วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – บทที่ 298 : คุณต้องรับผิดชอบผม

บทที่ 298 : คุณต้องรับผิดชอบผม

ต้วนอีเหยาคิดพิจารณาอยู่นาน สุดท้ายจึงพูดออกอย่างผ่อนคลาย “ตกลง”

พนักงานเมื่อเห็นเจ้านายเข้ามา ก็รีบมาทำความเคารพ “ท่านประธานเย่สวัสดีค่ะ”

“อืม คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ” เย่จิงเหยียนไม่อยากให้ใครมาทำงานแทนที่เขา

“ค่ะ”

ต้วนอีเหยาที่เดิมตามเขามานาน ได้เปิดโลกทัศน์มากขึ้น พูดชื่นชมอย่างจริงใจ “เสื้อผ้าร้านนายสวยกว่าร้านอื่นๆ”

“ลองดูสิคุณชอบแบบไหน?” เย่จิงเหยียนมองเธอด้วยความอ่อนโยน

ต้วนอีเหยามองเห็นชุดกระโปรงชุดหนึ่ง พื้นหลังสีขาว ด้านบนมีภาพพิมพ์ลายใบบัวจางๆ และตรงไหล่มีลายดอกบัวสีชมพูเข้ม ชุดนี้ดูแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น

“ชุดนี้ สวยมาก”

“แม่ผมได้ยินแบบนี้ คงดีใจมากแน่ๆ”

ต้วนอีเหยาแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”

“เพราะชุดนี้แม่เป็นคนออกแบบเองกับมือ” เย่จิงเหยียนพูด พร้อมกับสั่งให้พนักงานนำชุดที่มีขนาดพอดีกับเธอมา

“แม่ของนายเป็นดีไซน์เนอร์เหรอ?”

“อืม และเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงมาก แต่แม่ไม่ค่อยได้ออกแบบเสื้อผ้าแล้ว จะทำบางครั้งบางคราวที่เมื่อสนใจ และนี่ก็คือผลงานของแม่” เย่จิงเหยียนพูดด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่คิดว่าอาอี๊จะเก่งขนาดนี้”

“ไปลองสิ”

เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ ต้วนอีเหยาออกมายืนอยู่หน้ากระจกพร้อมรอยยิ้มสดใจ เสื้อผ้าดูดี และคนใส่ก็สวยอีกด้วย

“อีเหยา”

มีเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ต้วนอีเหยาจึงหันกลับไป “แชะ!” รูปถ่ายถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของเขา ดวงตาสีเข้มเป็นประกาย รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นที่มุมปาก คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น งดงามราวกับดอกบัวสูงส่งและบริสุทธิ์

“ฉันขอดูหน่อย สวยไหม?” ต้วนอีเหยาโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว มองดูรูปถ่ายแล้วยิ้ม “ทำไมดูดีกว่าตัวจริง”

“ตัวจริงก็สวยเหมือนกัน” เย่จิงเหยียนพูดเบาๆ

“นายเก็บภาพนี้ไว้ได้ แต่ไม่อนุญาตให้เอาไปเผยแพร่”

“แน่นอน จะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้ดู” เขาจะยอมให้คนอื่นเห็นต้วนอีเหยาที่สวยงามเช่นนี้ได้อย่างไร

“งั้นฉันจะใส่ชุดนี้ไปดูตัว รับรองว่าหนุ่มวิศวะคนนั้นต้องตกหลุมรักฉัน” ต้วนอีเหยาเชิดหน้าอย่างพออกพอใจ

เย่จิงเหยียนตัวแข็งทื่อ เขาไม่ได้ต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้

“คุณ… อยากให้อีกฝ่ายตกหลุมรักคุณเหรอ?”

“ก็อย่างที่พูด ถ้าในกรณีที่ฉันชอบเขาเหมือนกันคงพอเหมาะ และก็เกี่ยวกับความกังวลของพ่อ”

เย่จิงเหยียนขบฟันแน่น แบบนี้ไม่ได้ เมื่อมองเห็นชุดเดรสสีอ่อนตรงมุมก็พูดขึ้น “ทำไมไม่ลองชุดนี้ดูล่ะ ดูดีเหมือนกันนะ”

แต่ต้วนอีเหยาปฎิเสธ “ไม่ล่ะ ฉันชอบชุดนี้ ตอนนี้ก็สายแล้ว เราไปที่นัดกันเถอะ”

เย่จิงเหยียนมองไปยังแผ่นหลังเรียวยาวของเธอ นั้นเรียกว่าความกลัดกลุ้มใจที่ปิดกั้นไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องหิ้วของแล้วเดินตามไป

สถานที่นัดพบที่ตกลงกันไว้คือร้านอาหารจีนที่อยู่ใกล้ๆ

ประมาณห้านาที ต้วนอีเหยาและเย่จิงเหยียนก็ก้าวเข้ามาอยู่ในร้านอาหารจีน

“น่าจะยังมาไม่ถึง” ต้วนอีเหยาสังเกตมองอย่างกระตือรือร้น “ฉันโทรหาหน่อย”

พอถาม อีกฝ่ายก็บอกทันทีว่ามาถึงแล้ว

เย่จิงเหยียนช่วยเธอมองหาที่นั่งเด่นๆ จากนั้นตัวเองก็นั่งอยู่ฝั่งเฉียงๆ กับเธอ ตรงนี้เห็นหน้าคนที่มาดูตัวได้ชัดเจน

หลังจากที่พูดว่าทันที ต้วนอีเหยารออยู่เกือบสิบนาทีก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเขาคือผู้ชายคนนั้น

ดูจากที่เขาก้มดูโทรศัพท์ จากนั้นไม่กี่วินาที โทรศัพท์มือถือของต้วนอีเหยาก็ดังขึ้น

มองหาเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ เมื่อชายหนุ่มเห็นต้วนอีเหยา เย่จิงเหยียนที่นั่งอยู่เฉียงๆ เห็นความประหลาดใจในแววตาของเขาอย่างชัดเจน

เฮ้อ ผู้ชายคนนี้ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เย่จิงเหยียนพึมพำอยู่ในใจ

เพราะคุณสมบัติทางวิชาชีพ ต้วนอีเหยาเคร่งขรัดเรื่องเวลาเป็นอย่างมาก ในความคิดของเธอ แม้เพียงนาทีก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เครื่องบินรบล่าช้าได้ ช้าเพียงห้านาทีกองทัพทั้งหมดคงถูกทำลายไปแล้ว

ดังนั้น ความประทับใจแรก หักห้าคะแนน

แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะดูเย่อหยิ่งและหล่อเหลา แต่การมาสายก็เกินที่เธอจะรับได้

“สวัสดีค่ะ ผมหวังหงกวง”

ต้วนอีเหยาลุกขึ้น จับมือเบาๆ แล้วปล่อย “สวัสดี ฉันต้วนอีเหยา เชิญนั่ง”

ทั้งสองคนนั่งลง หวังหงกวงเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร ต้วนอีเหยาหิวมากหลังจากซื้อของมาตลอดทั้งเช้า เขาถ่อมตัวเล็กน้อย เธอก็ไม่เกรงใจเช่นกัน สั่งเนื้อเผ็ดๆ มาสองจาน หวังหงกวงขมวดคิ้ว แล้วสั่งอาหารมังสวิรัติสองจาน

“ได้ยินมาจากพ่อว่าคุณเป็นผู้พัน เก่งจริงๆ” หวังหงกวงเอ่ยปากชมเธอทันที

ต้วนอีเหยายิ้มแล้วพูดอย่างสุภาพ “ที่ไหนล่ะคะ เป้าหมายของฉันคือเป็นพลเอก ไม่รู้ความปรารถนานี้จะเป็นจริงไหม”

“คุณยังจะเป็นทหารต่อเหรอครับ?” หวังหงกวงถามด้วยความประหลาดใจ

“แน่นอนค่ะ ฉันไม่เป็นทหารแล้วจะให้ทำอะไร?”

หวังกงกวงชะงัก “ผมนึกว่าที่คุณมาดูตัว เพราะอยากปลดเกษียณ”

ต้วนอีเหยาสีหน้าจริงจัง “ฉันเป็นทหาร ข้อเท็จจริงนี้จะไม่มีเปลี่ยนแปลงใดๆ”

“ถ้าคุณต้องแต่งงานล่ะ คุณจะทำยังไง?”

“แต่งก็แต่งสิค่ะ ทำไม? ความหมายของคุณคือเป็นทหารแต่งงานไม่ได้เหรอ?” ต้วนอีเหยายิ้ม ความดุฉายอยู่ในแววตา มองดูทำให้อีกฝ่ายอึดอัด

หวังหงกวงเห็นว่าบรรยากาศการสนทนาค่อนข้างตึงเครียด จึงพูดให้บรรยากาศผ่อนคลาย “เปลาครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พ่อของผมก็เป็นทหาร ผมเคารพอาชีพทหารอยู่แล้ว เพียงแค่อยากทำความเข้าใจ”

“อืม” ต้วนอีเหยาหมดความสนใจในตัวเขาทันที ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีก็จริง ทำไมความคิดล้าหลังแบบนี้ คิดว่าผู้หญิงต้องกลับไปอยู่บ้านหลังจากแต่งงาน?

เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกอย่างยิ่ง จากที่เฝ้าสังเกตเขาเข้าใมจความคิดของต้วนอีเหยาเป็นอย่างดี เขาแสดงออกว่าตนเองรับได้ทั้งหมด ตราบใดที่ได้อยู่กับต้วนอีเหยา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ย่อมได้ ท้ายที่สุดก็ด้วยสามารถของเขา ไม่ว่าจะเวลาใดหรือที่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา

พนักงานเสิร์ฟมาได้ทันเวลาทำลายบรรยากาศอึดอัดใจของทั้งคู่

หมาล่าเซียงกัวและหมูสามชั้นผัดพริกยกมาเสิร์ฟ ต้วนอีเหยาเริ่มน้ำลายไหล พูดอย่างตรงไปตรงมา “ทานเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ทำแบบนี้เสมอ แม้เพียงที่ที่มีเหล่าข้าราชการมากมาย เมื่อหิวก็ต้องกิน เธอก็มีความสามารถด้านจริงๆ ไม่มีใครทำแบบเธอได้

ในทางตรงกันข้าม หวังหงกวงเป็นคนมีมารยาทอย่างมาก ใจหนึ่งคิดว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมา ในขณะที่อีกใจก็แอบด่าว่าเธอหยาบคาย และอีกอย่างเขาไม่กินอาหารรสจัด โดยเฉพาะทั้งเนื้อและทั้งเผ็ดแบบนี้ มันไม่ดีต่อสุขภาพ ตรงข้ามกับลูกสาวของหัวหน้าพ่อ เขาได้แต่ฝืนยิ้ม

“ต้วน…คุณผู้หญิง คุณทานเผ็ดมากๆ เลย” เขายิ้มแห้งๆ พูดจบก็จามออกมา

ต้วนอีเหยามองไปที่เห็ด ผักและมะเขือยาวนึ่งที่เขาสั่งมา เห็นได้ชัดว่า “คุณไม่กินเผ็ดเหรอ?”

“อืม กินไม่ได้…ฮัดเช้ย——”

“ทำไมล่ะ? ฉันถ้าไม่เผ็ดไม่ชอบ”

หวังหงกวงหยิบกระดาษเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ถามด้วยความหวังอันริบหรี่ “ถ้าหลังจากนี้เราต้องแต่งงานกัน คุณจะยอมทิ้งพริกเพื่อผมได้ไหม?”

“ไม่ได้” ต้วนอีเหยาปฎิเสธทันที

หวังหงกวงยังโน้มน้าวต่อไป “การกินพริกไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้หญิง การกินพริกทำให้เป็นสิวง่าย”

“กระเพาะฉันดีมาก และก็ไม่เป็นสิวด้วย” ต้วนอีเหยาไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้เขาแล้ว จะพูดก็ไม่พูดออกมาตรงๆ

หวังหงกวงตกใจจนลืมจาม

เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้มาก่อน

ต้วนอีเหยารับประทานอาหารไปสักพัก เห็นเขายังจ้องตนเองอยู่ เธอทนไม่ไหวจึงวางตะเกียบลง แล้วพูดออกไป “ในเมื่อมานัดดูตัวกันแล้ว ก็ต้องการผลลัพธ์ พวกเรามาพูดคุยกันแล้วก็กลับกันดีกว่า ข้อแรกฉันไม่ชอบคนมาสาย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ข้อสองอาชีพทหารเป็นสิ่งที่ฉันจะทำไปตลอดชีวิต เว้นเสียแต่ว่าวันหนึ่งประเทศชาติไม่ต้องการฉันแล้ว ข้อสามฉันชอบกินสัตว์ใหญ่ฉันชอบกินเนื้อและอาหารรสเผ็ด สรุป ที่เรานัดดูตัวกันวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคุณไม่รังเกียจจะนั่งกินข้าวให้เสร็จก่อน หรือถ้าคุณรับไม่ไหวออกไปตอนนี้เลยก็ได้”

หวังหงกวงตะลึงไปเกือบนาที หลังจากเข้าใจสิ่งที่ต้วนอีเหยาพูดแล้ว สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดี “ขอโทษด้วยละกัน ผมคิดว่าขอตัวไปก่อนดีกว่า ลาก่อนครับ”

“ลาก่อน”

เมื่อเห็นแผ่นหลังของหวังหงกวงเผ่นแน่บไป เย่จิงเหยียนก็แทบจะหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าต้วนอีเหยาจะสร้างความปั่นป่วนให้คนอื่นได้น่ารักขนาดนี้

หวังหงกวงเพิ่งลุกออกไป ก็สั่งให้พนักงานเปลี่ยนถ้วยและตะเกียบ แล้วสั่งอาหารเสฉวนเพิ่มอีกสองเมนู เย่จิงเหยียนเพิ่งเห็นว่า สีหน้าของต้วนอีเหยาดูหดหู่เล็กน้อย

“เป็นอะไร? ไม่ใช่ว่าคุณคิดถึงเขานะ ทำไมถึงดูอารมณ์ไม่ค่อยดี?” เย่จิงเหยียนถามอย่างรีบร้อน

ต้วนอีเหยาถอนหายใจเงียบๆ “น่าเสียดายเสื้อผ้าของฉัน และอีกอย่างพ่อต้องด่าฉันอีกแน่”

เย่จิงเหยียนกำมือสองข้างที่อยู่ใต้โต๊ะแน่น เหงื่อแตกพลั่ก ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นอย่างหนักแน่น “อีเหยา สามข้อที่เพิ่งพูดมาผมทำให้คุณได้หมดเลยนะ”

ต้วนอีเหยาที่กำลังกินนักเก็ตไก่ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร จึงถามขึ้น “สามข้ออะไร?”

“ก็หนึ่งสองสามที่คุณเพิ่งบอกเขาไปไง ผมทำได้หมดแม้คุณจะมีถึงข้อที่สี่ห้าหก ผมก็ทำได้” เย่จิงเหยียนมองไปที่ดวงตาสดใสของเธอ ในใจถึงกลับอกสั่นขวัญแขวน

แม้คุณเป็นคนซื่อบื้อ ยังรู้ว่าคำพูดของเย่จิงเหยียนหมายถึงอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนฉลาดๆ อย่างผู้พันหญิงต้วนอีเหยา

เพียงแค่เธอคิดไม่ถึงว่า เย่จิงเหยียนที่รับบทเป็นน้องชายผู้แสนดีมาโดยตลอดจะสารภาพรักกับเธอในร้านอาหารจีน

หลังจากตกใจ ต้วนอีเหยาก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “จิงเหยียน นายไม่จำเป็นต้องกู้หน้าให้ฉัน ฉันได้…”

“ไม่ ไม่ใช่เพื่อคุณ เพื่อผม” เย่จิงเหยียนพูดขัดจังหวะออกไป สารภาพสิ่งที่อยู่ในใจตนเอง “ตอนเด็กๆ เราไม่เข้าใจว่าเราชอบอะไร แต่ผมชอบทุกครั้งที่ได้อยู่กับคุณ เมื่อเติบโตขึ้นผมตั้งตารอให้คุณเขียนจดหมายให้ผม แม้ว่าจะแค่สองสามประโยคผมก็อ่านมันไปหลายวัน รูปถ่ายที่คุณส่งให้ผม ผมพกติดตัวเสมอ ไม่ว่าคุณจะไปเรียนมหาวิทยาลัย เรียนต่อต่างประเทศ หรือไปเที่ยวที่แอฟริกาผมก็คิดถึงแต่คุณ แต่เมื่อได้พบคุณอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมรักคุณเข้าแล้ว รักแบบนี้มานานจนมันกลายเป็นความเคยชิน ฝังลึกอยู่ในเลือด เหมือนกับต้นกล้าที่ฝังรากลงในดิน ตอนนี้ได้เติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน”

ต้วนอีเหยาไม่เคยได้ยินคำสารภาพรักมากมายขนาดนี้ รากที่ฝังแน่นอยู่ในใจถูกเขาคลายออกเบาๆ

“ตอนอนุบาลที่เราเจอกันครั้งแรกคุณบอกว่า ผมเป็นคนของคุณ ผมจำประโยคนี้ได้ ผมเฝ้ารอคุณมาตลอด ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบผม”

ประโยคสุดท้ายกระแทกหัวใจต้วนอีเหยา ทำให้สั่นไหวอย่างรุนแรง

ทั้งคู่สบตากัน พวกเขาเพียงแค่มองไปตรงหน้า ไม่ได้พูดอะไร แม้แต่พนักงานที่เดินผ่านมาก็เพียงแค่วางจานลงแล้วถอยกลับไปแค่นั้น

“ผมพูดเยอะขนาดนี้ คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” เย่จิงเหยียนพูดนำ เขาใกล้ตายเพราะความวิตกกังวล เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ต้วนอีเหยาอ้าปากพูด “นาย…นาย…” ประโยคขาดช่วงไปอยู่นาน “แต่ฉันแก่กว่านายนะ”

“แก่กว่าแค่ไม่กี่เดือนเอง”

“แต่…ฉันจะไม่ปลดประจำการเพราะนาย”

“ผมรู้ ผมสนันสนุบคุณ ผมจะสนับสนุนตราบเท่าที่คุณต้องการจะเป็นทหาร”

บริเวณรอบๆ ดวงตาต้วนอีเหยาเจ็บแปลบขึ้นมา ที่เขาพูดมามากมายก่อนหน้านี้ ไม่ซาบซึ้งเท่าประโยคนี้เลย

“แบบนี้มันไม่กะทันหันไปหน่อยเหรอ นายให้ฉันไตร่ตรองก่อนสักหน่อย” ต้วนอีเหยาไม่อยากตัดสินใจในสถานการณ์หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ตอนนี้เธอต้องสงบสติอารมณ์

เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่จิงเหยียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่ปฎิเสธก็ดีแล้ว

จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไร รับประทานอาหารของตัวเองไปอย่างเงียบๆ แต่รสชาติอาหารเป็นอย่างไรนั้น ไม่ค่อยรับรู้สักเท่าไหร่

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่จิงเหยียนไปจ่ายค่าอาหาร หยิบกระเป๋าทั้งใบใหญ่และใบเล็กขึ้นมาแล้วเดินตามต้วนอีเหยาออกไป เขารู้ว่าเธอกำลังงุนงง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมให้ตนเองเป็นคนจ่าย

ถนนเส้นที่หนึ่ง ถนนเส้นที่สอง ถนนเส้นที่สาม…

เดินตามเธอมาจนถึงเส้นที่ห้า ในที่สุดต้วนอีเหยาก็หยุดเดิน หันกลับมาเงยหน้าขึ้นมองเขา มีความสงสัยอยู่ในแววตา “ฉันคิดไม่ออก ทำไมนายถึงชอบฉัน”

เย่จิงเหยียนทรุดฮวบลงทันที ที่เธอจริงจังนานขนาดนี้ เพราะกำลังคิดเรื่องนี้เองเหรอ?

“ที่ผมชอบคุณคนง่ายมาก คุณเป็นคนดี ถ้าคุณอยากให้ผมพูดหลายๆ อย่าง ผมชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ”

ในที่สุดดวงตาของต้วนอีเหยาก็ปรากฏรอยยิ้ม เธอพูดหยอกเย้าเขา “จิงเหยียน นายสารภาพรักได้ขนาดนี้ มีแฟนมาหลายคนแล้วใช่ไหม?”

“ไม่มี ผมรอคุณมาโดยตลอด” เย่จิงเหยียนมองไปที่ดวงตาเธออย่างลึกซึ้ง ความจริงใจฉายอยู่ในแววตา

“จริงเหรอ?”

“ผมกล้าสาบาน”

ต้วนอีเหยากดนิ้วที่เขายกขึ้นมาลง “ไม่จำเป็น ฉันเชื่อนาย” เธอหยุดไปสักครู่แล้วเอ่ยต่อ “นายต้องรู้ไว้ ถ้าเราอยู่ด้วยกัน เวลาทั้งหมดของฉันมากน้อยจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ”

“ผมรู้”

“นายต้องรู้ไว้ ฉันอาจต้องไปเผชิญอันตรายได้ทุกเมื่อ และทิ้งนายไว้คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นนายจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันอยู่ที่ไหน”

หน้าอกของเย่จิงเหยียนแน่นขึ้น และยังคงพูดอย่างหนักแน่นว่า “ผมรู้”

“นายต้องรู้ไว้ ฉันไม่ใช่คนดี ถ้าวันหนึ่งนายหักหลังฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้นายมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เย่จิงเหยียนยิ้ม “ผมรู้”

“ยิ้มอะไร? ฉันพูดจริงๆ” ต้วนอีเหยาพูดอย่างหัวเสีย

“ผมรู้”

ต้วนอีเหยาทนไม่ไหวจึงเหยียบเท้าทั้งสองข้างของเขา “นอกจากสามคำนี้ นายพูดคำอื่นไม่เป็นเลยรึไง?”

เย่จิงเหยียนอยากจะกางแขนออกทั้งสองข้างแล้วโอบกอดเธอ แต่ก่อนอื่น เขายังมีเรื่องที่ต้องบอกเธอ

“อีเหยา ก่อนที่คุณจะตอบคำถามผม ผมมีบางอย่างที่ต้องสารภาพกับคุณ หลังจากนี้คุณต้องรับปากกับผม” เย่จิงเหยียนดูจริงจังเป็นพิเศษ

“เรื่องอะไร?”

“คุณมากับผม”

เย่จิงเหยียนเดินไปยังโรงแรมที่อยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว ต้วนอีเหยาคว้าตัวเขาไว้ ถามขึ้นด้วยความตกใจ “นายกำลังจะทำอะไร?”

“เรื่องที่ผมจะบอกต้องการใช้พื้นที่เงียบๆ ที่นี่เสียงดังเกินไป”

ต้วนอีเหยาสงสัย เรื่องอะไรทำไมต้องเปิดห้องที่โรงแรม? มันสมควรหรือเปล่า…หรือร่างกายเขามีอะไรผิดปกติ

“เปิดสองห้อง ห้องติดกันครับ ขอบคุณ”

เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยามาที่ห้องห้องหนึ่ง เขาวางสิ่งของทุกอย่างลง พูดกับเธออย่างเคร่งขรึม “เรื่องที่ผมจะบอก เป็นความลับของเผม เป็นความลับของครอบครัวผม ใบโลกนี้มีเพียงแค่คนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้”

“เรื่องอะไร ทำไมดูลึกลับซับซ้อน”

เย่จิงเหยียนเงียบไปชั่วขณะ ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ถุงห้าหกใบที่วางอยู่บนพื้นลอยขึ้นมา…

ต้วนอีเหยาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ ถุง…บินได้อย่างไร…แถมยังลอยอยู่กลางอากาศ?

หลังจากนั้นเพียงเธอกระพริบตา เย่จิงเหยียนก็หายตัวไปในอากาศ ต้วนอีเหยาเอื้อมมือไปสัมผัสที่ที่เขาเคยยืน ว่างเปล่า

“จิงเหยียน?”

ไม่กี่วินามีต่อมา มีเสียงพูดดังมาจากด้านหลังเธอ “ผมอยู่นี่”

ต้วนอีเหยาหันกลับไปทันที เย่จิงเหยียนลอยอยู่กลางอากาศ แล้วค่อยๆ บินเข้ามาหาเธอ เรื่องจริง… เขาบินเข้ามา…

ต้วนอีเหยารู้สึกว่า ทัศนคติต่อโลก ต่อชีวิต และต่อคุณค่าทั้งสามมุมมองของเธอกำลังถูกทำลายลง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“นาย… เป็นใครกันแน่?” ต้วนอีเหยาถามด้วยความประหลาดใจ เธอคิดว่าที่เธอเห็นอยู่นี่เป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่มากๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสิ่งที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์เช่นนี้

เย่จิงเหยียนคาดการณ์ปฎิกิริยาของเธอล่วงหน้าไว้แล้ว อธิบายอย่างสงบ “ผมมีพลังพิเศษมหาศาลมากกว่าคุณ แต่นอกจากนี้ก็เหมือนกับพวกคุณปกติไม่ต่างกัน บาดเจ็บได้ เลือดออกได้ ถ้าถูกยิงก็ตาย แค่นั้น”

ต้วนอีเหยาค่อยๆ ยื่นมือออกไปบีบแขนของเขา เป็นเรื่องจริง แต่เธอรู้สึกราวกับความฝัน

“แม่เจ้า! โลกนี้มันบ้าไปแล้ว” ต้วนอีเหยาก้าวถอยหลังไปสองก้าวแล้วนั่งลงบนเตียง จ้องมองเย่จิงเหยียนแล้วพูดว่า “นายอย่าเพิ่งพูดอะไร เรื่องนี้มันแปลกมาก ให้ฉันสงบสติอารมณ์ก่อน”

เย่จิงเหยียนเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “งั้นคุณก็ลองคิดดูดีๆ ผมขอตัวไปก่อน”

“นายจะไปไหน?” ต้วนอีเหยารีบถามขึ้น

เย่จิงเหยียนชี้ไปห้องข้างๆ “ผมอยู่ห้องข้างๆ คุณคิดได้เมื่อไหร่ก็บอกผม..”

“อ่อ ได้” ต้วนอีเหยาหยักหน้า

เย่จิงเหยียนเดินไปที่ประตูแล้วจากออกมา อันที่จริงเขาเดินทะลุกำแพงได้ แต่เพื่อความปลอดภัย เปิดประตูเหมือนคนทั่วไปจะดีกว่า โรงแรมนี้มีการตรวจตราทั่วทางเดิน

เมื่อได้ยินเสียงดัง “คลิก” ตรงประตู ต้วนอีเหยาก็นอนหงายลงบนเตียงกว้าง

โอ้พระเจ้า! มีคนมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติอยู่บนโลกจริงๆ และเธอยังรู้ว่ามันสุดยอดมาก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนอีเหยาก็มองไปที่แขนตัวเอง แล้วยกขาเตะสองข้างขึ้นเตะกลางอากาศ

หลังจากตื่นเต้น ต้วนอีเหยากลับมาปลอบใจตัวเอง ยังดีที่คนที่มีพลังเช่นนี้เป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ถ้าเขาเป็นคนชั่ว คงเป็นอันตรายต่อสังคม นั่นคือความสยองขวัญที่แท้จริง

ไม่ได้ เธอต้องไม่ปล่อยให้เย่จิงเหยียนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ เช่นนั้น หรือต้องเก็บเขาไว้ อีกด้านถ้าเธอปฎิเสธเขา หากเขารู้สึกสิ้นหวังอาจจะทำอะไรบางอย่างก็ได้ เธอก็จะกลายเป็นนักโทษ และนอกจากนี้เธอยังรู้สึกว่าตัวเองชอบผู้ชายคนนี้อยู่ลึกๆ

อีกห้อง เย่จิงเหยียนอยู่ไม่สุข เขาไม่รู้ว่าต้วนอีเหยาจะตัดสินใจอย่างไร แต่เขาบอกความลับนี้กับเธอ เพราะเชื่อใจเธอจริงๆ

ทันใดนั้นเวลาก็เดินช้าลงอย่างผิดปกติราวกับหอยทากคลาน เย่จิงเหยียนมองไปที่นาฬิกา เพิ่งผ่านไปเพียงห้านาที…

เขาเปิดโทรทัศน์ดู ปรับไปช่องข่าวที่ชอบดูบ่อยๆ เย่จิงเหยียนพยายามใช้วิธีนี้เพื่อฆ่าเวลา แต่เขากลับพบว่ามันไม่มีประโยชน์เลย เขาไม่มีสมาธิ ใบหน้าเธอลอยอยู่ตรงหน้า เวลานี้จิตใจเขายุ่งเหยิงไปหมด ในที่สุดก็เริ่มเพ้อฝัน ถ้าต้วนอีเหยาตกลงเป็นแฟนกับเขา ในอนาคตเขาจะปฎิบัติต่อเธอย่างดี

แต่ถ้าเธอไม่ตอบรับล่ะ? เย่จิงเหยียนล้าช้าไปเพียงนิดเดียวเขาเชื่อมั่นแบบนั้น ตราบใดที่เธอยังไม่แต่งงาน แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ยังไม่ถึงจุดจบ

อืม เพียงเท่านี้

อย่างไรชีวิตนี้เธอก็เป็นของเขาไปตลอดชีวิต หลบหนีไม่พ้น

ห้านาทีผ่านไป โทรศัพท์ไร้วี่แวว ประตูก็ไม่มีเสียงเคาะ

ต้องคิดอีกนานแค่ไหน? เย่จิงเหยียนตื่นตระหนกเล็กน้อย บอกตามตรง เขายังคงมั่นใจในคำตอบของต้วนอีเหยา แต่ยิ่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ แสดงว่าเธอยิ่งสับสนมากเท่านั้น มีโอกาสที่จะไม่เห็นด้วยมากขึ้น

แนบหน้าบนกำแพงและฟังการเคลื่อนไหวของเธอ ไม่มีเสียงใดๆ เย่จิงเหยียนกลับไปดูโทรทัศน์เพื่อลดความวิตดกังวล นั่งสมาธิบนเตียง แล้วจ้องมองไปที่หน้าอทีวี

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า…

วันหนึ่งนานเหมือนหนึ่งปี เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าตอนนี้เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า

หนึ่งวินาที หนึ่งนาที ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ต้วนอีเหยายังไม่ได้ข่าวใดๆ จากเธอ เขากำลังสงสัยว่าโทรศัพท์ตัวเองหาย หรือคิดว่าเธอหลับอยู่

หรือต้องแอบไปดูสักหน่อย? เย่จิงเหยียนคิด

ลืมมันไปซะ เธอบอกว่าต้องการความสงบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนรอบคอบ เมื่อได้สร้างความสัมพันธ์แล้ว ทั้งหมดคือตลอดชีวิต ไม่ใช่แบบสุขเอาเผากิน

รอก่อน รออีกสิบนาที ถ้าเธอยังไม่มีท่าทีใดๆ ก็ต้องไปถามด้วยตัวเอง

เพียงแค่ปลอบใจตนเอง จากนั้นเมื่อนับเวลาบนนาฬิกาข้อมือได้ถึงสิบนาที แม้จะทั้งมีมารยาทและสุภาพ แต่เย่จิงเหยียนทนรอต่อไปไม่ไหว เดินออกจากห้องไป แล้วเคาะประตูห้องข้างๆ

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก——”

ไม่มีคนมาเปิด หรือว่าหลับไปแล้วจริงๆ?

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก——” เย่จิงเหยียนออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อย รอคอย ก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตู

สีหน้าตึงเครียดและลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาแล้วกดเบอร์โทรศัพท์ของเธอ เสียงเตือนว่าโทรศัพท์ปิดดังออกมาจากไมโครโฟน

โทรศัพท์แบตหมดเหรอ? เย่จิงเหยียนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

หลังจากกดอยู่สองสามครั้งก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ จึงกลับมาที่ห้องของตนเอง

ผู้หญิงที่ชอบก็อยู่ข้างๆ เย่จิงเหยียนยืนหันหน้าเข้ากำแพงคิดอยู่นาน หากบุ่มบ่ามทำอะไรเสี่ยงต่อการโดนเธอด่า จึงตัดสินใจทะลุกำแพงห้องข้างเข้าไป

แต่เมื่อเห็นฉากตรงหน้าก็ต้องตกใจ

เพราะห้องว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ มีเพียงเสื้อผ้ามากมายที่ซื้อมาในตอนเช้า

“อีเหยา?” เย่จิงเหยียนพูดออกมาเบาๆ ความขี้ขลาดและเปราะบางถาโถมเข้ามา ในห้องว่างเปล่าไร้การตอบสนอง

เสียงดัง “หึ่งหึ่ง” ก้องกังวานอยู่ในหัวของเย่จิงเหยียน ไม่อยากเชื่อว่าจะออกมาแบบนี้ เขาเปิดประตูห้องน้ำด้วยอาการเซื่องซึม ไม่มีคน เปิดดูถุงช้อปปิ้งสองสามถง ชุดเครื่องแบบทหารและรองเท้าทหารที่เธอเปลี่ยนหายไป ที่เหลือยังอยู่ครบ

เหมือนวิญญาณจะถูกดูดออกจากร่าง แววตาของเย่จิงเหยียนว่างเปล่า นั่งอยู่บนหัวเตียงราวกับไก่เป็นอัมพาต เขาไม่อยากเชื่อความจริงเรื่องนี้ นั้นก็คือเธอหายไปแล้ว

และไม่ได้กล่าวลา ทั้งหมดหมายความว่าเธอปฎิเสธเขา

เธอหวาดกลัวงั้นเหรอ?

ดังนั้นเธอเลยหนีไป?

เมื่อคิดแบบนี้ ในใจของเย่จิงเหยียนก็เจ็บปวดขึ้นมา

ตนเองมองเธอผิดไปเหรอ?

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

Status: Ongoing

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท