วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – บทที่ 357 ความดีงามชั่วนิรันดร์

บทที่ 357 ความดีงามชั่วนิรันดร์

……

วันรุ่งขึ้น ต้วนอีเหยางัวเงียตื่นขึ้นมาและทำท่าบิดขี้เกียจ แต่กลับถูกใครบางคนคว้ามือเอาไว้ เมื่อเธอหันไปมอง ก็ได้สบเข้ากับดวงตาที่อ่อนโยนของเย่จิงเหยียน

“ตื่นแล้วเหรอ?”

ทันทีที่ต้วนอีเหยาลุกขึ้นจากที่นอน ขาของเธอก็อ่อนยวบจนเกือบจะล้มลงกับพื้น สุดท้ายเธอต้องพยุงตัวไว้กับเตียงจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ได้

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเย่จิงเหยียนกำลังจ้องมองมาอยู่ เธอก็ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “มันเป็นความผิดของคุณนั่นแหละ!”

“ใช่ ๆ ๆ เป็นความผิดของผมเอง” เย่จิงเหยียนรีบยกมือขึ้นยอมรับผิด “ผมอยากกินแซนวิชแล้วซี”

แม้ว่าต้วนอีเหยาจะไม่เต็มใจ แต่เธอก็ไปที่ห้องครัวเพื่อทําแซนวิชให้เขาแต่โดยดี เพียงแต่ท่าทางการเดินของเธอนั้นดูจะแปลกไปมาก

หลังอาหารเช้า ต้วนอีเหยาได้รับโทรศัพท์จากนายทหารต้วน เธอกดปุ่มรับสายอย่างงุนงง “ฮัลโหล คุณพ่อ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“ที่เคยบอกให้มาฝึกก่อนหน้านี้น่ะ เข้ามาบ่ายนี้เลยก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ!” ต้วนอีเหยาเหลือบมองไปที่เย่จิงเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ เธออ้าปากแต่กลับไม่พูดอะไรออกมา

ถ้าคุณพ่อรู้ว่าเธออยู่กับเย่จิงเหยียนอีก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้คงได้แต่ปิดบังไว้ก่อน

“มีอะไรเหรอ? ต้องไปที่กองทัพเหรอ?” เย่จิงเหยียนรอจนเธอวางสายไปแล้วจึงรีบถามขึ้นทันที

“ใช่ค่ะ ต้องไปบ่ายนี้เลย”

“เร็วขนาดนั้นเชียว……”

เย่จิงเหยียนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง นี่หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกันสักพักเลยใช่ไหม?

พวกเขาเพิ่งจะกลับมาคืนดีกัน ก็ต้องแยกจากกันอีกแล้วเหรอ?

เสียงที่ดังมาจากด้านหลังหยุดลง ต้วนอีเหยาหยุดการเคลื่อนไหวของเธอ “ฉันไปแค่ไม่กี่วันก็จะกลับมาค่ะ”

“จริงนะ?” ดวงตาของเย่จิงเหยียนเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคุณอยู่ที่นี่!”

“ไม่จําเป็น คุณกลับไปเถอะค่ะ ที่นี่ไม่มีใครคอยดูแลคุณ”

“แต่ ผมกลัวว่าเมื่อคุณกลับมาแล้วจะไม่เห็นผม……”

“ฉันจะโทรหาคุณทันทีที่ฉันกลับมา” ต้วนอีเหยาถอนหายใจ ช่วงนี้ดูเหมือนเขาจะดูไม่ค่อยพอใจเป็นพิเศษ

เย่จิงเหยียนยังมีข้อสงสัยบางอย่าง แต่รู้ดีว่าไม่สามารถรั้งให้เธออยู่ต่อได้ ดังนั้นเขาจึงนั่งคนเดียวอยู่บนโซฟาครุ่นคิดถึงช่วงเวลาที่เธอจะจากไป ตัวเขาเองก็จะไปจัดการเรื่องระหว่างเขากับต้วนจื่ออิ๋ง

……

ในตอนบ่าย ต้วนอีเหยาได้มาถึงเขตทหาร ส่วนใหญ่กำลังเริ่มฝึกซ้อมกันแล้ว เธอเดินผ่านขบวนกองทหารราบที่กำลังเดินแถวตรงไปสิบกว่าแถว และตรงเข้าไปยังกองพันบัญชาการทหาร

นายทหารต้วนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้กำลังสั่งการนายทหารหลายคนที่อยู่ตรงหน้า

“ทหารราบควรใช้เวลาฝึกซ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนเครื่องบิน รถถัง นั้นมีเสียงดังรบกวนประชาชน ก็เน้นฝึกช่วงกลางวัน ตอนกลางคืนก็ไม่ต้องฝึกแล้ว……”

“รับทราบ!”

นายทหารทั้งสามทำความเคารพเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อพวกเขาหันหลังกลับก็พบกับต้วนอีเหยาที่เพิ่งเข้าประตูมา จึงทำความเคารพเธออย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง

เมื่อจัดเก็บเอกสารเสร็จแล้วนายทหารต้วนก็เงยหน้าขึ้น และเห็นต้วนอีเหยากําลังเดินเข้ามาหาเขา รอยย่นบนใบหน้าก็กองรวมกัน “มาแล้วเหรอ!”

ต้วนอีเหยาทําความเคารพแบบทหารอย่างเคร่งครัด “เรียกหนูให้มาพบทำไมกันคะ?”

“กองทัพกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกทหารราบ จนเราไม่สามารถหาผู้บัญชาการทหารอากาศได้ ดังนั้นจึงให้ลูกมาเป็นเฉพาะหน้าไปก่อน”

ต้วนอีเหยาลูบจมูกของเธอ ให้เธอมาเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศเนี่ยนะ พ่อของเธอก็ช่างประเมินเธอสูงซะเหลือเกิน แม้ว่าเธอจะขับเครื่องบินได้ แต่ว่านี่เป็นถึงการสวนสนามของเหล่าทหาร……

“ไม่ต้องกังวล เรามีเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคโดยเฉพาะ ลูกแค่ต้องรับผิดชอบดูแลทีมเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าหนูไม่จำเป็นต้องสอนวิธีขับให้พวกเขา?”

นายทหารต้วนหัวเราะเบา ๆ และคิดว่าคําถามของลูกสาวช่างน่าสนใจ “ด้วยทักษะไก่กาของลูก ยังกล้าที่จะเข้าไปร่วมในการสวนสนามของทหารด้วยเหรอ?”

“นักบินของเราทุกคนต่างมีประสบการณ์การบินอย่างน้อยสิบปี!”

ต้วนอีเหยาก้มหน้าลงด้วยความน้อยใจ “ทักษะของหนูก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ”

เธอไม่เพียงแต่ขับเครื่องบินได้ไม่เลวเท่านั้น แต่ราวกับมีพรสวรรค์ สิ่งที่คนอื่นต้องเรียนรู้หลายเดือน สำหรับเธอกลับใช้เวลาเพียงสองสามวัน อีกทั้งยังขับได้อย่างราบรื่น ทั้งยังเคยได้รับการชื่นชมจากนักบินพิเศษอีกด้วย

“เอาล่ะ พ่อจะพาลูกไปสำรวจดูสนามบินของเรา” นายทหารต้วนลุกขึ้นและเดินนําหน้าต้วนอีเหยาไป

ณ สนามบิน มีเครื่องบินขนาดเล็กใหญ่จอดอยู่ทุกชนิด แม้ว่าต้วนอีเหยาจะเคยพบเห็นมาไม่น้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง เพราะเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบินที่ดีที่สุดในประเทศ……

“สวัสดีครับท่าน!”

มีคนทักทายพวกเขาตลอดทาง แต่สำหรับต้วนอีเหยาที่ห่างหายไปจากกองทัพเป็นเวลานาน กลับรู้สึกไม่ค่อยชิน

“หัวหน้าต้วน!”

ทันใดนั้นเสียงห้าวของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของต้วนอีเหยา เธอรู้สึกคุ้นหูเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ที่แท้ก็เป็นซ่วนวู่นี่เอง

ต้วนอีเหยาประหลาดใจ “นายได้รับมอบหมายให้มาที่นี่เหรอ?”

“ผมเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน เพื่อมาแทนเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บครับ” ซ่วนวู่เกาผมด้วยความเขินอาย

ต้วนอีเหยาอยู่กับพวกเขามานานที่สุด และก็เป็นคนที่รู้จักพวกเขาดีที่สุด จริงอยู่ที่ทักษะของเขาจะดีกว่าคนอื่น ๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนอีเหยา ฝีมือเขายังเรียกได้ว่าห่างชั้นนัก

ต้วนอีเหยาพยักหน้า “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ?”

“ทั้งหมดอยู่ในกองทหารราบครับ”

เมื่อเหล่าผู้ฝึกซ้อมเห็นหัวหน้าคนใหม่มาแต่ไกล ก็ค่อย ๆ เข้ามารวมพลกัน พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าหัวหน้าคนนี้จะเป็นคนยังไง เป็นแค่เพียงผู้หญิงแต่กลับเป็นผู้บัญชาการทหารได้

เมื่อเห็นว่าทุกคนมากันเกือบจะครบแล้ว นายทหารต้วนจึงแนะนำว่า “นี่คือต้วนอีเหยา ผู้บัญชาการทหารอากาศคนใหม่ของพวกคุณ นับจากนี้ไปพวกคุณต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเธอ!”

“รับทราบ!” เหล่าทหารอากาศตอบรับพร้อมเพรียงกัน

แต่ก็ยังมีบางคนที่พูดคุยแสดงความคิดเห็นกัน หูของต้วนอีเหยาไม่ค่อยดีนัก แต่ซ่วนวู่ที่อยู่ข้างเธอได้ชักสีหน้าแล้ว

“ผู้หญิงอย่างเธอ จะมีปัญญาทําอะไรได้?”

“นั่นน่ะสิ! พวกเราที่นี่ต่างมีประสบการณ์การบินมากกว่าสิบปี กลับให้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาเป็นคนคุม……”

“ส่วนผู้ชายที่อยู่ข้างเธอก็ยังมีทักษะไม่เพียงพอ เมื่อกี้ยังบินผิดทางอยู่เลย!”

……

ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่น่าฟังขึ้นเรื่อย ๆ ซ่วนวู่ขมวดคิ้วและลุกขึ้นยืน “พวกนายหยุดพูดได้แล้ว!”

เสียงพูดคุยหยุดลงทันที แต่คนหนึ่งในนั้นที่เป็นคนอารมณ์ร้อนก้าวขึ้นมาข้างหน้าและจ้องเขาพูดว่า “สิ่งที่พวกเราพูดถึงคือความจริง เรื่องอะไรพวกเราจะต้องยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาบงการ?”

เมื่อนายทหารต้วนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันก่อนหน้านี้ เพียงแต่เขารำคาญที่จะเข้าไปสนใจพวกเขา

ในเมื่อตอนนี้พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเองก็ต้องช่วยลูกสาวแก้ไขปัญหาเสียแล้ว

ขณะที่เขากําลังจะเอ่ยปากก็กลับถูกต้วนอีเหยาหยุดไว้เสียก่อน “แล้วพวกคุณต้องการให้ทำยังไงถึงจะยอมรับการบัญชาการจากฉันได้?”

“ก่อนจะพูดเรื่องอื่น คุณขับเครื่องบินเป็นหรือเปล่า?” คนที่พูดขึ้นก่อนคนนั้นทำสีหน้าเหยียดหยาม ไม่แม้แต่จะยอมมองเธอตรง ๆ ด้วยซ้ำ

ต้วนอีเหยาหัวเราะเบา ๆ “ในเมื่อคุณมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากขนาดนี้ ทำไมเราไม่ลองมาแข่งกันดูล่ะ?”

“ถ้าคุณแพ้ คุณต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน ถ้าฉันแพ้ ฉันจะจากไปทันที!”

“จะแข่งกับผม?” ชายคนนั้นทำราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องที่ตลกมาก “คุณรู้ไหมว่าผมอยู่กับเครื่องบินมานานแค่ไหนแล้ว?”

ต้วนอีเหยาส่ายหัว “ฉันไม่รู้หรอก ฉันแค่อยากถามว่าคุณจะแข่งหรือไม่?”

“แข่ง! แต่…… คุณต้องรักษาคำพูดด้วย อย่ามาแพ้แล้วยังปรากฏตัวบนสนามฝึกซ้อมต่อไปอย่างหน้าไม่อายก็แล้วกัน”

ต้วนอีเหยาขมวดผมขึ้นและมองไปที่เขา “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าคุณแพ้ก็ต้องให้พวกคนที่อยู่ข้างหลังยอมเชื่อฟังแต่โดยดี!”

“ผมรับประกัน!” ชายคนนั้นยกมุมปากขึ้นอย่างเหยียดหยามก่อนที่จะสวมหมวก

พวกเขาแต่ต่างเลือกเครื่องบินกันคนละลำและเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเครื่องบิน

ผู้คนที่มุงดูอยู่ด้านหลังก็อดไม่ได้ที่จะรวมตัวกันพูดคุยอีกครั้ง

“อาเทียนคุ้นเคยกับเครื่องบินตั้งแต่เด็ก ท่วงท่าการบินยาก ๆ เขาแทบจะทำได้สมบูรณ์แบบทั้งหมด แล้วเธอจะชนะเขาได้อย่างไรกัน!”

“อย่าว่าแต่อาเทียนเลย ฉันคิดว่าเธอไม่สามารถเอาชนะฉันได้ด้วยซ้ำ!”

“หยุดพูดได้แล้ว รอเปลี่ยนผู้บัญชาการคนใหม่เถอะ……”

……

ซ่วนวู่ไม่สามารถทนฟังต่อไปได้ เขาดึงตัวต้วนอีเหยาที่กําลังจะขึ้นเครื่องบินไว้ “หัวหน้า ให้ผมไปเถอะ อาการบาดเจ็บของคุณยังทันไม่หายดี……”

“ไม่เป็นไร ต่อให้นายชนะ พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับฉันจริง ๆ หรอก”

เมื่อพูดจบ เธอก็กระโดดขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ อาเทียนที่ยังคงตรวจสอบอยู่ก็ตะโกนขึ้นว่า “เฮ้ จะแข่งกันยังไง?”

“ถ้าจะแข่งที่ความเร็วคุณสู้ผมไม่ได้แน่ ผมเองก็จะชนะแบบไม่สมศักดิ์ศรี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชนะสองในสามเกม แบ่งออกเป็น ทักษะ ความเร็ว และการปฏิบัติ”

ต้วนอีเหยาผายมือออก “ฉันยังไงก็ได้”

“ด้านหน้าคือธงแดงที่พวกเราใช้ฝึกซ้อม ใครก็ตามที่ลอยอยู่เหนือธงนั้นได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ”

หลังจากฟังกติกาจนจบแล้วต้วนอีเหยาก็มุดตัวเข้าไปในเฮลิคอปเตอร์ เธอลองขยับคันบังคับเพื่อหามุมที่เหมาะสำหรับตัวเอง

เสียงปืนยิงขึ้นฟ้าดังขึ้น ต้วนอีเหยามองไปข้างหน้า มือของเธอควบคุมอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเหลือบไปมอง ก็พบว่าเครื่องบินของอาเทียนอยู่ห่างจากเธอเป็นช่วงตัว

ต้วนอีเหยาคิดไม่ถึงว่าเขาจะเร็วได้ขนาดนี้ นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเขาก็ไปห่างเธอมากแล้ว

เธอสูญเสียการควบคุมในมือ เธอคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องตามเขาให้ทัน! แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็ยังคงตามหลังอาเทียนอยู่

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปยังธงแดงนั้นไม่ไกล เมื่อเห็นว่าอาเทียนกำลังจะแตะธงแดงแล้ว เหงื่อเย็นที่หน้าผากของเธอก็ไหลออกมา

การเคลื่อนไหวในมือได้เร่งความเร็วขึ้นจนถึงขีดสุด แต่เพราะเธอตามหลังอยู่กว่าครึ่ง แม้จะเร่งเครื่องตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว

อาเทียนวนอยู่เหนือธงแดงอยู่สองรอบ ในที่สุดก็ลงจอดอย่างมั่นคง

เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ต้วนอีเหยา แต่ก็ไม่ได้หัวเราะเยาะเธอ เขาและเธอห่างกันอยู่เพียงไม่กี่วินาที สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็คู่ควรที่จะอวดได้แล้ว

“ฉันแพ้แล้ว” ต้วนอีเหยายอมรับอย่างจริงใจ ขณะนี้เธอรู้สึกดีใจมากที่ยังมีการแข่งอีกสองเกม ที่จะใช้โชว์ฝีมือให้ศัตรูที่ดูถูกอยู่ข้างหน้าได้เห็น

อาเทียนถอดเสื้อผ้าออกและเช็ดเหงื่อบนศีรษะให้สะอาด “ยังมีอีกเกม คุณอยากประลองอะไร?”

“ทักษะก็แล้วกัน”

ต้วนอีเหยายกขวดน้ำที่ดื่มแล้วขึ้นต่อหน้าเขา “เปิดมันด้วยอุปกรณ์เป็นไง?”

“ทําไมไม่เปิดฝาเบียร์ด้วยที่เปิดขวดล่ะ!” ใครบางคนในกลุ่มคนเสนอขึ้นมา

มีคนเห็นด้วยทันที “ใช่ ติดตั้งที่เปิดขวดไว้ที่หน้าเฮลิคอปเตอร์ ตัดสินกันที่ใครที่สามารถเปิดออกก่อนโดยไม่ทำให้ขวดเสียหาย!”

ต้วนอีเหยาก็รู้สึกว่าไม่เลว เธอพยักหน้าและถามอาเทียนว่า “คุณคิดว่าไง?” ”

“ได้” อาเทียนเช็ดใบหน้าของตัวเอง ทําให้ตัวเขามีสติขึ้นมาก

ทั้งสองแลกเปลี่ยนเฮลิคอปเตอร์ของอีกฝ่าย ภายในห้องนักบิน พวกเขาสบตากัน จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ลง

ผู้ชมภายนอกต่างพากันกลั้นหายใจ แม้ว่าพวกเขาเคยใช้เทคนิคแบบนี้แล้วก็ตาม แต่ก็มักจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจึงจะสามารถทําสำเร็จ

อาเทียนนั้นเป็นคนที่เร็วที่สุดในบรรดาพวกเขา เขาสามารถทำสำเร็จหนึ่งอันได้ภายในหนึ่งนาที แต่ตอนนี้มันเป็นการแข่งขัน ไม่รู้ว่าเขาจะสร้างสถิติใหม่ได้หรือไม่

เครื่องบินเริ่มทำงานและเสียงคำรามก็ดังขึ้น มีเพียงนายทหารต้วนและซ่วนวู่ที่ขมวดคิ้วด้วยความกังวล

จู่ ๆ หูของต้วนอีเหยาก็เจ็บ และก็กลับมาเป็นปกติ เธอส่ายหัว และจ้องไปที่ขวดเบียร์อย่างตั้งใจ

ที่เปิดขวดอันเล็กถูกแขวนไว้ที่ด้านหน้าของเฮลิคอปเตอร์ ค่อย ๆ เข้าใกล้ขวดอย่างช้า ๆ จิตใจของเธอสงบ และมุ่งความสนใจทั้งหมดของเธอไปที่ที่เปิดขวด

ใบพัดที่ลอยอยู่บนเครื่องบินส่งเสียงดังคำรามในหูของเธอ หัวของเธอปวดหนึบ แต่ก็ยังคงอดทนต่อความว้าวุ่นใจเอาไว้

“หัวหน้า สู้ ๆ !”

เสียงของซ่วนวู่ดังทะลุผ่านเสียงคำรามเข้ามาในหูของเธอ เธอจึงได้สติมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ปรับมุมอย่างระมัดระวัง และร่อนลงตรงปากขวดโดยตรง

มีเสียงดัง “ป๊อก” และฝาขวดก็เปิดออก ต้วนอีเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเดินออกจากห้องนักบินไป

ทุกคนมองเธอด้วยสายตาแห่งความชื่นชมและคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่จะนำพวกเขาได้

ฝาขวดของต้วนอีเหยาเพิ่งจะเปิดออก เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นฝาขวดของอาเทียนเปิดออกเช่นกัน ผู้ชมต่างระเบิดเสียงเชียร์ออกมา

ทั้งสองเดินลงมาจากเครื่องบิน สีหน้าของอาเทียนก็ดูเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขานิ่งเงียบไปนานก่อนที่จะพูดขึ้นในที่สุดว่า “ผมแพ้แล้ว”

พระเจ้ารู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยสามคำนี้ออกจากปากของเขา ในเกมแรกเขาชนะไปแบบไม่ค่อยสบายใจ ส่วนเกมนี้เขากลับแพ้ให้เธออย่างราบคาบ

สีหน้าของต้วนอีเหยาก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากไม่หยุด เธอรับกระดาษทิชชู่จากซ่วนวู่มาซับเหงื่อ

“เกมต่อไปคืออะไร?”

“ดวลการปฏิบัติ หมุนสามร้อยหกสิบองศากลางอากาศอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหมดแรง ผู้ชนะคือผู้ที่หมุนรอบได้จำนวนมากที่สุด!”

ต้วนอีเหยาขมวดคิ้วแน่น เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายหู การให้เธอบังคับเครื่องบินให้หมุน เกรงว่าคงจะแพ้แน่

แต่ตอนนี้มันยากที่จะลงจากหลังเสือ เธอก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตกลง!”

เสียงของเฮลิคอปเตอร์ยังคงดังกึกก้องอยู่ข้างหูของทุกคน พวกเขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองตามขณะที่มันลอยขึ้นไป ในที่สุดทั้งคู่ก็หยุดอยู่ที่ระดับความสูงเดียวกัน

ต้วนอีเหยาเป็นคนแรกที่เริ่มก่อน สถานการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยเอื้ออํานวยต่อเธอมากนัก ถ้าหากเธอไม่รีบให้เร็วกว่านี้ เกรงว่าอาจจะเป็นลมอยู่ในเครื่องบินก็เป็นได้

เมื่อพลิกลำไปได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศา ศีรษะของเธอก็เริ่มขมุกขมัว เธอกัดฟันไว้แน่น ริมฝีปากของเธอแดงก่ำ ความเจ็บปวดบังคับให้เธอมีสติ

ในที่สุดเธอก็หมุนได้หนึ่งรอบ มือของเธอไม่สามารถควบคุมอย่างดีต่อไปได้ แต่ความดื้อรั้นของเธอไม่อนุญาตให้เธอหยุด

เบื้องหน้าพร่ามัว เธอไม่รู้ว่าตัวเองหมุนไปกี่รอบแล้ว รู้เพียงแค่ว่าถ้ายังไม่หยุด เธออาจจะไม่รอดแน่

เธอเห็นโลกหมุนติ้วนอกหน้าต่าง ต้วนอีเหยาไม่สนใจมองแล้วว่าผู้คนยืนอยู่ตรงไหน เธอร่อนลงจอดบนพื้นทันที ผู้คนที่เฝ้าดูเธออยู่ด้านล่างต่างก็รีบแยกย้ายออกไปเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง

ต้วนอีเหยาเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ดวงตาของเธอมืดไป และล้มลงในอ้อมอกของนายทหารต้วน และมีเสียงหวีดหวิวดังอยู่ในหูของเธอ

เธอขมวดคิ้ว ประคองสติ และเงยหน้าขึ้นมองฝูงชนที่รายล้อมรอบเธอ

“ใครชนะ?” ต้วนอีเหยาตกอยู่ในภวังค์ แต่ก็ยังจําได้ว่านี่เป็นการแข่งขัน

นายทหารต้วนปัดผมที่ข้างหูเธอออกอย่างเอ็นดูสงสารและพูดว่า “เสมอกัน” ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความคิดแวบแรกของต้วนอีเหยาก็คือ มันจบแล้ว ไม่ได้มีการตกลงไว้ว่าหากผลเสมอกันควรทําอย่างไร? หรือจะต้องเพิ่มการแข่งอีกรอบ?

เธอประคองไหล่นายทหารต้วนเพื่อลุกขึ้นยืน ดวงตาพร่ามัวของเธอพยายามที่จะจับโฟกัส เธอมองหาอาเทียน “หรือพวกเราจะดวลกันอีกสักรอบ?”

“ไม่ต้อง”

อาเทียนเบือนหน้าหนี ก่อนจะพ่นคำสามคำออกมาด้วยความยากลําบาก “คุณชนะแล้ว……”

ศักดิ์ศรีไม่อนุญาตให้เขาโกง ผู้หญิงคนนี้สามารถทําคะแนนได้เท่ากับเขา เขาจึงไม่ยอมรับไม่ได้ว่าเธอคือผู้ชนะ

สําหรับผลลัพธ์นี้ คนของเขาก็ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ในเมื่อเธอสามารถเสมอกับอาเทียนได้ พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอแน่นอน!

พวกเขายืนเข้าแถวกันเป็นขบวน โดยมีอาเทียนเป็นผู้นำ ทำท่าคํานับต้วนอีเหยาอย่างเป็นระเบียบ “ผู้กอง!”

ต้วนอีเหยาก็ยืนตัวตรง และทำท่าคำนับอย่างเคร่งขรึมกลับไป “สวัสดีทุกคน!”

นายทหารต้วนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจที่ได้เห็นสิ่งนี้ เธอไม่เคยต้องทําให้เขาผิดหวังเลยจริง ๆ และมักจะมีวิธีที่โดดเด่นในการรับภารกิจอยู่เสมอ

นายทหารต้วนตบบ่าเธอเบา ๆ “พ่อยังมีเรื่องต้องทําอีก ลูกก็ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไปก่อนสักประมาณครึ่งเดือนก็แล้วกัน”

“โอเคค่ะ” ต้วนอีเหยาเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่มีเสียงคำรามอยู่ในหูของเธอ เธอสบัดหัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากที่นายทหารต้วนจากไป ต้วนอีเหยาก็หันไปสั่งว่า “เอาแบบการบินของปีนี้มาให้ฉันดูหน่อย”

ซ่วนวู่ตอบรับคําสั่งของเธอทันที และพาเธอไปตรวจดู กลุ่มคนตามพวกเขาไปเป็นแถวยาว ล้วนเป็นคนที่เพิ่งจะต่อต้านเธอ

“หัวหน้า นี่เป็นรูปแบบใหม่ล่าสุดของเรา……”

“ส่วนนี่คือไฮไลท์หลักของเรา……”

“เอ่อ……”

ในขณะที่ซ่วนวู่กำลังแนะนําอย่างคล่องแคล่ว บางครั้งอาเทียนก็จะแทรกขึ้นมาสักประโยคหรือสองประโยคบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากเกินไป เขายังคงจมอยู่ในความรู้สึกที่พ่ายแพ้ให้แก่ต้วนอีเหยา ยังดึงสติกลับมาได้ไม่เต็มที่

ต้วนอีเหยายังคงยิ้มอยู่ตลอด แต่หูของเธอกลับได้ยินเสียงเบาลงเรื่อย ๆ ดวงตาก็พร่ามัว

ไม่รู้ว่าเธอเหยียบเข้ากับอะไร ร่างกายของเธอทรุดลงไป เธอได้ยินเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจของซ่วนวู่ รวมถึงความตื่นตระหนกของคนรอบตัวเธอ

เบื้องหน้าของเธอกลับเห็นแต่เพียงความมืดมิด……

ต้วนอีเหยาหลับไปอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวาย จึงอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น เพื่อจะดูว่าใครมารบกวนความฝันของเธอ

ทันทีที่ลืมตาขึ้น เงาดําก็พุ่งเข้ามาหาเธอทันที “หัวหน้า!”

ต้วนอีเหยาก้มหน้าลงและเห็นชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เธอ ใบหน้าของเธอเข้มขึ้น “ฉันยังไม่ตาย จะร้องไห้ทําไมกัน?”

“ในที่สุดหัวหน้าก็ฟื้นแล้ว!” ซ่วนวู่หัวเราะออกมา ใบหน้าหยาบกร้านมีคราบน้ำตาติดอยู่ ดูแล้วช่างน่าขันนัก

ต้วนอีเหยาผลักเขาออกอย่างรังเกียจ “นายลุกขึ้นก่อน ทับจนฉันหายใจไม่ออกแล้ว!”

“โอ้ ครับ ครับ……” ซ่วนวู่ใช้แขนเสื้อเช็ดแล้วรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ต้วนอีเหยาสอดส่ายสายตาไปกว้างขึ้น ก็พบว่าภายในห้องนี้นอกจากซ่วนวู่แล้วยังมีคนอีกเป็นกลุ่ม

เมื่ออาเทียนเห็นต้วนอีเหยามองมาทางเขา เขาก็รีบก้าวไปข้างหน้า

“ผู้บัญชาการต้วน……” อาเทียนลังเล เมื่อยิ่งเห็นว่าต้วนอีเหยามองมาที่ตัวเองด้วยความสงสัย เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก

“มีอะไรเหรอ?” ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว ทําไมวันนี้ชายชาติทหารทุกคนถึงได้ดูอ้อนแอ้นไม่เป็นธรรมชาติเลย

อาเทียนถอนหายใจออกมาและหลับตาลง เขาโค้งคํานับให้ต้วนอีเหยา “ผมขอโทษ”

ต้วนอี้เหยาทําหน้างุนงง เกิดเรื่องอะไรขึ้นในขณะที่เธอหลับไปกันแน่?

“คุณไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ฉันเป็นคนเสนอเรื่องการแข่งขันขึ้นมาเอง การที่ฉันเป็นลมไป อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉันขาดการฝึกซ้อมร่างกาย……”

“ไม่ใช่เรื่องนี้……” อาเทียนก้มหน้าลง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

แต่ซ่วนวู่กลับโกรธมาก เขาผลักอาเทียนออกไป “นายออกไปซะ ที่นี่ไม่ต้องการคนหน้าซื่อใจคดอย่างนาย!”

“ซ่วนวู่!” ต้วนอีเหยาตะโกนเสียงเข้ม

เขากลายเป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่? คนอื่นมาแสดงความขอโทษอย่างจริงใจ แต่เขากลับจะไล่เขาออกไป……

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันยกโทษให้คุณ”

ต้วนอีเหยายิ้มให้อาเทียนอย่างเป็นมิตร แต่ทว่าเขากลับยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น และพูดว่า “บาปของผมมันมากเกินไป โปรดอย่ายกโทษให้ผมเลย ไม่เช่นนั้นผมจะยิ่งรู้สึกผิดต่อมโนธรรมของตัวเอง”

“หืม?” ต้วนอีเหยางุนงง ทําไมถึงมีคนมาขอให้ผู้อื่นไม่ต้องให้อภัยเขา?

“หัวหน้า……”

ซ่วนวู่น้ำหูน้ำตาไหล “เจ้าบ้านี่สมควรจะถูกฟ้าผ่า คุณยังจะยกโทษให้เขาอีก คุณ…… ”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ต้วนอีเหยาไม่เชื่อว่าแค่การแข่งขันเดียวจะทําให้ดูเหมือนเป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้าย

“คุณ……” อาเทียนก้มหน้าลง คําพูดติดอยู่ที่ริมฝีปากแต่กลับยากที่จะพูดออกมา

“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ต้วนอีเหยาทำตาคม เธอไม่อยากคาดเดาอะไรเอง จึงจ้องไปที่ซ่วนวู่ “ซ่วนวู่ นายบอกมาซิ!” ”

“หัวหน้า……”

“นี่คือคําสั่ง!”

“ครับ!” ซ่วนวู่ไม่มีทางเลือกอื่น เขาทำท่าวันทยหัตถ์ “คุณหมอบอกว่าหูของคุณ…… หูของคุณกําลังจะสูญเสียการได้ยิน”

“อะไรนะ?” ต้วนอีเหยารู้สึกหูอื้อ จึงถามขึ้นอีกครั้ง “นายพูดอีกครั้งซิ”

“เมื่อสักครู่หมอทหารเพิ่งมาตรวจและบอกว่า อาการบาดเจ็บเดิมของคุณกำเริบ เนื่องมาจากเสียงรบกวนของเครื่องบินที่ดังเกินไป และมีโอกาสสูงที่คุณจะหูหนวก…”

ต้วนอีเหยาเอามือปิดหูตัวเองอย่างสั่นเทา “ความเป็นไปได้สูงไหม?”

“แปดสิบเปอร์เซ็นต์……”

“แล้วฉันยังจะได้ยินเสียงไปอีกนานแค่ไหน?”

เสียงของซ่วนวู่ลดลง “น่าจะอีกประมาณสามถึงสี่เดือน”

อาเทียนรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และโค้งคำนับต้วนอีเหยา “ผู้บัญชาการต้วน ลงโทษผมเถอะ!”

ต้วนอีเหยารู้สึกสับสน เธอโบกมืออย่างอ่อนแรง “พวกคุณทุกคนออกไปก่อนเถอะ ฉันขออยู่เงียบ ๆ คนเดียว”

“หัวหน้า”

“ผู้บัญชาการต้วน”

อาเทียนและซ่วนวู่ต่างเรียกออกมาพร้อมกัน

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

Status: Ongoing

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท