได้งั้นหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในวังหลังของท่าน”
นี่เป็นเรื่องจริงที่ซูเจ๋อคิดที่อยากจะไม่สนใจอย่างมาก แต่วันนี้พบเย่ซวิ่นกับเฉินเสียนอีกครั้ง เขาเพิ่งจะได้รู้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถไม่สนใจได้
เขาไม่ได้อยู่ต้าฉู่ ไม่รู้ว่าสภาพการณ์ในวังหลังของต้าฉู่เป็นอย่างไรบ้าง แต่เนื่องจากในวังหลังของเธอมีคนอยู่ ค่ำคืนที่ยาวนานไร้ขีดจำกัดเยี่ยงนี้ อาจจะขาดไม่ได้ต้องมีเขามาอยู่ด้วยจริงๆ
เฉินเสียนทอดถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “ใช่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในวังหลังของข้า เมื่อสมัยนั้นเหตุใดเขาถึงเข้ามาในวังหลัง ท่านก็ได้ลืมเลือนมันไปแล้ว”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “คืนนี้อาเซี่ยนไม่กลับมานะ”
“เมื่อครู่ท่านพูดแล้ว”
“ใช่หรือ ข้าพูดไปแล้ว”ซูเจ๋อหมุนตัวกำลังจะไป ได้กล่าวว่า “คืนนี้เขาจะอยู่กับองค์จักรพรรดิของข้า รอพรุ่งนี้ค่อยกลับมา”
แต่เพิ่งจะเคลื่อนไหวฝีเท้า ชายเสื้อกลับถูกดึงรั้งอย่างรวดเร็ว ซูเจ๋อก้มศีรษะลงมอง เห็นมือของเธอดึงรั้งไว้อยู่
ก่อนที่เฉินเสียนจะมีการตอบสนองกลับมา เธอก็ได้ทำเช่นนี้ไปแล้ว
ในใจของเธอมีเพียงเสียงเดียวที่ทยอยพรั่งพรูออกมาคือไม่อยากให้เขาไป อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาไปแบบนี้เลย
เธออยากบอกเขา เธอไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น ไม่ใช่บุคคลที่สามารถค้างแรมกับใครก็ได้ตามอำเภอใจ
เย่ซวิ่นยืนชะงักงันอยู่ในเรือน แม้ต้องถูกซูเจ๋อเข้าใจผิด คนดื้อรั้นเหย่อหยิ่งเหมือนเธอ สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายที่เหนี่ยวรั้งไว้ แม้แต่เกียรติสูงศักดิ์กับความทะนงภูมิใจของเธอ เธอยังไม่ต้องการหรือ
แต่เธออยู่ต่อหน้าซูเจ๋อ ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยต้องการมีเกียรติสูงศักดิ์กับทะนงภูมิใจอย่างนั้น
เฉินเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบามากว่า “ซูเจ๋อ อย่าไปได้หรือไม่”
“ท่านอยากให้ข้าอยู่หรือ?”
เฉินเสียนยิ้มอย่างโรยรา กล่าวว่า “อืม ข้าอยากให้ท่านอยู่ หากว่าท่านอยากจะฟังคำอธิบายของข้า”
เพียงแค่ประโยคเดียว ก็สามารถทำให้กลิ่นอายความเย็นชาของเขาเปลี่ยนกลายเป็นความอบอุ่นได้
ซูเจ๋อไม่ได้หันกลับมา แต่เขาหรี่ตามองเย่ซวิ่นที่อยู่ในเรือน แววตานั้นอึมครึมราวกับหมาป่าหลบซ่อนยามค่ำคืน ไม่ได้มีความรู้สึกโกรธหรือดีใจ แต่ทว่าเมื่อตอนที่ปกป้องเหยื่อด้านหลังตนเอง สามารถที่จะเขี้ยวออกมาให้เขาเห็นได้ตลอดเวลา
เขาราวกับแสดงสิทธิของตนอย่างเปิดเผยเช่นกัน กล่าวว่า “ต่อให้ในวังหลังของท่านไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว นั่นก็มิเป็นไร ถึงอย่างไรคนที่ข้าต้องการคือท่าน”
ซูเจ๋อเอื้อมมือไปกอบกุมมือของเฉินเสียน มือของเธอค่อนข้างเย็นยะเยือก
ซูเจ๋อกล่าวอีกว่า “ค่ำคืนนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ เดิมก็เป็นการคิดวางแผนไว้เช่นนั้น เพียงแค่มีภารกิจจวนตัวเล็กน้อย จำเป็นต้องไปจัดการ รอข้าจัดการเรียบร้อยค่อยมาหาท่านนะ ข้าจะฟังท่านค่อยๆอธิบาย พวกเรานำเรื่องตั้งแต่ต้นมาคุยกัน ดีหรือไม่?”
เฉินเสียนค่อยๆปล่อยชายเสื้อเขาออก ตอบกลับว่า “ดี ข้าจะรอนะ ”เธอไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเองใช้ความพยายามมากแค่ไหน บนชายเสื้อสีดำของเขาทิ้งรอยยับที่เธอดึงไว้ด้วย