วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – บทที่ 280 คุณเย็นชากับฉันเกินไปแล้ว

บทที่ 280 คุณเย็นชากับฉันเกินไปแล้ว

มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่คิดว่าว่าระหว่างเรามีระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆเหรอ ?”

เย่ฉ่าวเฉินใจเต้นรัว แม่เจ้า นี่เป็นปัญหาใหญ่

เขารีบลุกขึ้นจากพื้นทันที มองตรงไปที่เธอและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เวยเวย ผมไม่คิดว่าจะมีระยะห่างระหว่างเรา”

“แต่หัวข้อสนทนาของเราเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากเรื่องลูกก็คือลูก พวกเราจะพูดเรื่องอื่นกันไม่ได้เลยเหรอ ?”

เย่ฉ่าวเฉินตกใจ เขาไม่เคยใส่ใจกับปัญหานี้มาก่อน

“ผมขอโทษผมขอโทษ เป็นความผิดของผม ผมไม่ใส่ใจคุณ ผมไม่อยากพูดปัญหาเรื่องงานกับคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนคุณ ถ้าหลังจากนี้คุณไม่คิดว่าผมจู้จี้ ผมก็จะพูดกับคุณทุกวัน” เย่ฉ่าวเฉินยอมรับความผิดทันที ส่วนจะพูดยังไงค่อยว่ากันที่ลัง ตอนนี้เกลี้ยงกล่อมเธอก่อน

มู่เวยเวยไม่พอใจกับคำตอบนี้มาก และพูดอย่างจับผิดว่า “คุณก็ยังเย็นชากับฉันมากด้วย”

“ห๊ะ ?”ผม…..ผมเย็นชากับคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้เรื่องนี้ และถามด้วยความเสียใจ

มู่เวยเวยโกรธ “ช่วงนี้คุณกลับมาบ้านก็จะไปเล่นกับผิงอัน ไม่สนใจฉัน ตอนกลางคืนก็ไปนอนกับผิงอัน กี่ครั้งแล้วที่คุณตรงไปนอนที่ห้องผิงอัน ในใจคุณยังมีที่สำหรับภรรยาคนนี้อยู่ไหม ”

เมื่อได้ยินคำกล่าวหานี้ เย่ฉ่าวเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขาถือว่านี่เป็นทางออก ภรรยาของเขาหึงแล้ว เธอหึงก็แปลว่าเธอรักเขา นี่เป็นเรื่องดี

“คุณหัวเราะอะไร ? ปัญหาของฉันตลกมากเหรอ ?” มู่เวยเวยโกรธมาก

เย่ฉ่าวเฉินอ้าแขนโอบกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่ามู่เวยเวยจะดิ้นแค่ไหนเขาก็ไม่ปล่อยมือ เขาประกบริมฝีปากของเธออย่างดุเดือดและพูดอย่างพอใจว่า ภรรยาที่แสนซื่อบื้อ ผมกับผิงอันไม่ได้เล่นกัน ผมไปสอนการใช้พลังเหนือธรรมชาติให้กับเขา ส่วนเรื่องที่ทำไมผมถึงนอนที่ห้องผิงอันโดยตรง นั้นก็เป็นเพราะว่าเมื่อนอนอยู่ข้างๆคุณผมก็อดไม่ได้ที่จะจูบคุณ สัมผัสคุณ….”

“คุณปล่อยมือนะ” มู่เวยเวยหน้าแดงก่ำ และรีบตีมือของเขาที่กำลังจะล้วงเข้าไปในกระโปรง

“ผมทนกลิ่นกายคุณไม่ได้ นับประสาอะไรกับทั้งคืน คุณไม่เห็นตราบใดที่ผมนอนข้างคุณผมต้องเข้าไปอาบน้ำสงบสติตั้งกี่ครั้ง ?”เย่ฉ่าวเฉินพูดกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเธอพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆของผู้ชาย

มู่เวยเวยอ่อนลงในทันทีและพูดอย่างขมขื่นว่า “คุณไม่ได้บอกว่าอากาศร้อนเกินไปจนเหงื่อออกเหรอ ?”

“เด็กโง่ คำโกหกแบบนี้คุณก็เชื่อ ?”เพื่อไม่แตะตัวคุณ คุณรู้ไหมว่าผมอดทนมากขนาดไหน ?” เย่ฉ่าวเฉินกัดเบาๆที่ติ่งหูของเธอ ผมต้องนอนกับเจ้าตัวเล็กเพื่อคุณภาพชีวิตแต่งงานของเราในอนาคต คุณอยู่ที่นี่ก็ยังคงหึงแบบนี้อีก

มู่เวยเวยถูกจับได้ หน้าก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก เธอผลักศีรษะของเขาออกไปและพูดว่า “ใครบอกว่าฉันหึง?”

“ใช่ใช่ใช่ คุณไม่ได้หึง เป็นผมที่เย็นชากับคุณ หลังจากวันนี้ไป ผมจะไม่ทำแล้ว คุณภรรยาอย่าโกรธเลย ตกลงไหม ?”เสียงทุ้มของเย่ฉ่าวเฉินบ่งบอกถึงความเย้ายวน สองคำสุดท้ายลอยเข้าหูมู่เวยเวย ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นแรงขึ้นมาทันที

“งั้นเมื่อคืนทำไมคุณก้าวร้าวมากขนาดนั้น ? คุณโกรธผมเหรอ ? ยังกระแทกประตูออกไป ?”

เย่ฉ่าวเฉินจะเสียใจกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว “ตอนนั้นผมโกรธคุณ คุณบอกว่าผมจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าสงสัยในความรักที่ผมมีให้กับคุณ เวยเวย คุณคือครึ่งชีวิตของผม คุณพูดแบบนั้น ผมก็เสียสติทำเรื่องอะไรที่มันเกินเลยไป ผมขอโทษคุณนะ คุณให้อภัยผมได้ไหม ?”

สิ่งเหล่านั้นกระแทกในใจของมู่เวยเวยกลายเป็นเป็นแอ่งน้ำ แต่นี่มันง่ายเกินไปสำหรับเขา เธอจึงเม้มปากไม่พูดอะไร

“คุณภรรยา คุณหนู ท่านผู้นำ ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธ ? ”เย่ฉ่าวเฉินทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ที่พื้น

มู่เวยเวยจงใจทำให้เขาลำบาก “ฉันก็ไม่รู้ แต่อยู่ดีๆภายในใจฉันก็รู้สึกเศร้า แค่คิดว่าคุณตะโกนใส่ฉัน ในใจก็ก็รู้สึกแย่”

เย่ฉ่าวเฉินอยากมองขึ้นไปบนฟ้า เมื่อผู้หญิงโกรธช่างน่ากลัวจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นต้องทำยังไงคุณถึงจะมีความสุข ?”

“ฉันก็ไม่รู้” มู่เวยเวยพูดสี่คำนี้ออกมาอย่างเย็นชา

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆกดมู่เวยเวยนั่งลงบนโซฟา “คุณนั่งนี่” จากนั้นก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น เขาพยายามคิดอย่างหนักว่าทำยังไงภรรยาของเขาถึงจะมีความสุข

“ผมเล่าเรื่องตลกให้คุณฟัง” เย่ฉ่าวเฉินคิดออกแต่วีธีที่แย่มาก

มู่เวยเวยรินน้ำเย็น “ไม่อยากฟัง เรื่องตลกของคุณมาจากอินเตอร์เน็ตมันน่าเบื่อ”

“ถ้างั้นผมร้องเพลงให้คุณฟัง”

มู่เวยเวยเลิกคิ้ว “คุณกำลังเยาะเย้ยว่าฉันร้องเพลงไม่เพราะเหรอ ?”

“ไม่ใช่ไม่ใช่ ถ้างั้นไม่ร้องเพลงแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะและเงยหน้าขึ้นเพื่อคิดต่อไป

มู่เวยเวยเห็นว่าเขารู้สึกแย่ จึงเสนอออกมา “เอาแบบนี้ คุณเต้นสักรอบ”

“ห๋า ?”เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจ “เต้น ?”

“ใช่ เต้นรำ” มู่เวยเวยคิดเพิ่มความยากเข้าไปอีก “ก็เต้นรำซินเจียงท่อนหนึ่ง ฉันชอบดูการเต้นรำของซินเจียง”

เย่ฉ่าวเฉินอ้าปากค้าง “เต้นรำซินเจียง ผมเต้นไม่เป็น”

สีหน้าของมู่เวยเวยเปลี่ยนไป “ถ้างั้นก็ช่างมัน คุณไปเถอะ ฉันเหนื่อยอยากนอนแล้ว”

“อย่าอย่าอย่า ผมไม่ได้พูดว่าจะไม่เต้น ไม่เป็นแต่ก็สามารถเรียนได้ คุณรอสักครู่ ผมขอเรียนก่อน”พูดแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และรีบค้นหาวิดิโอการเต้นรำซินเจียงอย่างรวดเร็ว

เอ่อ…..นี่มันยากเกินไปแล้ว

แต่ยากแล้วมันยังมีวิธีอะไร ? ขอแค่คุณภรรยาให้อภัยตัวเอง นับประสาอะไรกับเต้นรำซินเจียงขอแค่ให้เขาเต้น

ก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก

เย่ฉ่าวเฉินมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก ดูแค่สองครั้งเขาก็เต้นตามได้ถึงเจ็ดแปดเปอร์เซ็นต์

“ทำได้แล้ว คุณดูสิ ”เย่ฉ่าวเฉินเพิ่มเสียงโทรศัพท์ให้ดังขึ้นแล้วโยนลงบนโซฟา จากนั้นก็เริ่มทำท่า

เมื่อเสียงเพลงเต้นรำซินเจียงดังขึ้น แขนมือและเอวของเย่ฉ่าวเฉินก็เริ่มขยับแต่เพราะความผิดพลาด เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนท่าเต้นของซินเจียงเป็นเต้นเหมือนหุ่นยนต์ เขายังเต้นรำซินเจียงแบบคลาสสิกและหันคอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ใช่การเคลื่อนไหวของศีรษะแต่กลับเป็นแขนที่ยกขึ้นๆลงๆแทน

มู่เวยเวยเห็นท่าทางตลกๆของเขาก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา

หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินก็หล่นไปอยู่ที่ท้องทันที

“คุณภรรยา ถือว่าคุณยิ้มแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินเต้นไปมาจนร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาดึงมือภรรยาทั้งสองข้างพร้อมกับมองด้วยแววตาที่ลุกโชน “ยังอยากดูอะไรอีก ? ผมจะแสดงให้คณดู ?”

มู่เวยเวยใช้มือข้างหนึ่งผลักไปที่อกของเขาอย่างกระตือรือร้น ฝืนยิ้มและพูดด้วยความรังเกียจว่า “ไปทางนู้นไป เหม็นจะตายอยู่แล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงดมกลิ่นบนร่างกายเขาและพูดว่า “ไม่เหม็นนะ คุณลองดมดู” จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงไปหาเธอ หญิงสาวทำได้เพียงหลบอยู่ข้างหลัง “คุณลุกขึ้นเถอะ มันเหม็นจริงๆ”

เย่ฉ่าวเฉินทำหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มและพูดว่า “ผู้ชายก็ตัวเหม็นสิ ถ้าไม่เหม็นจะเรียกผู้ชายได้ยังไง ?”

“อ่า คุณน่ารำคาญเกินไปแล้ว ลุกขึ้นมาลุกขึ้นมา” มู่เวยเวยถอยหนีไม่ได้ และอดไม่ได้ที่จะบ่น

เย่ฉ่าวเฉินอยู่ในอารมณ์ที่ร้อนรน เขาก้มศีรษะลงและค่อยๆกัดที่ริมฝีปากสีชมพูของเธอ ในชีวิตนี้ เย่ฉ่าวเฉินชอบรสชาติความรักนี้ ชอบความรู้สึกรักนี้เท่านั้น แม้ว่าผู้หญิงคนอื่นจะสวยกว่า ก็ไม่เข้าตาของเขาแล้ว

เดิมทีมันเป็นเพียงจูบเบาๆ แต่กลิ่นของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาหลงใหลมากยิ่งขึ้น จากนั้นไม่นานก็ตกหลุมรักมัน

จากจูบเบาๆก็กลายเป็นจูบที่ลึกซึ้งเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ

ความปราถนาของร่างกายเขาไปสิ่งที่ตรงไปตรงมา ความเจ็บปวดของเย่ฉ่าวเฉินอัดแน่น เขาไม่กล้าแตะต้องภรรยาของเขา และในตอนที่ใกล้จะควบคุมไม่อยู่ เขาพยายามอย่างหนักผลักตัวเองออก และทรุดตัวลงข้างๆมู่เวยเวย

แก้มของมู่เวยเวยแดงระเรื่อ ดวงตาของเธอราวกับเป็นประกายในน้ำ หน้าอกอันอวบอิ่มของเธอกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบ

ทันใดนั้นข้างนอกก็ฟ้าร้องดังขึ้นและฝนก็เทลงมา ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินจำอะไรบางอย่างได้และพูดขึ้นมาว่า “เกือบลืมพวกเขาไปเลย” รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ไปหาจางเห่อ

“จางเห่อ พวกคุณไม่ต้องหาแล้ว กลับไปกันเถอะ”

จางเห่อได้ยินน้ำเสียงที่เร่งรีบของเย่ฉ่าวเฉิน ก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “คุณชาย คุณหาคุณหนูเจอแล้ว ?”

เย่ฉ่าวเฉินอ้าแขนกอดภรรยาของเขา “ใช่ ฉันหาเจอแล้ว คุณบอกทุกคนให้รู้ที”

“ครับครับ ผมทราบแล้ว”

หลังจากวางสาย เย่ฉ่าวเฉินก็หันไปหามู่เวยเวยและพูดว่า “รอฝนหยุดก่อนแล้วค่อยกลับ”

มู่เวยเวยขี้เกียจตอบ นี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระเหรอ ? ฝนตกหนักขนาดนี้จะกลับไปได้ยังไง ?

“ใช่แล้ว ต้องโทรกลับไปที่บ้าน ตั้งแต่คุณจากมา ผิงอันก็เป็นห่วงมาก ไม่ยอมพูดอะไร” เย่ฉ่าวเฉินพูดพลางหาเบอร์ไปด้วย

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ตอนเช้าเธอหุนหันเกินไป โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผิงอัน

“ให้ฉันพูดมา” มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์มา

คนที่รับโทรศัพท์ทางนั้นคือพ่อบ้านหวัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “ฮัลโหล คุณชาย คุณหาคุณหนูเจอรึยังครับ?”

“คุณอาหวัง ฉันเอง”มู่เวยเวยพูดอย่างรู้สึกผิด

“ไอ่หย่า คุณหนู คุณชายหาคุณเจอแล้ว ? คุณไม่เป็นไรใช่ไหม ?” พ่อบ้านหวังถามอย่างรวดเร็ว

“อืม ฉันอยู่กับเขา ฉันสบายดี ผิงอันล่ะ ?”

เสียงตะโกนของพ่อบ้านหวังดังมาจากในโทรศัพท์ “คุณชายน้อย——คุณชายน้อย มานี่เร็ว คุณแม่โทรศัพท์มา……”

มู่เวยเวยเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของผิงอันวิ่งมา ในใจก็รู้สึกอึดอัด จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของผิงอัน “คุณแม่นั่นคุณเหรอ ?”

“ผิงอัน สวัสดีจ้า”

“คุณแม่ คุณไปไหน ? ตั้งนานทำไมถึงไม่กลับมา หรือว่าไม่ต้องการผิงอันแล้ว ?”

เสียงที่กังวลและดูสงบของผิงอันแทงเข้าไปในใจของมู่เวยเวย

ไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับเขา จึงทำได้เพียงหาคำโกหกมาปลอบเขา “ผิงอัน ทำไมแม่ถึงจะไม่ต้องการคุณล่ะ ? แม่แค่ออกมาซื้อของ และดันหลงทาง ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงใช้เวลานาน”

“จริงเหรอ ?” ผิงอันถามอย่างไม่แน่ใจ

“แน่นอนสิ แม่รักลูกขนาดนี้ จะไม่ต้องการลุกได้ยังไง ? อย่าคิดอะไรเลอะเทอะเลย รอฝนซาลง แม่ก็จะกลับแล้ว”

ผิงอันมีความรู้สึกไว้วางใจแก่มู่เวยเวย เธอพูดอะไรก็ว่ายังนั้น ดังนั้นเธอจึงอารมณ์ดีขึ้นทันทีและพูดอย่างร่าเริงว่า “ถ้าอย่างั้นแม่ไม่ต้องรีบและระวังตัวด้วยนะครับ”

“รู้แล้วจ้า ถ้างั้นแม่วางก่อนนะ”

“บายครับคุณแม่”

“บายลูก”

หลังจากวางสาย มู่เวยเวยก็ถอนหายใจยาวๆ ตอนนั้นเธอหุนหันเกินไป หนีออกจากบ้านโดยทิ้งผิงอันที่น่ารักไว้ได้ยังไง ? ถ้าหากครั้งหน้าเย่ฉ่าวเฉินยังทำให้เธอโกรธ เธอจะต้องพาผิงอันไปด้วย

เย่ฉ่าวเฉินขัดจังหวะความคิดของเธอ “ไม่ต้องเป็นห่วงเขา ผิงอันแข็งแกร่งกว่าที่คุณคิด”

“ฉันรู้แล้ว” มู่เวยเวยพูดเบาๆ

เย่ฉ่าวเฉินหันหน้าของเธอและมองตรงเข้าไปในดวงตาเธอ “ตอนนี้คุณตัดสินใจ จะไปทำงานหรือว่าจะเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ผมจะฟังคุณทั้งหมด”

มู่เวยเวยครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “ไม่อยากไปทำงานแล้ว”

คำตอบนี้ทำให้เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเธอจะตอบว่าไปทำงานโดยไม่ลังเล

“ทำไมถึงไม่อยากไปทำงานแล้ว ?”

“ฉันอยากอยู่ที่บ้านใช้เวลากับผิงอันมากกว่านี้ ถ้าหากว่าฉันไปทำงาน ผิงอันก็จะต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว เขาจะเหงาเกินไป”มู่เวยเวยดูจริงจัง “และอีกอย่าง ถ้าหากว่าคุณจะมีกิ๊ก ถึงแม้ว่าฉันอยู่บริษัท แต่ด้วยความสามารถของคุณ คุณก็สามารถมีกิ๊กได้ ฉันไม่จำเป็นต้องไปจับผิดทุกวันหรอก”

“ยัยโง่ ไม่พูดตั้งกี่ครั้งแล้ว ในชีวิตนี้ผมรักเพียงแค่คุณคนเดียวเท่านั้น และจะไม่มีคำว่ามีกิ๊กในพจนานุกรมของผม”เย่ฉ่าวเฉินแตะผิวเรีนบเนียนของเธอด้วยมือของเขาและพูดอย่างรักใคร่ว่า “ถ้าหากว่าคุณไม่วางใจผม ผมอยากให้คุณจ้องมองผมทุกวัน แบบนี้ทุกวันผมก็สามารถมองคุณได้”

มู่เวยเวยรู้สึกราวกับเธอกำลังกินน้ำผึ้งภายในใจ แต่ใบหน้าก็ยังคงแสดงท่าทีรังเกียจ “จ้องมองคุณทุกวัน ฉันกลัวว่าตัวเองจะรู้สึกเบื่อนะสิ”

“ถ้างั้นผมจะเปลี่ยนสไตล์ทุกวัน เพื่อไม่ให้คุณเบื่อ”

“เปลี่ยนยังไง ? คุณจะใส่กระโปรงหรือว่าใส่ส้นสูง ?”

“เรื่องพวกนี้ช่างมันเถอะ ผมสามารถแสดงพลังพิเศษเหนือธรรมชาติให้คุณดูได้”

มู่เวยเวยพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ฉันไม่สนใจหรอก”

ทั้งสองคนที่กลับมาอยู่ด้วยกันพูดคุยกันอย่างหวานชื่น ฝนด้านนอกค่อยๆเบาลง และพายุฝนฤดูร้อนมาไวหยุดไว

หลังจากฝนตกหนัก แสงก็ส่องผ่านทะลุเมฆลงมา ส่องแสงไปยังพื้นดิน ในไม่ช้าสายรุ้งก็ปรากฎขึ้นทางทิศตะวันตก

“ว้าว สวยมากเลย” มู่เวยเวยยืนชมอยู่ข้างนอก

เย่ฉ่าวเฉินโอบไหล่ของเธอและก็พูดซ้ำว่า “สวยมาก”

ความชื้นในอากาศสดชื่นไปด้วยกลิ่นของหญ้าและดอกเดซี่

มู่เวยเวยเดินไปและหันกลับไปมองที่คฤหาสน์พร้อมกับความทรงจำมากมาย ถือกรอบรูปไว้ในมือ และมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

“หลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่าง ผมจะพาคุณกับผิงอันมาพักที่นี่สักสองคืน” เย่ฉ่าวเฉินพูดเบาๆ ยังไงซะที่นี่ก็เป็นที่ที่เธอเกิดและเติบโตมา ยากที่จะจากไป

มู่เวยเวยพยักหน้า “อืม ตกลง”

หลังจากเหตุการณ์วุ่นวาย ความห่วงใยของเย่ฉ่าวเฉินที่มีต่อมู่เวยเวยก็ละเอียดอ่อนขึ้น นอกจากทำงาน การเข้าสังคมสังสรรค์ก็ไม่เอาอีกเลย เขากลับบ้านตรงเวลาไปอยู่กับลูกกับภรรยา ซึ่งทำให้พนักงานหญิงในบริษัทของเขาล้วนอิจฉามู่เวยเวย

ในคืนนี้ เย่ฉ่าวเฉินกำลังเดินเล่นอยู่ข้างนอกกับมู่เวยเวย ก็ได้รับสายที่ไม่คาดคิด

เขามองโทรศัพท์อยู่นานกว่าจะกดรับสาย “สวัสดีครับ ”เบอร์แบบนี้เขาไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์จากที่ไหน

“ประธานเย่ ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสียงทุ้มหนักแน่นดังมาจากอีกฝ่าย

เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ในหัวของเย่ฉ่าวเฉินก็คิดถึงใครบางคนในความคิดของเขา พ่อของฉู่เซวียน ฉู่เจิ่นหยุน

“ประธานฉู่ ไม่เจอกันนานมากแล้วจริงๆ” เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้มที่มุมปาก

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินชื่อนี้ก็หันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจและถามอย่างเงียบๆว่า ฉู่เซวียน ?

เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัว หยิบโทยศัพท์ออกห่างและกระซิบข้างหูเธอว่า “พ่อของฉู่เซวียน”

มู่เวยเวยก็นึกขึ้นได้ ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง

“เป็นเรื่องยากนะที่ประธานเย่ผู้ยุ่งตลอดเวลาคนนี้จะยังจำผมได้” ฉู่เจิ่นหยุนกล่าวทักทาย

ในขณะเดียวกันเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ลืมที่จะถากถางฝ่ายตรงข้าม “ที่ไหนกัน ในตอนนั้นประธานฉู่เป็นคนใจกว้างมาก ผมจะลืมยังไงก็ลืมไม่ได้หรอก ”

ฉู่เจิ่นหยุนป็นคนที่ผ่านอุปสรรคมามากมาย เรื่องแค่นี้สำหรับเขาแล้วไม่เป็นปัญหายังยิ้มและพูดว่า “ประธานเย่พูดตลกแล้ว ที่จริงที่ผมโทรมาวันนี้ก็เพื่อยืนยันเรื่องๆหนึ่ง”

“เชิญพูดครับ”

ฉู่เจิ่นหยุนหยุดไปชั่วขณะและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คนที่เกี่ยวข้องกับฉู่เซวียนคนนั้น คุณแน่ใจใช่ไหมว่าตายแล้ว ?”

“ประธานฉู่หมายถึงกาวิน ?”

“ใช่เขา”

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ปกปิดอะไรและพูดไปตรงๆว่า“ ผมเห็นเฮลิคอปเตอร์ระเบิดและตกลงไปในทะเลกับตาตัวเอง แต่จะตายจริงหรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมคิดว่าในกรณีแบบนี้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูงมาก”

อีกฝ่ายโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด “คำพูดของประธานเย่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจมาก”

เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะถาม “มีเรื่องอะไรเหรอ ?”

“พูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็อยากขอบคุณประธานเย่มาก ขอบคุณที่พาอาเซวียนกลับมาส่ง สองสามวันนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดี แต่คงไม่มีอะไรร้ายแรง”หลังจากพูดประโยคนี้น้ำเสียงของฉู่เจิ่นหยุนก็ดุร้ายขึ้น “ฉันอยากแน่ใจว่า ถ้าหากว่าไอ้บ้านั่นมันยังไม่ตาย ฉันจะฆ่าเขาด้วยตัวมือของฉันเอง เขาทำลายอาเซวียนไปแล้วครั้งหนึ่ง ฉันไม่มีทางให้เขาทำลายอาเซวียนเป็นครั้งที่สองแน่”

นี่คือความรักของผู้เป็นพ่อ เย่ฉ่าวเฉินสงบลง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเจตนาและความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี

“ประธานฉู่ เวลาจะเป็นยาที่ดีที่สุด มันจะช่วยฉู่เซวียนให้ออกมาเอง ”เย่ฉ่าวเฉินยากที่จะปลอบคนอื่น

“ขอบคุณคุณมาก”น้ำเสียงของฉู่เจิ่นหยุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว “ประธานเย่ พวกเราไม่ทะเลาะกันก็คงไม่รู้จักกัน เรื่องในอดีตถ้าคุณไม่ใส่ใจ ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ ต่อไปนี้ในวงการธุรกิจเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน เป็นยังไง?”

เย่ฉ่าวเฉินเห็นด้วย “แน่นอน มีเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคนดีกว่ามีศัตรูเพิ่ม”

“ประธานเย่เป็นคนร่าเริงจริงๆ ถ้ามีเวลาก็พาลูกพาภรรยามาเที่ยวฮ่องกง ฉันฉู่เจิ่นหยุนคนนนี้จะต้อนรับเป็นอย่างดี”

“ได้สิ ถ้ามีเวลาจะต้องไปแน่นอน”

“รบกวนแล้ว ประธานเย่เชิญยุ่งต่อเถอะ ฉันวางสายละ”

“ลาก่อน”

หลังจากวางสาย เย่ฉ่าวเฉินก็เงยหน้าขึ้น พบว่ามู่เวยเวยกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“เป็นอะไรไป ?” เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว “คุณพูดดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ยังปลอบใจคุณฉู่ด้วย ?”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างมีความสุขโอบเอวของมู่เวยเวยและเดินต่อไป “ที่จริงแล้ว ฉู่เซวียนก็เป็นคนที่น่าสงสาร ถูกคนเอาไปขายแล้วยังไปช่วยเขานับเงิน ฉู่เซวียนได้รับโทษตามที่เขาสมควรได้รับแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นทำให้มันแย่ลง นอกจากนี้ บริษัท MK มีอำนาจมาก ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็จะพัฒนามาที่จีนแผ่นดินใหญ่ ในแวดวงธุรกิจไม่มีมิตรและศัตรูถาวร แล้วทำไมผมต้องสร้างศัตรูล่ะ ? ไม่แน่บางทีสักวันพวกเขาอาจจะช่วยผมได้”

มู่เวยเวยทำเสียง “ชู่ ”“ที่คุณบอกว่าเห็นฉู่เซวียนก่อนหน้าคือเรื่องเท็จ มีเพียงเหตุผลข้างหลังที่เป็นเรื่องจริง ”

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจอย่างจงใจ “พระเจ้า เขาไม่ได้บอกว่าผู้หญิงที่ท้องจะโง่ไปสามปีเหรอ ? ทำไมภรรยาของผมฉลาดขึ้นเรื่อยๆ”

มู่เวยเวยต่อยเขา “คุณไปเรียนพูดคำหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

ชายคนนี้ถือโอกาสจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเธอและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เรียนรู้จากที่นี่ไง”

มุมปากของมู่เวยเวยโค้งงอใหญ่ ผู้หญิงใช้หูในการรัก พูดนิดหน่อยก็ไม่เลวเลย

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก เมื่อเวลาผ่านไป อากาศก็ค่อยๆเย็นขึ้นเรื่อยๆ ท้องของมู่เวยเวยและเสี่ยวซีหร่านก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเสี่ยวซีหร่าย ท้องเจ็ดเดือนแต่ก็เหมือนกับท้องแปดเดือน มู่เวยเวยเมื่อเทียบกับเธอแล้วก็ไม่ขนาดนั้น

โชคดีที่ทั้งคู่มีร่างกายที่ไม่อ้วนง่าย ร่างกายไม่ได้เนื้อมากนัก ยังเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่บอบบางทั้งสองคน

วันนี้อากาศหนาวเย็นมากและมีลมพัดเล็กน้อย เสี่ยวซีหร่ายนัดมู่เวยเวยไปช็อปปิ้ง ได้ยินว่าผู้หญิงท้องต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น ในระยะหลังการตั้งครรภ์เพื่อให้ทารกในครรภ์แข็งแรง ตอนที่คลอดจะได้คลอดง่าย

หญิงตั้งครรภ์ทั้งสองออกเดินทาง ตามมาด้วยบอดี้การ์ดหกคน ตรงกลางคุ้มกันอยู่สองคน เมื่อมองก็เห็นได้ว่าคนที่ได้รับการคุ้มครองคือหญิงตั้งครรภ์ ถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าผู้ว่าเดินทางมา

“เฮ้ ร้านนี้เมื่อก่อนฉันมาบ่อย ไม่เลวเลย พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” มู่เวยเวยชี้ไปที่ร้านเสื้อผ้าสตรี

“เข้าไปดูกัน”

จากนั้น บอดดี้การ์ดสองคนตามเข้าไป อีกสี่คนคุ้มกันอยู่นอกร้าน ทำให้พนักงานภายในร้านตกใจ

นี่เป็นสตรีมีครรภ์ของตระกูลไหน เดินทางมาอย่างอลังการมาก

หลังจากเที่ยวชมร้านค้าสามสี่ร้าน ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ เสี่ยวซีหร่านก็เหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว จึงนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพัก

“พี่สะใภ้ คุณอยากดื่มน้ำไหม ?” มู่เวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆถามด้วยความเป็นห่วง

เสี่ยวซีหร่านส่ายหัว “ไม่เอา ฉันเหนื่อยจะตายกับเด็กทั้งสองคนนี้แล้วจริงๆ เมื่อก่อนตอนที่ฉันอยู่คนเดียว วิ่งมาราธอนก็ไม่เป็นปัญหา ตอนนี้เดินได้แค่ไม่กี่ก้าว คุณยังดีกว่าฉัน”

“ถ้าฉันเป็นลูกแฝด ตอนนี้ฉันคงนอนอยู่ที่บ้านลุกไม่ขึ้น ไม่ต้องพูดถึงออกมาช็อปปิ้งเลย”มู่เวยเวยหัวเราะกับตัวเอง

อุณหภูมิของคนตั้งครรภ์สูงกว่าคนปกติ ถึงแม้ว่าอากาศจะเย็น เสี่ยวซีหร่านก็ยังคงมีเหงื่อออกที่หน้าผาก และเธอก็ใช้มือพัดเป็นลมไม่หยุด

หลังจากพักผ่อนไปสิบกว่านาที ทั้งสองก็เริ่มเดินต่อ และทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างหลัง “มู่เวยเวย”

มู่เวยเวยและเสี่ยวซีหร่านหันกลับไป เมื่อมองเห็นฝ่ายตรงข้าม ทั้งสองก็อ้าปากค้างโดยไม่คาดคิด

ไม่คิดเลยว่าจะมีการถ่ายภาพฟานเสี่ยวเหมยอีกครั้งในชีวิตนี้ เธอมีผิวที่สวยกว่าครั้งแรกเสื้อผ้าหน้าผมก็เหมาะสมเข้ากับเธอ

แทบจะเหมือนกับเกิดใหม่ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่คุ้นเคยเกินไป เมื่อเดินอยู่บนถนนก็คงจะไม่รู้จัก

ประเด็ดคือ แขนขวาของเธออยู่ในแขนของผู้ชาย ดูแล้วความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา

“เป็นคุณจริงเหรอ ? ฉันคิดว่าฉันมองผิด คุณ…..ท้องเหรอ ?” ฟานเสี่ยวเหมยดูเกร็งๆ และถามอย่างเก้ๆกังๆ

“ใช่ เจ็ดเดือนกว่าแล้ว มู่เวยเวยพูดอย่างใจกว้าง”

ความเศร้าเข้ามาในดวงตาของฟานเสี่ยวเหมย เจ็ดเดือน ? ถ้างั้นก็หลังจากเธอจากไปไม่นาน พวกเขาก็มีลูกแล้ว เย่ฉ่าวเฉินรอไม่ไหวเลยเหรอ ? ยังไงก็ต้องรอสักสามสี่เดือนสิ ดูเหมือนว่าเย่ฉ่าวเฉินจะลืมเธอไปซะสนิทเลย

มีความผิดหวังนิดหน่อย และมีความเศร้าเล็กน้อย เพราะว่าเธอเองยังคิดถึงเขาเป็นครั้งเป็นคราว

“ช่วงนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง ?” มู่เวยเวยทักทายก่อน

“ดีมาก บริษัทและเพื่อนร่วมงานดีกับฉันมาก” ฟานเสี่ยวเหมยชี้ไปที่ชายร่างสูงผอมหน้าตาหล่อเหลา “นี่คือแฟนของฉัน”

มู่เวยเวยยิ้มทักทาย “สวัสดีค่ะ ”

ชายคนนั้นตอบกลับอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ”

ฉากตรงหน้าเงียบลงทันที มีความรู้สึกเก้ๆกังๆ

ในที่สุดฟานเสี่ยวเหมยทำลายบรรยากาศนี้ “พวกคุณตามสบายเถอะ ฉันยังมีธุระขอตัวก่อน”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

Status: Ongoing

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท