วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – บทที่ 350 : ฉันชอบคุณจริงๆนะ

บทที่ 350 : ฉันชอบคุณจริงๆนะ

“ฉัน……ฉัน……ชอบจริงๆนะ พี่……พี่จิงเหยียน……” ต้วนจื่ออิ๋งสะอึกสะอื้น ขอบตาแดง ฉะนเห็นแล้วก็สงสาร

พ่อต้วนกุมหน้าอก หันไปมองเย่จิงเหยียนอย่างดุดัน “คุณใส่ยาเสน่ห์ให้ลูกสาวฉันหรอ?”

“พ่อ……”

ต้วนจื่ออิ๋งขวางสายตาของพ่อต้วน นำเย่จิงเหยียนมาปกป้องไว้ข้างหลัง “ไม่ใช่เรื่องของพี่จิงเหยียน คุณอย่ามาว่าเขา”

“ดี ดี ตอนนี้แม้แต่ฉันจะพูดกับคนอื่นไม่กี่ประโยคคุณก็ไม่ยินดีใช่ไหม? ลูกสาวที่ดีของฉัน! แค่กแค่กแค่ก……”

พ่อต้วนพูดจบก็ปิดปากไอ จู่ๆก็นั่งลงบนเก้าอี้ อย่างหอบเหนื่อย

“ตาเฒ่าต้วน ตาเฒ่าต้วน?” แม่ต้วนเห็นพ่อต้วนนั่งลงไอบนเก้าอี้ ดูเซื่องซึม เธอก็รู้สึกไม่ดี ปล่อยมือที่จับต้วนจื่ออิ๋ง แล้วตรงเข้าไปหาเขา

“แค่กแค่กแค่ก……แค่กแค่ก……”

พ่อต้วนปิดปากแล้วยื่นมือออกไปห้ามแม่ต้วนไม่ให้มาดูอาการ “แค่กแค่ก……”

“พ่อต้วน ท่านไม่พอใจฉัน จริงๆมันก็เป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันต้องขอโทษอย่างมาก” เย่จิงเหยียนก้าวออกมาจากข้างๆต้วนจื่ออิ๋ง หันหน้าไปทางพ่อต้วนแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพ

เขาเป็นผู้ชาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่ควรหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิง

“แต่ว่าฉันก็มีหลักการของฉัน ในเมื่อฉันรับปากว่าจะแต่งงานกับจื่ออิ๋ง ก็จะปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี จุดนี้ ขอให้ท่านวางใจ!”

พ่อต้วนยังคงไอไม่หยุด เพียงแต่ชัดเจนว่าการหายใจราบรื่นขึ้นมาก ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เย่จิงเหยียน

“หลักการของคุณคือ?” เขาหัวเราะ “คุณกล้ารับประกันไหมว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจ ไม่ทำให้เธอรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่นิดเดียว?”

เย่จิงเหยียนมองต้วนจื่ออิ๋งข้างๆอย่างลังเลใจ เธอน้ำตาคลอเบ้า หน้าตาน่าสงสาร ส่ายหัว “ฉันไม่กล้ารับประกัน”

“งั้นคุณเอาความมั่นใจที่ไหนมาพูดสิ่งเหล่านี้?” พ่อต้วนคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบกลับตนเองเช่นนี้ ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ

“แต่ฉันจะพยายามไม่ทำให้เธอเสียใจ”

ต้วนจื่ออิ๋งรู้สึกประทับใจอย่างมาก โอบเอวเย่จิงเหยียนด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ผ่อนคลายลงมา ปล่อยให้เธอกอดตนเอง

พ่อต้วนเห็นลูกสาวของตนอาลัยอาวรณ์เย่จิงเหยียนขนาดนี้ ฉับพลันในใจก็ยิ่งอ่อนแรง ลูกสาวกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมอย่างไร้ค่าเช่นนี้ ถึงที่สุดแล้วมันไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ? ในเมื่อชอบไปแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกให้เธอทำลายรากเหง้าความรักนั้น

เขาจับมือแม่ต้วนลุกขึ้นมา “พักเรื่องการแต่งงานไว้ก่อน อย่างน้อยพ่อแม่ของคุณก็ควรมาเจอหน้าพวกเรานะ”

“นั่นเป็นสิ่งที่สมควร” เย่จิงเหยียนพยักหน้าสนับสนุน “ฉันแจ้งพสกเขาให้ทราบแล้ว อีกสองวันก็น่าจะได้เจอ”

ได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ ท้านที่สุดสีหน้าของพ่อต้วนก็ไม่ลำบากใจอีกแล้ว เดินประคองโต๊ะอาหารอย่างสั่นเทาไปทางห้องนอน พอมาถึงข้างๆเขา จึงพูดเบาๆหนึ่งประโยคว่า “คุณทำตัวเองให้ดีๆเถอะ”

อีกด้านหนึ่ง ในห้องของต้วนอีเหยา ไป๋จิ่นอี้ยุ่งอยู่กับการชงน้ำตาลทรายแดงให้เธอ

ต้วนอีเหยานอนอยู่บนโซฟา คลุมร่างด้วยผ้าห่มหนาๆ ทว่าหน้าผากกลับมีเหงื่อออกตลอด

ไป๋จิ่นอี้เดินไปตรงหน้าเธอหลายรอบ สุดท้ายก็นำน้ำน้ำตาลทรายแดงวางไว้ในมือของเธอ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “อีเหยา คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ยังไหว” ต้วนอีเหยาอ้าปาก พูดสองคำออกมาอย่างสั่นเครือ

“ถ้าปวดมากจริงๆ ฉันก็จะพาคุณไปโรงพยาบาลนะ!” ไป๋จิ่นอี้ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ขมวดๆคิ้ว ราวกับว่าเขาก็ได้รับความทุกข์ทรมานเช่นกัน

ต้วนอีเหยาส่ายหัว “ฉันไม่เป็นไร ตอนบ่ายคุณมีสอนไม่ใช่หรอ? รีบไปเถอะ!”

ไป๋จิ่นอี้วางผ้าขนหนูในมือไว้ในกะละมัง “ฉันให้เพื่อนร่วมงานช่วยไปแล้ว คุณปวดมากขนาดนี้ ฉันจะจากไปอย่างวางใจได้อย่างไร”

ต้วนอีเหยายิ้มให้เขาอย่างอ่อนแรง ฉับพลันท้องของเธอก็กลับมาปวดจนเธอปวดอะไรไม่ออกสักคำ เวลานี้เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“คุณ……รับ……รับให้หน่อย” ต้วนอีเหยาพยายามที่จะลุกขึ้น โทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะ เธอยื่นมือออกไปไม่ถึง

“ฮัลโหล? ใครครับ?” ไป๋จิ่นอี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ

คนทางด้านนั้นได้ยินเสียงผู้ชาย ก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย จึงพูดว่า “ต้วนอีเหยาล่ะ?”

น้ำเสียงหนักแน่น รู้สึกได้ถึงความเข้มงวดเคร่งครัด คำตอบในใจของไป๋จิ่นอี้ลอยขึ้นมาเบาๆ ตอบกลับไปว่า “ครับคุณลุง ตอนนี้อีเหยาไม่สะดวกรับสาย”

“ไม่สะดวก?” น้ำเสียงของทหารต้วนเคร่งขรึมลงทันที “เธอทำอะไรอยู่ ฉันสั่งภายในสามวินาทีเธอจะต้องรับโทรศัพท์!”

“二”

ไป๋จิ่นอี้ได้ฟังก็ตกใจ รีบยื่นโทรศัพท์ไปที่หูของต้วนอีเหยาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด พูดอย่างเงียบๆว่า “พ่อของคุณ”

ต้วนอีเหยาเข้าใจในชั่วพริบตา “พ่อ?”

“คุณเป็นอะไรถึงรับโทรศัพท์ไม่ได้? ยืนขึ้นแสดงความเคารพ!”

“รับทราบ!”

ได้ยินคำสั่งของทหารต้วน ต้วนอีเหยาก็ลุกขึ้นมาจากโซฟา ทำวันทยาหัตถ์

“ให้คำตอบกับฉันเดี๋ยวนี้ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ทำอะไร!”

“ท่านผู้นำ ฉันไม่สบาย กำลังพักผ่อนอยู่!”

ทหารต้วนลำบากใจ “คุณไม่สบายหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่……ไม่เป็นไร” ต้วนอีเหยาไม่คุ้นชินเล็กน้อย เมื่อกี้ยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่นาน ถ้าร่างกายคุณดีแล้ว ก็กลับมานำทหารเถอะ”

“รับทราบ!”

ทหารต้วนได้ยินคำตอบเด็ดเช่นนี้ของเธอ รู้สึกทุกข์ในใจเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนลงโดยไม่ได้ตั้งใจ “คุณดูแลตัวเองให้ดีก่อน เรื่องฝึกอบรมไม่ต้องรีบร้อน”

ต้วนอีเหยาตอบรับ แล้วก็วางสายไป จึงรู้สึกได้ถึงร่างกายที่อ่อนแอไม่มีแรง ล้มลงบนโซฟา

“อีเหยา!” ไป๋จิ่นอี้สายตาเฉียบแหลม ยื่นมือไปดึงฉุดเธอ “คุณไหวไหม?”

ต้วนอีเหยาฝืนใจลืมตา พยักหน้ากับเขา จากนั้นก็หลุดออกจากมือเขา ล้มลงอยู่บนโซฟา

“ไม่ได้ ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล ท่าทางคุณนี้ดูอ่อนแอเหลือเกิน!” ไป๋จิ่นอี้อุ้มเธอขึ้นมา แล้วเดินตรงไปที่ลิฟท์

ตลอดทางการจราจรปลอดโปร่ง รถจอดที่โรงพยาบาล ไป๋จิ่นอี้ก็อุ้มต้วนอีเหยาลงจากรถอีกครั้ง

“เดี๋ยว คุณวางฉันลงก่อน!” ต้วนอีเหยาเห็นว่าเขาจะอุ้มตนเองไปที่ลิฟท์ ก็รีบห้ามปราม

ถึงแม้ว่าไป๋จิ่นอี้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ก็ยังหยุดลงอย่างเชื่อฟัง เห็นสีหน้าสงสัยของเขา ต้วนอีเหยาก็พูดไม่ออกเล็กน้อย “คุณไม่เคยมาโรงพยาบาลใช่ไหม?”

“ทำไมหรอ?” ไป๋จิ่นอี้ลูบๆหัว เขาไม่เคยมาโรงพยาบาลจริงๆ ตั้งแต่เด็กจนโตเจ็บป่วยก็มีหมอเฉพาะทาง พ่อกับคุณลุงในโรงเรียนแพทย์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สบายก็อยู่รักษาที่บ้าน

ต้วนอีเหยาหัวเราะ “มาโรงพยาบาลก็ต้องกดบัตรคิวก่อน!”

“หรอ?”

ไป๋จิ่นอี้มองตามสายตาของต้วนอีเหยา ในล็อบบี้โรงพยาบาลมีแถวต่อกันยาวเหยียด “เช่นนี้จะตรวจอาการยังไง? รอให้ถึงคิวพวกเรา อีเหยาเกรงว่าคุณจะไม่ไหวแล้วนะสิ!”

“ระบบของโรงพยาบาลก็เป็นเช่นนี้แหละ คุณไปก่อนเถอะ ฉันทนไหว”

ต้วนอีเหยาใช้มือกำขอบประตูแน่น พยายามไม่ให้ตนเองหมดแรงล้มลงไป คนก็เข้าๆออกๆประตูลิฟท์ ชนเธอโอนไปเอนมา ไป๋จิ่นอี้ก็เป็นห่วงเธอเล็กน้อย

เขาหันไปรอบๆ แล้วอุ้มต้วนอีเหยาขึ้นมา “คุณนั่งอยู่ที่นี่ก่อน”

เก้าอี้เหล็กเย็นเฉียบทำให้เขาคิ้วขมวด ลังเลสักพัก ก็ถอดเสื้อมาปูด้านบนให้

“คุณรออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา”

ต้วนอีเหยากุมท้อง ยิ้มอย่างยากลำบากให้เขา “ไปเถอะ”

ไป๋จิ่นอี้เดินไปที่แถวกดบัตรคิว เวลาที่พูดสองประโยคนั้น แถวก็ต่อไปถึงนอกประตูแล้ว เขาขมวดคิ้วเดินตรงไปจนสุดทาง แล้วจู่ๆก็มีคนมาแย่งต่อด้านหน้าเขาสองสามคน

คนในแถวก็หัวเราะเล่นกันอย่างสนุกสนาน มองไม่เห็นความหวังเลย ไป๋จิ่นอี้มองไปที่ที่ต้วนอีเหยานั่งอยู่ทุกๆสองสามนาที กลัวว่าเธอจะเป็นลมอยู่บนเก้าอี้

ถึงแม้ว่าจะมีเสื้อปูรองอยู่หนึ่งชั้น แต่ความเย็นของเหล็กก็ยังไม่หยุดทะลุเข้าไปในร่างกายของเธอ

ต้วนอีเหยาสะลึมสะลือ เธอนอนอยู่บนที่เท้าแขน ขดตัวจนเป็นวงกลม เวลานี้ ฉับพลันก็มีเสียงดังเอะอะที่นอกประตู รถพยาบาลคันหนึ่งหยุดที่หน้าประตูใหญ่

จากนั้นเปลหามก็ถูกยกลง ต้วนอีเหยาพยายามลืมตาขึ้นและมองไปที่ฝูงชน ฉับพลันก็ก้มหน้าลง

ไม่รู้ว่าเธอตาลายหรือปล่า เธอเห็นเย่จิงเหยียนอยู่ในฝูงชน คนเข็นเตียงผู้ป่วย ไปยังทิศทางของห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว

เขามาได้อย่างไร? ข้างกายยังคงเป็นผู้หญิงคนนั้น……

เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว รวมทั้งต้วนจื่ออิ๋ง แม่ต้วนด้วยถูกขวางอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เขายืนพิงหน้าต่าง แล้วจุดบุหรี่หนึ่งมวนใส่ปาก

ด้านหลังเป็นเสียงร้องไห้ของต้วนจื่ออิ๋งกับแม่ต้วน ต้วนจื่ออิ๋งสะอึกสะอื้นอยู่บนเก้าอี้ “พ่อเป็นอะไร? ทำไมจู่ๆถึง……ถึงหมดสติไป……”

แม่ต้วนร้องไห้ เพื่อปลอบโยนลูกสาวก็ยังคงอดกลั้นอธิบายให้เธอฟัง “พ่อคุณเป็นความดันโลหิตสูง หากไม่ระวัง บางที่ความโกรธที่อัดอั้นในใจก็สามารถทำให้……”

“ไม่ใช่……ไม่ใช่ว่าพูดกันดีแล้วหรอ? เขายังโกรธอะไรอีก!”

……

เย่จิงเหยียนรู้สึกหงุดหงิด เลยถือโอกาสทิ้งก้นบุหรี่แล้วพูดหนึ่งประโยค “ฉันจะไปห้องน้ำหน่อย”

ต้วนอีเหยาปวดท้องจนยากที่จะทน เลือดส่วนล่างก็ไหลรินออกมา โดยสัญชาติญาณหากเธอไม่ไปห้องน้ำจะต้องล้นออกมาแน่ๆ

เธอโบกมือบอกต้วนอีเหยา พยุงตนเองจับกำแพงเดินไปห้องน้ำ ด้านหลังเธอคือเย่จิงเหยียนที่สูบบุหรี่เสร็จพอดี ทั้งสองคนเปิดประตูสองบานที่ตรงข้ามกัน

ต้วนอีเหยาจัดการเสร็จก็หันหลังเดินออกไป เย่จิงเหยียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำชาย ล้างมืออยู่ที่อ่าง จู่ๆก็เงยหน้าขึ้น ร่างด้านหลังที่คุ้นเคยผ่านไปต่อหน้าต่อตา เขารีบปิดก๊อกน้ำและออกไปหา ทว่าก็ไม่พบเงาของต้วนอีเหยาแล้ว

เขาส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่น จะแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว เขายังปล่อยวางเธอไม่ได้ ความห่วงใยของพ่อต้วนก็เป็นข้ออ้างได้เสมอ

เมื่อกี้นี้เขาถามเขาว่า : ทำให้เธอไม่เสียใจได้ไหม เขาจนปัญญาที่จะรับปาก เพราะว่าเขาไม่ได้รักเธอ ดังนั้นหลายๆเรื่องที่สะเพร่า ทำให้จิตใจไม่อยู่กับตัว เช่นนี้มันง่ายมากที่จะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเธอ ทำให้เธอเศร้าเสียใจ

เงาของคนคนนั้น เห็นได้ชัดว่าจะเป็นอีเหยาไปไม่ได้ ทว่าเขายังดันทุรังออกมาตามหา

“อีเหยา คุณไปไหนมา?” บนศีรษะของไป๋จิ่นอี้มีเหงื่อซึมออกมา เห็นต้วนอีเหยาเดินเข้ามาจากในทางเดิน ก็รีบเข้าไปประคองเธอ

ต้วนอีเหยายิ้มอย่างไม่ทีแรง “ไปเข้าห้องน้ำ กดบัตรคิวแล้วหรือยัง?”

“กดเรียบร้อยแล้ว อยู่ชั้นสาม”

ต้วนอีเหยาพยักหน้า เลื่อนมือของเขาออกฝืนใจยืนให้มั่นคง “งั้นพวกเราขึ้นไปกันก่อนเถอะ”

ไป๋จิ่นอี้ประคองต้วนอีเหยาเดินเข้าแผนกสูตินรี คนโดยรอบมองด้วยสายตาแปลกๆ เข้าก็ไม่สบายใจเล็กน้อย คลึงๆจมูก ใบหน้าแดงระเรื่อ

“ฉันเข้าไปเองได้”

ต้วนอีเหยามองออกถึงความอึดอัดใจของเขา เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งน่าจะยังไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงปล่อยมือของไป๋จิ่นอี้ ต้องการเดินเข้าไปคนเดียว

แต่ไป๋จิ่นอี้เข้าไปประจันหน้าทันที “ฉันจะเข้าไปด้วยกันกับคุณ” ถึงแม้ว่าเขาจะเขินอาย แต่ต้วนอีเหยาเป็นคนที่เขารัก จะให้เธอเผชิญหน้ากับโรงพยาบาลที่เย็นเยือกนี้เพียงคนเดียวได้ยังไง

“อย่าเลี่ยน ต้องการตรวจก็เข้ามา ไม่ตรวจก็ออกไป!” หมอผู้หญิงที่อยู่ด้านในรออย่างหงุดหงิด มองไปยังพวกเขาแล้วตำหนิคำหนึ่ง

เดิมทีสีหน้าไป๋จิ่นอี้ก็กลับมาเป็นปกติ ก็แดงไปถึงคอทันที ก้มหน้ารีบเดินเข้าไป

“คุณหมอ เธอเป็นยังไงบ้าง?”

เห็นหมอผู้หญิงตรวจอยู่นาน ถามไปกี่คำก็เงียบไม่ตอบ ไป๋จิ่นอี้เลยอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้

“คุณเป็นแฟนประสาอะไรเนี่ย?” หมอผู้หญิงขมวดคิ้ว ” ช่วงมีประจำเดือนไม่ควรทานของเย็นและแข็ง นี่ คุณเอาไปจ่ายเงิน”

ไป๋จิ่นอี้นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นึกถึงคืนวันก่อนเขาและต้วนอีเหยาทานข้าว ดื่มไวน์แดงทานซูชิ รวมถึงของหวานหลังอาหารก็เป็นไอศครีม เป็นเขาที่สะเพร่า…….

ห้องฉุกเฉิน

การช่วยชีวิตผ่านไปแล้วสามชั่วโมง ไฟด้านบนของห้องฉุกเฉินก็ดัง “พรึบ” ดับลงแล้ว ต้วนจื่ออิ๋งและแม่ต้วนที่กำลังเช็ดน้ำตารีบลุดขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที ไปรายล้อมอยู่ที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ไม่นาน เตียงผู้ป่วยก็ถูกเข็นออกมาจากด้านใน

“พ่อ!” ต้วนจื่ออิ๋งเพียงเห็นพ่อที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

แม่ต้วนโซซัดโซเซเล็กน้อย เกือบจะล้มลงบนพื้น ถูกเย่จิงเหยียนที่อยู่ด้านหลังยื่นมือมาดึงไว้ รอให้เธอยืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงปล่อย

เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วเดินไปขวางหมอที่รักษา “คุณลุงต้วนเป็นอะไรครับ?”

หมอดึงผ้าปิดปากออกเล็กน้อย ถอนหายใจ “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ถ้าโมโหอีกล่ะก็ กลัวว่าจะไม่โชคดีแบบนี้อีก”

เย่จิงเหยียนคิดไตร่ตรอง “ขอบคุณครับคุณหมอ”

เตียงผู้แวยเคลื่อนย้ายไปยังห้องวีไอพี ต้วนจื่ออิ๋งนั่งร้องไห้สะอื้นอยู่ที่เตียงของพ่อ แม่ต้วนใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าผากของพ่อต้วน เหลือเพียงเย่จิงเหยียนที่ยืนอยู่หน้าประตู คล้ายกับไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องแสงระเรื่อเข้ามาในห้องผู้ป่วย ส่องตาของพ่อต้วน มุมตาของเขาขยับๆ ดึงดูดให้ต้วนจื่ออิ๋งเข้าไปใกล้

“พ่อ?”

พ่อต้วนสะบึมสะบือได้ยินใครบางคนเรียกเขา พยายามลืมตา แสงอาทิตย์ที่แยงตาส่องเข้าไปในดวงตาของเขาทันที ทำให้เขาหรี่ตาเล็กน้อย

“จื่ออิ๋ง…….”

“ฉันเองฉันเอง!”

ต้วนจื่ออิ๋งร้องไห้ด้วยควาทยินดี รีบคว้าแขนของพ่อต้วน แม่ต้วนยืนปลื้มอกปลื้มใจอยู่ด้านหลังพวกเขา แอบๆเช็ดน้ำตา

และเย่จิงเหยียนที่ใส่ใจ แสงจากนอกหน้าต่าง เดินเข้าไปดึงผ้าม่านเงียบๆ

การกระทำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขา ดึงดูดสายตาคนทั้งสามให้หันมามองเขาพร้อมกัน พ่อต้วนที่เดิมทีไม่ได้ใยดีอะไรเย่จิงเหยียน แต่เห็นการกระทำที่ละเอียดรอบคอบของเขาแล้ว ก็มีท่าทีที่ดีกับเขาขึ้นมาเล็กน้อย

“พ่อหนุ่มเย่ คุณเข้ามานี่” พ่อต้วนกวักมือเรียกเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง

เย่จิงเหยียนได้ยินก็เดินเข้าไป ต้วนจื่ออิ๋งหลีกที่นั่งให้ทีหนึ่ง ให้เขานั่งข้างๆตนเอง

“คุณลุง?”

พ่อต้วนดึงมือของเขา ตบเบาๆบนหลังมือของเขา “ฉันยกจื่ออิ๋งให้คุณ คุณ……คุณต้องดูแลเธอให้ดี!”

เย่จิงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น หยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากอย่างจริงจังว่า “คุณลุงคุณวางใจได้”

คนที่เขารักจากไปแล้ว หัวใจก็ตายตามไปด้วย ตอนนี้จะรู้สึกกับใครก็คงเหมือนกัน ในเมื่อเขาทำร้ายต้วนจื่ออิ๋ง งั้นเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อเธอ!

พ่อต้วนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วจูงอีกมือหนึ่งของต้วนจื่ออิ๋งขึ้นมา กุมมือของพวกเขาสองคนแน่น เขาเป็นพ่อคนหนึ่ง เขาก็หวังว่าลูกสาวของตนเองจะโชคดีกว่าใครๆ

อาการป่วยของพ่อต้วนจำเป็นต้องพักผ่อนให้ดีๆ และสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลก็ทำให้คนอึดอัด ด้วยเหตุนี้ พ่อต้วนจึงเอ่ยปากว่าต้องการกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เข้าโรวพยาบาลมาเป็นวันที่สาม ก็ให้เย่จิงเหยียนมารับเขากลับบ้าน

“คุณลุง คุณพักผ่อนก่อน ฉันจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง” หลังจากนำพ่อต้วนมาส่งถึงบ้านแล้ว เย่จิงเหยียนยืนอยู่หน้าประตู แต่ไม่ได้เข้าไป

ต้วนจื่ออิ๋งออกมา โอบกอดเย่จิงเหยียน “พี่จิงเหยียน คุณจะไปไหน?”

“สนามบิน พ่อแม่ฉันมาถึงวันนี้”

พูดพลาง เขาก็มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ “สิบโมงแล้ว ฉันต้องรีบไปแล้ว”

ต้วนจื่ออิ๋งเพียงได้ยินว่าเขาจะไปรับพ่อแม่สามีในอนาคต ก็ปล่อยเอวของเขาทันที กำชับสั่งอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “งั้นคุณก็กลับมาให้เร็วหน่อย ต้องมาหาฉันนะ!”

เย่จิงเหยียนพยักหน้า กล่าวลาพ่อต้วนแม่ต้วนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกว่า “ลาคุณป้า ฉันต้องออกไปก่อน”

แม่ต้วนยิ้มกับเขาเล็กน้อย หันไปยังพ่อต้วน แต่เพียงเห็นเขาพยักหน้าด้วยท่าทีที่จริงจัง อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ตาเฒ่าต้วนนี่ ในใจชัดเจนว่ามีความสุขอย่างมาก แต่ก็ต้องฝืนแสดงสีหน้าให้เขา

เย่จิงเหยียนไม่คิดเล็กคิดน้อย ออกไปด้วยท่าทีอ่อนโยน

สนามบิน รถของเย่จิงเหยียนเพิ่งขับเข้าไป ผู้หญิงเดรสสีขาวคนหนึ่งก็มาขวางรถของเขาไว้

“พี่ใหญ่ ทำไมคุณเพิ่งมา พวกเรายืนอยู่พักหนึ่งแล้ว!” เย่ชูวเสวียเปิดประตูข้างคนขับ เข้าไปนั่งพลางบ่นไปพลาง

“มีเรื่องให้เสียเวลานิดหน่อย”

เย่จิงเหยียนหรี่ตามอง เห็นเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยเดินจับมือควงแขนกันเดินเข้ามาที่รถจากไกลๆ รีบลงจากรถแล้วไปช่วย

“จิงเหยียน ตกลงเกิดอะไรขึ้น? ในโทรศัพท์คุณบอกว่าจะแต่งงาน? ทำไมจู่ๆจะแต่งงาน?” มู่เวยเวยยังเดินมาไม่ถึงตรงหน้าลูกชาย ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ

เย่จิงเหยียนรับกระเป๋าบนมือของมู่เวยเวย จูงมือของเขาอย่างเป็นปกติ “ฉันก็ไม่เด็กแล้ว ควรจะแต่งงานแล้ว”

“ฉันรู้เหตุผลนี้ แต่กะทันหันแบบนี้ เธอเป็นผู้หญิงยังไง พวกคุณยังไม่รู้จักซึ่งกันและกัน แล้วก็…..พวกคุณยังไม่ได้เตรียมพร้อมให้ดี…….”

เย่จิงเหยียนตบเบาๆที่ข้อมือของมู่เวยเวย ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ทำไมคุณกังวลกว่าฉันอีกล่ะ วางใจเถอะ รออีกสักครู่ก็จะได้พบเธอแล้ว!”

มู่เวยเวยหันกลับไปมองเย่ฉ่าวเฉินอย่างกังวลใจ เห็นเขาส่ายหน้ากับตนเอง ก็เลยเงียบปาก

ขึ้นรถ เย่ชูว้สวียถามเสียงจ๊อกแจ๊กมาโดยตลอด เย่จิงเหยียนติบกลับเป็นครั้งคราวหนึ่งถึงสองประโยค มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินก็มีเรื่องที่เก็บอยู่ในใจ แต่ล้วนขี้เกียจจะเอ่ยปาก

“พี่ใหญ่ ทำไมคุณถึงแต่งงานกับต้วนจื่ออิ๋ง? คุณชอบพี่อีเหยาไม่ใช่หรอ?”

เอ่ยถึงต้วนอีเหยา เย่จิงเหยียนก็ยิ้มเจื่อนๆ ชอบหรอ? แล้วยังไงล่ะ จะมีคู่รักสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่ในที่สุดแล้วได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เขากับอีเหยาเหมือนหยินหยางที่แยกจากกันแล้ว เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่?”

เย่ชูวเสวียเรียกคิดต่อกันสองคำ เย่จิงเหยียนดึงสติกลับมา เท้าเหยียบเบรกรถ ทั้งสี่คนพุ่งไปข้างหน้าเนื่องจากความเฉื่อย

รอหลังจากพวกเขามั่นคงดีแล้ว ก็เห็นเพียงรถยนต์คันสีขาวเงินคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้า เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วลงจากรถ เดินไปถึงด้านตรงข้าม ยื่นมือไปเคาะที่กระจกหน้าต่างสามครั้ง

ไป๋จิ่นอี้คลำๆข้อมือ เลื่อนกระจกลง เย่จิงเหยียนมองเขา กล่าวถามว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม คุณผู้ชาย?”

“อ่า?” ไป๋จิ่นอี้หันมามองเขาอย่างงุนงง Rolls-Royceคันสีดำจอดอยู่ตรงข้าม ทำให้เข้าทั้งหมด “อ่า! ต้องขอโทษด้วย ฉัน………”

“คือฉันใจลอย”

เมื่อเขากำลังจะเตรียมกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ เย่จิงเหยียนก็ชิงตัดหน้าพูดไปเสียก่อน เพียงเหลือบไปเห็นด้านหน้าของรถที่ถูกกระแทกจนไม่เป็นทรง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เย่จิงเหยาหยิบนามบัตรจากในกระเป๋าเสื้อใบหนึ่งมอบให้ไป๋จิ่นอี้ “นี่คือนามบัตรของฉัน ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันได้เลย”

“ไม่ต้องหรอกๆ!” ไป๋จิ่นอี้รีบโบกไม้โบกมือ แต่เย่ฉ่าวไม่รอให้เขาปฏิเสธ เอื้อมมือนำนามบัตรไปวงบนคอนโซลรถโดนตรง

พอไป๋จิ่นอี้ได้สติกลับมา เขาก็กลับไปถึงในรถแล้ว หลังจากสองสามนาที รถก็เริ่มสตาร์ท ขับผ่านจากด้านข้างเขาไป เขายิ้มๆอย่างจนปัญญา ลองสตาร์ทรถ บนใบหน้ายิ้มอย่างโล่งใจ ยังใช้ได้……..

เมื่อกี้นัดต้วนอีเหยาเตรียมจะไปทานข้าว ถ้าติดอยู่บนท้องถนน จะต้องพลาดนัดอย่างแน่นอน โชคดี ที่พระเจ้าไม่ได้ใจร้ายกับเขา รถถูกชนแบบนี้ก็ยังขับได้

หันความคิดกลับมา เขาก็เห็นร้านขายดอกไม้ที่อยู่ข้างหน้าแล้ว ต้วนอีเหยานั่งอยู่ในลานบ้านจัดดอกไม้ที่ไม่เหมือนกันให้เป็นระเบียบ รอยยิ้มในสายตาก็ยิ่งอบอุ่น

ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงรถเบรก ก็เงยหน้าไปมอง หน้ารถคันสีขาวเงินเว้าเข้าไปเป็นรอยใหญ่ เห็นไป๋จิ่นอี้ลงมาจากในรถอย่างสบายใจ เธอก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

“เมื่อกี้ชนเล็กน้อย ไม่มีอะไรร้ายแรง” ไป๋จิ่นอี้ยักไหล่อย่างสบายๆ แล้วเดินไปข้างๆเธอ “คุณทำอะไรอยู่?”

“แยกชนิดพวกมันหน่อย อีกสักครู่จะมีคนมารับ” ต้วนอีเหยายังคงไม่วางใจ มองเขาอยู่หลายรอบ พบว่าร่างกายของเขาไม่มีการบาดเจ็บอะไรจึงค่อยๆวางก้อนหินที่อยู่ในใจลง

ไป๋จิ่นอี้มองนาฬิกาข้อมือ “ตอนนี้ยังห่างจากเวลานัดอีกครึ่งชั่วโมงกว่า ถ้ารีบล่ะก็ฉันจะช่วย”

เขานั่งยองๆลง เลือกซ้ายเก็บขวา สีหน้าที่สับสนก็ปรากฎขึ้นมา ต้วนอีเหยารู้สึกว่าน่าหัวเราะ ชี้ดอกไม้ในมือของเขาแล้วพูดว่า “ฟอร์เก็ตมีน็อตใช้เพียงตกแต่ง คุณเอามาเยอะเกินไปแล้ว”

ไป๋จิ่นอี้วางลงเล็กน้อย แล้วก็หยิบดอกไม้อีกอันขึ้นมา ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะตัดบทเขาจริงๆ “ดอกไม้ดอกนั้นขัดกันกับในมือของคุณ ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้”

หลังจากพูดจบ ต้วนอีเหยาก็ลุกขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ปัดมือเบาๆแล้วพูดว่า “อันนี้ไม่รีบร้อน ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยกลับมาจัดการก็ยังทัน”

แต่ไป๋จิ่นอี้ให้ความสนใจกับดอกไม้ที่เต็มพื้นที่นี้ “คุณสมบัติและชื่อดอกไม้เหล่านี้คุณสามารถจำได้หมดเลยหรอ?”

“ก็ส่วนใหญ่นะ” ต้วนอีเหยาลูบคออย่างใจลอย ตรงหน้าก็มืด ไป๋จิ่นอี้ก็ยืนขึ้นมาแล้ว

ในมือเขาหยิบดอกการ์ดิเนียสีขาวดอกหนึ่ง ค่อยๆกลัดเบาๆที่บนหูของต้วนอีเหยา กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้สดชื่น ต้วนอีเหยาตกตะลึงไปชั่วพริบตา ลมหายใจที่ข้างหูทำให้เธอสั่นสะท้าน

ไป๋จิ่นอี้เข้าใกล้ข้างหูของเธอ บอกกับเธอว่า: ฉันรักคุณ…….

ถ้าเธอจำไม่ผิดล่ะก็ ความหมายของดอกการ์ดิเนียคือ……ความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์

ในใจต้วนอีเหยาสั่น ตามความเป็นจริง เธออยู่ด้วยกันกับไป๋จิ่นอี้แล้ว แต่พวกเขาไม่เคยพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประเด็นนี้ ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใดก็ตาม พวกเขา…….หลีกเลี่ยงการพูดถึงความรักโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำลายสมดุลนี้ไปแล้ว

ต้วนอีเหยายื่นมือจะไปดึงดอกไม้ แต่ถูกไป๋จิ่นอี้จับมือเอาไว้ “อย่าดึง รับปากฉัน…….”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

Status: Ongoing

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท