ต่อมาเธอยืนอยู่ตรงประตู มองซูเจ๋อกับเย่ซวิ่นเดินตามกันออกไป
เฉินเสียนรอจนถึงครึ่งค่อนคืน ซูเจ๋อก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เธอนอนไม่หลับทั้งคืน
รอวันต่อมาซูเซี่ยนกลับมา เห็นทั้งห้องเต็มไปด้วยความระเกะระกะ เฉินเสียนนอนตะแคงข้างอยู่ ซูเซี่ยนไม่เห็นเงาของท่านพ่อตนเองตามที่ใจปรารถนาไว้ กลับมองเห็นแต่บนพื้นคล้ายดั่งเป็นชุดของเย่ซวิ่น
ใบหน้าของซูเซี่ยนเย็นเฉียบทันที กล่าวว่า “เมื่อคืนนี้เย่ซวิ่นมาวุ่นวายอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูด กล่าวด้วยความสะลึมสะลือว่า “ให้ข้านอนสักพักนะ ข้าปวดหัวมาก”
ซูเซี่ยนเม้มริมฝีปากน้อยๆนั้น คว้าชุดคลุมด้านนอกของเย่ซวิ่นขึ้นแล้วถือออกมาจากห้อง เขาพาทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งมุ่งตรงเข้าไปในเรือนที่เย่ซวิ่นพักอาศัยอยู่ โอบล้อมห้องของเขาไว้ แล้วชักมีดดาบออกมาเผชิญหน้า
เย่ซวิ่นไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นชุดที่ซูเซี่ยนถืออยู่ในมือ ก็เข้าใจได้ในทันที และเขาก็มองเห็นสายตาโหดเหี้ยมของซูเซี่ยนที่เหมือนกันกับซูเจ๋อด้วย ครั้งนี้ซูเซี่ยนต้องการให้เขาตายจริงๆ
ซูเซี่ยนโยนชุดของเย่ซวิ่นลงบนพื้น กล่าวว่า “พระองค์กล้าแตะต้องท่านแม่ของข้า ข้าจะทำให้พระองค์ตายไม่มีที่ฝังศพเลย”
เย่ซวิ่นลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียง กล่าวว่า “อายุน้อยๆ อย่าเหี้ยมโหดขนาดนั้นเลย ข้าจะเกลี้ยกล่อมเจ้าอย่าวู่วามเกินไป เวลานี้เจ้าสังหารข้า ก็ไม่ได้มีผลดีต่อเจ้า”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ไม่มีผลดีอย่างไร พระองค์ที่เป็นองค์ชายหกของเย่เหลียงตายในราชนิเวศน์ของเป่ยเซี่ย ไม่ได้ตายบนเรือของต้าฉู่สักหน่อย เกี่ยวข้องอะไรกันกับต้าฉู่หรือ? มากที่สุดหลังจากที่ท่านตาย ต้าฉู่ของข้าก็จะนึกถึงท่านที่ปรนนิบัติจักรพรรดิต้าฉู่มาหลายปี แล้วมอบหีบศพที่ดีๆให้กับพระองค์หนึ่งอัน”
เช่นนี้ ความเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันของเป่ยเซี่ยกับเย่เหลียง ไม่ว่าต้าฉู่จะหันไปสนับสนุนผู้ใด ล้วนเป็นกำไรไม่มีผลเสียต่อต้าฉู่
ความโอหังภูมิใจบนใบหน้าของเย่ซวิ่นค่อยๆเลือนหายไปจนหมดเกลี้ยง เขามองซูเซี่ยนอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบนี้ จะมีแผนการที่มีเหตุผลจนลึกซึ้งยากหยั่งถึงเช่นนี้
แรกเริ่มเย่ซวิ่นรู้ว่าซูเซี่ยนต้องการพาเขามาที่เป่ยเซี่ย ไม่เพียงแต่เพื่อกระตุ้นยั่วยุซูเจ๋อ และฐานะของเขาที่เป็นองค์ชายหกเย่เหลียงทำให้เป่ยเซี่ยไม่กล้าบุ่มบ่ามกระทำเรื่องไม่ดี มิฉะนั้นก็จะเป็นศัตรูเย่เหลียงกับต้าฉู่
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาคิดไม่ถึงจุดนี้ว่าเป่ยเซี่ยไม่มีทางที่จะทำอะไรเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าต้าฉู่จะไม่ยืมมีดมาสังหารคนนิ หากวันหนึ่งเขาตายในราชนิเวศน์ของเป่ยเซี่ย เช่นนั้นต้าฉู่ก็นั่งมุ่งหวังแสวงหาผลประโยชน์ได้ เป็นยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกวางแผนคิดร้ายแล้ว
ร่างเล็กขาวละมุนละไมนี่ รูปงามเป็นอย่างมากจะมีความไร้เดียงสาเป็นคนไม่มีพิษภัยที่ไหนกัน นี่แบ่งแยกชัดเจนว่าเพียงแค่ยังไม่เติบโตก็โหดเหี้ยมอำมหิตแล้ว
ซูเซี่ยนออกคำสั่งกับทหารรักษาพระองค์ว่า “สับเขาให้กับข้า”
เย่ซวิ่นรีบลุกจากขอบเตียง กล่าวว่า “แซ่ซูข้าจะบอกเจ้า เป็นคนพอได้ตามที่จุดมุ่งหวังแล้ว อย่าถีบหัวส่งคนที่ช่วยเหลือ รักแกคนอื่นเกินไป!เป็นเจ้าที่ให้ข้ามายั่วยุท่านพ่อของเจ้า!”
ซูเซี่ยนหรี่ตามอง จ้องมองเขม็งใส่เย่ซวิ่น กล่าวว่า “แต่ข้าไม่ได้ให้พระองค์แตะต้องท่านแม่ของข้า”
เย่ซวิ่นกระทืบเท้าโมโหอย่างสุดขีด กล่าวว่า “หญิงเหี้ยมโหดผู้นั้น เจ้าคิดว่าข้าแตะต้องได้หรือ? เจ้าคิดว่าท่านแม่ของเจ้าเป็นผู้ที่ไร้ความผิดน่าสงสารหรือ เมื่อคืนนี้อีกนิดหนึ่งข้าก็ถูกท่านแม่เจ้าตีจนหวิดตายเอาชีวิตไม่รอด ผู้ที่เสียเปรียบได้รับความเสียหายไม่ใช่ท่านแม่ของเจ้า แต่เป็นข้า!”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า“วันนี้ท่านแม่ของข้าไม่มีชีวิตชีวา”
“ไม่ใช่ข้าที่ทำให้แม่เจ้าไม่มีชีวิตชีวา!”
“ข้าไม่เชื่อ”
เย่ซวิ่นเลิกชุดตนเองขึ้น ทำให้ปรากฏครึ่งตัว เห็นเพียงรอยฟกช้ำบริเวณหน้าอกและแผ่นหลังของเขา เขาโมโหสุดขีดราวกับสายฟ้าฟาด กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยัง ทั้งหมดเป็นท่านแม่ของเจ้าที่ตีข้า!เมื่อคืนนี้ข้านอนปวดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ!”
ตอนนี้ซูเซี่ยนเชื่อแล้ว
เย่ซวิ่นคิดว่าเมื่อคืนหลังจากที่ซูเจ๋อจัดการภารกิจเสร็จจะกลับไปหาเฉินเสียน เขายังกลัดกลุ้มใจเลย ตนเองเปลืองแรงไปตั้งมากมายยังทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถเข้าใจผิดกันได้
ตอนนี้เพิ่งจะได้รู้ คล้ายดั่งว่าซูเจ๋อไม่ได้กลับไปหาเธอทั้งคืน ทันใดนั้นอารมณ์ของเย่ซวิ่นที่คุกรุ่นก็กลายเป็นสดใส
ต่อมา ไม่เพียงแค่เฉินเสียน ขนาดแม้แต่ซูเซี่ยนเองยังไม่ได้เจอซูเจ๋อเลย
เขาเคยไปหาซูเจ๋อที่เรือนแล้ว แต่ซูเจ๋อไม่อยู่ ได้ยินนางกำนัลบอกว่าซูเจ๋อไม่ได้อยู่ราชนิเวศน์
เฉินเสียนรอเขากลับมาโดยตลอด เพราะเขาบอกว่าจัดการภารกิจเสร็จจะกลับมา เขาบอกว่าคนที่เขาต้องการคือเธอ ไม่ว่าในวังหลังของเธอจะมีคนอยู่เท่าไหร่
เวลานั้นเฉินเสียนไม่อยากให้เขาไปเลยสักนิดหนึ่ง ตอนที่ฟังเขาพูดคำเหล่านั้น แทบอยากจะนำเรื่องทั้งหมดของเธอบอกกับเขาไป
เธอไม่เคยมีชายคนอื่น แม้ในวังหลังจะมีองค์ชายหกของเย่เหลียงอยู่ เธอไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสเลย
เธอคล้ายดั่งว่าให้โอกาสตนเองอีกหนึ่งครั้ง คล้ายดั่งไปช่วงชิงพยายามให้ได้มาอีกครั้ง
แม้ตามมาด้วยการที่เธอจะถกถามซูเจ๋อเรื่องพระชายารุ่ยของเขานิสัยเป็นอย่างไรบ้าง รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ปรนนิบัติเขาอย่างไร เธอก็ไม่ถอยหลบหลีกอีก ตนเองอยากรู้ อยากทำให้มันชัดเจน อยากจะให้เขาอธิบายมันมาอย่างชัดเจนทั้งหมด
ไม่ว่าเขาจะมีพระชายารุ่ยก็ดี ไม่ชอบผู้หญิงก็ดี ก็ต่อให้อนาคตเธอกับซูเจ๋อเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็อยากจะรู้อย่างชัดแจ้ง
เธอหวังอย่างมาก ตอนที่ซูเจ๋อไปแล้วจะสามารถกลับมาได้ สามารถโอบกอดเธอ เธอต้องการอ้อมกอดของเขาและต้องการความอบอุ่นบนร่างกายของเขา
แต่สุดท้าย เหลือทิ้งไว้ในสมองของเธอ มีเพียงภาพแผ่นหลังเท่านั้น
เฉินเสียนเฝ้ารอแผ่นหลังนั้น ตั้งแต่ฟ้ามืดจนถึงฟ้าสาง และฟ้าสางจนถึงฟ้ามืด
ความรู้สึกปรารถนาและแรงกระตุ้นที่อยากระบายกับเขา อยู่กับความทรมานกับการรอคอยที่ยาวนาน ก็สงบลงอย่างช้าๆ
คล้ายดั่งว่าเขาหายไปจากชีวิตของเธออย่างกะทันหัน
แม้แต่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่รู้เลยว่าเขาไปที่แห่งใด สืบเสาะรู้เพียงเขาพาทหารอารักขาติดตามออกไปจากราชนิเวศน์ในคืนนั้นเลย เขาออกไปจากเมืองชิงไห่
ซูเซี่ยนไปหาองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเพราะต้องการรู้สถานที่พักระหว่างเดินทางของซูเจ๋อ ดวงตาแดงก่ำกล่าวว่า “ฝ่าบาทเอาท่านพ่อของกระหม่อมไปซ่อนใช่หรือไม่? ฝ่าบาทรู้ว่าท่านแม่ของกระหม่อมกำลังรอเขาอยู่!”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็กลัดกลุ้มใจ กล่าวว่า “ข้าส่งคนไปสืบเสาะทั่วทุกสารทิศแล้ว พอมีข่าวคราวจะรายงานทันที หลานรักครั้งนี้ข้าไม่ได้ซ่อนจริงๆ เป็นเขาที่พาคนออกไป”
องค์จักรพรรดิไม่วางใจเป็นอย่างมาก เปรียบเทียบความไม่วางใจเรื่องสุขภาพของซูเจ๋อแล้ว พระองค์ยิ่งไม่วางใจเจตนาที่ซูเจ๋อไปครั้งนี้
เฉินเสียนยังอยู่ในราชนิเวศน์ หากไม่ใช่ว่ามีเรื่องร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาจะไปในคืนนั้นโดยไม่อำลาที่ไหนกัน? สิ่งที่กลัวก็คือกลัวจุดมุ่งหมายที่เขาไป จะมีความเกี่ยวข้องกันกับการต่อสู้กันภายในราชสำนัก
แต่สิ่งนี้ที่ดีที่สุดคืออย่าให้ต้าฉู่กับเย่เหลียงรู้เรื่องเหล่านี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร
เฮ่อโยวกับเหลียนชิงโจวมาหาเฉินเสียน
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “สภาพร่างกายของขบวนผู้ขับเรือหายดีแล้ว ออกเดินเรือกลับน่าจะไม่มีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ ”
เฉินเสียนหรี่ตา พักใหญ่กล่าวขึ้นว่า “”รออีกหน่อย
เฮ่อโยวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า กล่าวว่า“เมื่อคืนทหารรักษาพระองค์บนเรือพบว่าบริเวณห้องผู้โดยสารเรือชั้นล่างมีรอยถูกคนใช้สิ่วเจาะเป็นรูแตก เกรงว่าจะมีศัตรูแฝงตัวอยู่บนเรือ วางแผนที่จะกระทำการบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ได้รับความเสียหายแค่ไหน?”
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “โชคดีที่พบเจอทันเวลาพ่ะย่ะค่ะ สภาพก็ไม่ได้หนักหน่วง หากพบเจอตอนที่อยู่บนน่านน้ำทะเลล่ะก็ เรื่องราวยุ่งยากวุ่นวายแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดทำ จับได้หรือยัง?”
“ได้ตรวจสอบบนเรืออย่างละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หาตัวผู้ที่น่าสงสัยไม่เจอเลย สองวันมานี้ก็ไม่ได้พบเจอการกระทำอะไร ราวกับว่ารอยสิ่วเจาะเป็นรูนั้นได้ทิ้งไว้เมื่อสองวันก่อนหน้าพ่ะย่ะค่ะ แต่เพียงแค่ไม่รู้สาเหตุอะไรที่หยุดชะงักกลางคัน ด้วยเหตุนี้เลยสามารถแก้สถานการณ์ได้ทันท่วงที”
วันนี้ขบวนผู้ขับเรือได้ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตรวจสอบขึ้นๆลงๆแล้วหนึ่งรอบ สามารถเดินเรือกลับต้าฉู่ได้ตลอดเวลา
เฮ่อโยวยังกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาทคิดวางแผนเดินเรือกลับไวหน่อยเป็นเรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ พวกเราอยู่ที่สว่างศัตรูอยู่ที่มืด อยู่มากวันหนึ่งเกรงว่าจะมีภัยอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่พวกเขาก็หวังจะมองเห็นซูเจ๋อกับเฉินเสียนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง แต่มีคนที่อดกลั้นไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็ต้องมองภาพรวมเป็นสำคัญ
ต่อมาเฉินเสียนกล่าวว่า “พรุ่งนี้ออกเดินทาง กลับต้าฉู่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สุดท้ายเฉินเสียนรอซูเจ๋อไม่ไหวแล้ว เธอเคยคิดที่จะเป็นฝ่ายไปหาเขา บางทีเธอก็ไม่อยากทำให้ตนเองไปอย่างเลอะเลือนเช่นนี้ ยิ่งไม่อยากให้ซูเจ๋อมีความเข้าใจผิดเธออย่างนั้น
เขาน่าจะสนใจแหละ ก็คล้ายกับที่ตนเองใส่ใจเรื่องพระชายารุ่ยท่านหนึ่งของซูเจ๋อ
เฉินเสียนเข้าไปในเรือนของเขา นั่งอยู่ที่ระเบียงที่วนรอบด้านหน้าประตูของเขา รอเขากลับมาตั้งแต่เที่ยงจนเวลาพลบค่ำ
ในช่วงวันเวลาเหล่านี้ เธอรู้อย่างชัดเจนว่าเธอกับซูเจ๋อผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่ตอนนี้บรรยายขึ้นมาอย่างละเอียด กลับเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่วัน
เธอคิดย้อนกลับไปอดีตตลอด และก็ไม่รู้ว่าเธอใช้สิ่งที่ผ่านมาเหล่านั้นผูกมัดซูเจ๋อ หรือว่าผูกมัดตนเอง
ซูเจ๋อเดินออกมาจากด้านในแล้ว เหลือเพียงเธอคนเดียวที่เดินวนรอบๆอยู่ด้านในนั้น เธอมักคิดว่าจะลากเขากลับไป
ที่แท้ตัวเธอเองที่กลัวโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ความโดดเดี่ยวเดียวดายนั่นไม่เหมือนกับความโดดเดี่ยวเดียวดายที่คนปกติทั่วไปเข้าใจ เธอโดดเดี่ยวเดียวดายไม่จำเป็นต้องมีคนมาเติมเต็มในส่วนที่ขาด ความโดดเดี่ยวเดียวดายของเธอมีเพียงซูเจ๋อคนเดียวที่สามารถคลายได้
เรื่องเมื่อก่อน จนถึงวันนี้ บางทีเรื่องนี้ก็ควรที่จะจบลงแล้ว แต่เฉินเสียนตัดใจทิ้งไม่ลง เธอนั่งอยู่ตรงระเบียงคิดซ้ำไปซ้ำมาอย่างบ้าครั้ง
แสงดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง เมฆบนท้องนภาปกคลุมเรือนนี้จนกลายเป็นความสงบ แสงตะวันรอนอันสงบนั้นสาดสะท้อนลงมาบนเรือนร่างของเธอ สุดท้ายเธอก็โดดเดี่ยวเดียวเดียวอยู่ลำพัง
พระอาทิตย์ตก แสงตะวันรอนค่อยๆเปลี่ยนเป็นจืดชืด ในยามพลบค่ำมีลมโชย ความหนาวเหน็บผ่านผ่านเส้นผมที่อยู่บนไหล่ของเธอ และยังมีปลายกระโปรงด้วย
เธอเหลือบมองเรือนที่ซูเจ๋อพักอาศัยอยู่ และมองหน้าประตูห้องที่ว่างเปล่าของเขาอย่างเลื่อนลอย มักจะนึกถึงวันที่ผ่านมา เขายืนอยู่ที่หน้าประตูนี้ เชื้อเชิญเธอเข้าไปนั่ง
ตอนนั้นเธอนำปิ่นมาคืน
เฉินเสียนเอื้อมมือลูบสัมผัสปิ่นหยกขาว เธอไม่ได้คิดที่จะนำปิ่นที่เธอเห็นความสำคัญนี้คืนให้กับเขา
นี่เป็นของขวัญที่เธอกับซูเจ๋อเคยมอบให้กันเพื่อเป็นเครื่องยืนยันมั่นหมายว่าเป็นคู่รักกัน จะคืนให้เขาได้ตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน
เขากับเธอเคยมีความรู้สึกที่ดีต่อกันช่วงหนึ่ง
เฉินเสียนก้มศีรษะลง เอื้อมมือนำเส้นผมที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากออก เธอยิ้มอย่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยนใจ และยังคงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ช่างเถิด”