“ถ้างั้นก็ไปห้องผ่าตัด”เย่จิงเหยียนตอบโดยไม่ลังเล
สำหรับร่างกายของต้วนอีเหยาแล้ว เขาไม่เคยกล้าที่จะยุ่งเลย แต่ตอนนี้หูของเธอไม่ได้ยินแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องตัดสินใจแทนเธอ
“ตกลง” หมอจ้าวไม่เสียเวลา รีบแจ้งพยาบาลให้เตรียมอุปกรณ์ จากนั้นก็เข็นต้วนอีเหยาเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา เย่จิงเหยียนเข้าไปในห้องผ่าตัดได้อย่างง่ายดาย เมื่อพยาบาลเห็นเขา ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดเขา เธอเดินไปหยิบชุดให้เขาเปลี่ยน แล้วตามเข้าไปในห้องผ่าตัด
ต้วนอีเหยานอนอยู่บนเตียง ลืมตาดูเพดาน ในสถานที่เดียวกัน ลูกของเธอจากไปจากที่นี่ แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความรู้สึกใดๆเลย
“อีเหยา ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่ !”เย่จิงเหยียนคิดว่าเธอกลัว จึงจับมือของเธอไว้ แต่บนมือกลับเย็นเฉียบ
ต้วนอีเหยายังคงไม่ขยับ จับมือของเขา ดวงตาของเธอไม่กระพริบ หลอดไฟบนเพดานทำให้เธอรู้สึกเจ็บตา แต่ก็น่าอัศจรรย์ เธอกลับรู้สึกดีมาก
เย่จิงเหยียนเห็นการกระทำเธออยู่ในสาตา ใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะกอดเธอไว้ แต่ด้วยบาดแผลของเธอ เขาจึงทำได้เพียงขยับมือ
“หยิบยาชา”เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมหมอจ้าวก็พูดกับผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลัง ผู้ช่วยหยิบขวดแก้วขึ้นมาอย่างแม่นยำและส่งให้เขา
หมอจ้าวทำให้ขวดแตก จากนั้นก็ดูดของเหลวเข้าไปในเข็ม ต้วนอีเหยาเหลือบไปเห็นมัน ก็รู้สึกตื่นตะหนกขึ้นมา
เธอดึงมือออกจากมือของเย่จิงเหยียน สะบัดมือไปมาและพยายามฉกเข็มฉีดยามา แต่ท้องของเธอเจ็บมากจนลุกไม่ขึ้น ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงใช้แรงทั้งหมดสะบัดมือไปมา
เย่จิงเหยียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของต้วนอีเหยา ในใจเขาก็ลุกลี้ลุกลน
“อีเหยา เป็นอะไร ? เกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อเห็นเย่จิงเหยียนปรากฎในสายตา ต้วนอีเหยาก็รีบคว้ามือของเขา มองไปที่เย่จิงเหยียนด้วยท่าทางกังวลและชี้ไปที่ยาชา
“คุณไม่อยากฉีดยาชา ?” เย่จิงเหยียนสงสัย
ด้วยแสงไฟช่วยต้วนอีเหยาเห็นปากของเย่จิงเหยียนชัดเจน เธอพยักหน้าอย่างดุเดือด
“ทำไม ? ”ไม่ฉีดยาชาจะต้องเจ็บมากๆ ส่วนที่ฉีกจะต้องใช้เข็มเย็บ ความเจ็บแบบนี้ แม้กระทั่งผู้ชายก็แทบทนไม่ได้ เธอจะทำได้ยังไง……
ต้วนอีเหยาไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้ เธอไม่ได้ยินเสียง เดิมทีเธอก็ไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง เธอคิดว่าส่งเสียงออกไป แต่เมื่อไปถึงหูของคนอื่นมันเป็นแค่เสียง “อ๊าอ๊าอ๊า”
จึงทำได้เพียงมองเขาอย่าอ้อนวอน และส่ายหน้าให้เขาอย่างเดียว
ครั้งที่แล้ว เธอเสียลูกไปขณะที่เธอโคม่า เธอจึงไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ตอนนี้ปวดใจจนแทบจะเลือดสาด
ก้อนเนื้อออกจากร่างกายของเธอมันจะต้องเจ็บมากแน่ๆ เธอต้องการสัมผัสความเจ็บปวดนั้น ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร สูญเสียลูกไปแบบนี้ ราวกับไม่เคยมีอย่างนั้น
“อีเหยา…….” เย่จิงเหยียนสำลัก “ทำไมคุณต้องเป็นแบบนี้……..”
ต้วนอีเหยาจ้องมองเขาอย่างไม่เต็มใจและไม่สะดุ้งเลย เย่จิงเหยียนมองอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหัวพูดว่า “ช่างเถอะ ถ้างั้นก็เอาตามคุณว่าละกัน พวกเราไม่ฉีดยาชา”
พูดจบ ก็ยิ่นมือไปให้เธอ “ถ้าเจ็บ ก็กัดมือของผม”
ในเมื่อเธอต้องการเจ็บ เขาก็จะเจ็บไปกับเธอ !
แม้ว่าหมอจ้าวเพิ่งมาทำงานในโรงพยาบาลได้ไม่นาน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน เขาจึงลังเลสักพัก
“พวกคุณตัดสินใจดีแล้วจริงๆใช่ไหม ?”
“เริ่มกันเถอะ”เย่จิงเหยียนพยักหน้า ดึงมือออกมาข้างหนึ่ง และลูบไปที่ศีรษะของต้วนอีเหยาเบาๆ
หมอจ้าวส่ายหัว แม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไร แต่ในใจเขาก็คิดว่าพวกเขาบ้าไปแล้ว !การไม่ใช้ยาชาแบบนี้เห็นแต่ในละครโทรทัศน์เท่านั้น
เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็ไม่ทางเลือกอื่นที่จะปฎิเสธ จึงหยิบเข็มเย็บออกมา หายใจเข้าลึกๆ ไม่ฉีดยาชา ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยจะเจ็บปวดจากการรักษามากนั้น หมอเองก็ยังต้องการจิตใจที่เข้มแข็งมากด้วย
เขาจำเป็นต้องเย็บบาดแผลให้เร็วทีสุด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความเจ็บปวดน้อยที่สุด
ในขณะที่เข็มแทงลงไป ร่างกายของต้วนอีเหยากระตุก ความเจ็บปวดนั้น เจ็บปวดมาก จนไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ นอกจากเธอจะฉีดยาชา
“อีเหยาเป็นยังไงบ้าง ?”เย่จิงเหยียนวางไว้ในมือของเธอ นิ้วของเธอผิดรูปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะใส่ใจกับความเจ็บปวดของคุณ
ต้วนอีเหยาฝืนเงยหน้าขึ้น และยิ้มให้กับเย่จิงเหยียน แน่นอนว่าหมอจ้าวสังเกตเห็นท่าทางของพวกเขา เจ็บปวดใจ และรีบเร่งเย็บแผลอีกหลายแผล
มือของเย่จิงเหยียนถูกบีบจนเลือดออก แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ เมื่อเห็นศีรษะของต้วนอีเหยาเหงื่อออกมาก เขาจึงใช้มืออีกข้างเช็ดให้เธอ
มีน้ำตาคลอเบ้าตาของเธอ ที่แท้ความเจ็บปวดที่ลูกออกมาจากท้องของเธอเป็นแบบนี้นี่เอง ซึ่งเจ็บปวดกว่าที่เธอคิดไว้มาก
เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกไหม เขาจะรู้สึกเจ็บรึเปล่า ?
ในพริบตา การเคลื่อนไหวของหมอจ้าวก็ได้เสร็จสิ้นลง เขาดึงเข็มออก ถอดถุงมือ เช็ดเหงื่อออกจากศีรษะและถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ในที่สุดก็เสร็จแล้ว”
ในเวลานี้ร่างกายของต้วนอีเหยาเหงื่อออกมาก ราวกับเธอเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ จนสามารถบีบน้ำออกได้จากชายเสื้อของเธอ
เธอลืมตาขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ ถ้าหากผ่านไปอีกสองสามนาที เธออาจจะหมดสติไปแล้วก็ได้
“ตอนนี้ห้ามขยับไปมา รอถึงห้องผู้ป่วยพักฟื้นสองสามวัน รอให้ปากแผลหายดีก่อน ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
หมอจ้าวสั่งให้พยาบาลที่อยู่ข้างหลังเข็นเธอออกจากห้องผ่าตัด เขาเดินไปที่ประตูก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาสั่งเป็นพิเศษว่า “อย่าพลิกไปมาอีก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่เป็นไรแล้ว แต่หลังจากนี้อย่าทำอย่างนี้อีก แม้ร่างกายเป็นเหล็กก็ทนไม่ได้ !”
“รู้แล้ว!”เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เขาก็เหงื่อออกมาก แต่เมื่อเทียบกับต้วนอีเหยา ก็ยังน้อยกว่ามาก
นิ้วหัวแม่มือของเขาถูกต้วนอีเหยาหยิกจนเลือดไหล เขาลองเช็ดออกดู แต่นิ้วมือเขาขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ
พยาบาลเข็นพวกเขากลับไป สายตาก็มองพวกเขาอย่างขี้ขลาดตาขาว ในความคิดของพวกเธอ สองคนนี้บ้าไปแล้ว
ดีเนอะ ขอร้องให้ไม่ฉีดยาชา คนปกติจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ?
……
ตระกูลเย่ เย่จิงเหยียนกับต้วนอีเหยาไม่กลับบ้านมาสองวันแล้ว
เช้าตรู่ มู่เวยเวยนั่งรออยู่ห้องนั่งเล่น โทรศัพท์หาเย่จิงเหยียน แต่ก็ยังคงปิดโทรศัพท์อยู่
“เป็นยังไงบ้าง ?” เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นอ่านหนังสือพิมพ์ แต่สายตาของเขากลับเห็นตัวหนังสือไม่ชัด
“ยังปิดเครื่องอยู่”พวกเขาเกิดรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ? วันนี้เป็นวันแต่งงานแล้ว แต่ไม่มีข้อความอะไรมาหาครอบครัวเลย !
มู่เวยเวยหันไปหันมาในห้องนั่งเล่นด้วยความกระสับกระส่าย ถือโทรศัพท์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี “คุณไม่ต้องอ่านแล้ว รีบหาทางเร็ว !”
เย่ฉ่าวเฉินวางโทรศัพท์ลง และเดินไปพามู่เวยเวยมานั่งบนโซฟา “ไม่มีประโยชน์ที่จะกังวลในตอนนี้ ในเมื่อวันนี้เป็นอย่างนี้จัดงานแต่งไม่ได้แล้ว ก็แค่เลื่อนมันออกไป ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนี้แล้ว”มู่เวยเวยดูเศร้า“ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงบ้าง…….”
“แม่ !”
ในเวลานี้เย่ชูวเสวียออกมาจากห้องนอนของตัวเอง ยืนหมุนตัวอยู่บนบันไดและถามว่า “คุณคิดว่าเป็นยังไงบ้าง ?”
มู่เวยเวยเหลือบมองเธอ เธอไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชุดของเธอ เย่ฉ่าวเฉินขยิบตาให้เธอ แต่เย่ชูวเสวียกลับมองไม่เห็น
เธอวิ่งไปที่ด้านหน้าของมู่เวยเวยด้วยความกระตือรือร้น และหมุนอีกรอบหนึ่ง “แม่ คุณดูสิ !”
“เอ๊ะ พี่ใหญ่กับพี่อีเหยาล่ะ ?ไม่ถูกไม่ถูก วันนี้พวกเขาก็จะแต่งงานกันแล้ว เรียกพี่สะใภ้สิถึงจะถูก !”
เย่ชูวเสวียพึงพำกับตัวเอง ท่องพี่สะใภ้หลายครั้ง และปิดหน้าพูดว่า “ไอ่หย่า จู่ๆมาเรียกแบบนี้รู้สึกไม่ค่อยชินเลย !”
“แม่ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ล่ะ ?”
เธอหยุดยุ่งวุ่นวายได้แล้ว !มู่เวยเวยหันหน้าไปอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงของเธอแทบทนไม่ไหว
เย่ชูวเสวียมองไปที่มู่เวยเวยอย่างเสียใจ “คุณพูดว่าอะไรนะ ฉันจะยุ่งวุ่นวายได้อย่างไร ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาวนะ !”
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เธอจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ใคร ?”
“คุณกำลังพูดถึงอะไร ?” เย่ชูวเสวียไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไปไหนแล้ว ?”
“ไม่รู้”เดิมทีมู่เวยเวยรู้สึกหงุดหงิดมากแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเธอพูดพล่อยๆที่ข้างหู ก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก
เย่ชูวเสวียเมื่อเห็นว่าไม่สามารถถามอะไรต่อหน้ามู่เวยเวยได้ จึงหันไปหาเย่ฉ่าวเฉิน “พ่อ คุณพูดอะไรกับฉันหน่อยสิ !”
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “สองสามวันก่อนพวกเขาจากไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ?”เธอจำได้ว่าพี่ใหญ่บอกว่าจะไปรับพ่อของพี่อีเหยา จนถึงตอนนี้จะยังไม่กลับมาได้ยังไง ?
ถึงแม้ว่าพ่อของพี่อีเหยาจะไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ควรจะกลับมา !
“ฉันจะโทรศัพท์ไปหาพี่ใหญ่ !”เย่ชูวเสวียพูดพลางยกกระโปรงขึ้น หันขึ้นบันได้ไป
มู่เวยเวยพูดอย่างเฉยเมย “ไม่มีประโยชน์ โทรศัพท์ของเขาปิดเครื่อง ”
“จะเป็นไปได้ยังไง !”
“เอาล่ะ เก็บของแล้วไปที่จัดงานเถอะ พวกเขาไม่มา แต่เรายังต้องเป็นเจ้าภาพ” เย่ฉ่าวเฉินก้าวขาออกและหันกลับไปในห้องนอน จากนั้นไม่กี่นาที เขาก็ปรากฎตัวในห้องนั่งเล่นด้วยชุดสูท
เขาตัวสูง ใบหน้าของเขามีเหลี่ยมมุมมากขึ้นจากการบำรุงมาหลายปี เขามองไปที่มู่เวยเวยด้วยสายตาลึกซึ้ง ทำให้เธอเสียสติไป
มู่เวยเวยก้มศีรษะลงและด่าเขา แก่ขนาดนี้แล้วยังดูดีขนาดนี้ นี่มันผิดปกติแล้วจริงๆ
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินเดินมาข้างหน้าของมู่เวยเวย แตะศีรษะเธอด้วยความรัก
มู่เวยเวยตอบเสียงเบา จะรีบเข้าไปในห้องนอน แต่ครั้งนี้รอนานหน่อย
เมื่อมู่เวยเวยปรากฎตัวต่อหน้าทั้งสองด้วยชุดที่ตัดเย็บเอง เธอม้วนผมไปด้านหลัง ในสายตาของพวกเขา นอกจากคำว่าสวยงามแล้ว ก็ไม่รู้จะหาคำไหนเปรียบได้อีก
“ว้าว คุณแม่ คุณสวยมากเลย !”เย่ชูวเสวียไม่ค่อยเห็นการแต่งตัวของมู่เวยเวย เสื้อผ้าที่สวยงามถูกเย่ฉ่าวเฉินปฎิเสธไม่ให้ใส่เปิดเผย
ถ้าไม่ใช่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของพี่ใหญ่ เกรงว่าแม่จะไม่สามารถใส่ชุดแบบนี้มาปรากฎตัวต่อหน้าเธอ แต่…..มันสวยมากจริงๆ !
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ รูปร่างของมู่เวยเวยไม่ได้อ้วนเพราะอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน ตรงกันข้ามกับมีความขี้เกียจที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันยิ่งเพิ่มเสน่ห์เข้าไปอีก
“พวกเรารีบไปกันเถอะ !”
ความคิดของมู่เวยเวยไม่ได้ถูกขัดจังหวะด้วยสายตาของพวกเขา ในใจแค่อยากจะรีบไปที่จัดงาน และรีบจัดการเรื่องงานแต่งก่อน
เมื่อรู้สึกว่าพวกเขาถูกเพิกเฉย พ่อและลูกสาวก็มองหน้าตากันอย่างช่วยไม่ได้ เย่ชูวเสวียผายมือ เย่ฉ่าวเฉินยิ้มมุมปาก และเดินตามมู่เวยเวยไป
ณ สถานที่จัดงาน
แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลา แต่ผู้คนก็เริ่มมากันครบแล้ว เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปอีก พวกเขาก็ยังไม่เห็นเจ้าของงาน จนผู้คนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และอดไม่ได้ที่จะเริ่มซุบซิบ
“ทำไมถึงยังไม่มา ?”
“ไม่น่านะ อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวยังมาไม่ถึง แต่คนตระกูลเย่ก็ควรจะถึงแล้วนะ !”
“หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
“จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ล่ะ ?”
“คุณไม่รู้เหรอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกชายของตระกูลเย่แต่งงาน ครั้งแรกก็เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่นครปักกิ่ง ฉันกับตระกูลเย่สนิทกันนิดหน่อย ดังนั้นจึงโชคดีที่ได้ไป คุณลองเดาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
ชายคนหนึ่งนอนอยู่ที่พนักพิง ด้วยท่าทางสุภาพ เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็จงใจหยุดชะงัก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”ครั้งแรกยังแอบฟังคนอื่น เมื่อได้ยินเขาหยุดอยู่ตรงนี้ ก็รีบตั้งกลุ่มขึ้นมา และถามไปที่ชายคนนั้น
“มีผู้หญิงมาแย่งเจ้าบ่าวในงาน และเอาตัวคนที่เป็นเจ้าสาวออกไป ดังนั้นงานแต่งในครั้งนั้นจึงล้มเหลวไป”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ?”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง !ได้ยินมาว่าเจ้าสาวคนนี้ก็เป็นคนเดียวกับที่แย่งเย่จิงเหยียนมาในตอนนั้น ไม่แน่บางทีอาจจะครึ่งๆกลางๆก็ได้ ใครจะไปรู้ !”
“ห๊ะ ?ลูกชายคนโตตระกูลเย่ที่แท้ก็เจ้าชู้มาก !”
ทุกคนคุณพูดทีฉันพูดที ก็ถอนหายใจออกมา ตอนนี้บนร่างกายของเย่จิงเหยียนมีสัญลักษณ์เจ้าชู้ตัวใหญ่ติดอยู่
ผู้หญิงที่อยู่รอบๆก็ได้ยินการสนทนาของพวกเขา สำหรับงานแต่งที่หรูหราแบบนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาแบบเมื่อก่อน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยอะ ดูเหมือนฉากที่สวยงาม แต่ที่แท้ก็สามารถเปลี่ยนคนได้ตลอดเวลา !
สถานที่จัดงานดูยุ่งเหยิงในทันที เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยก็สับสนทันทีที่พวกเขาเข้ามา
เมื่อถามมู่ยู่วฉีดูสักพัก ก็รู้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องนี้อยู่
เย่ฉ่าวเฉินหยิบไมโครโฟนเดินขึ้นไปบนเวที และมองไปที่ผู้คนที่อยู่ข้างล่าง มีบางคนมีปฎิกิริยาตอบกลับ รีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว และรอเย่ฉ่าวเฉินพูด
“อะแฮ่ม……”
เย่ฉ่าวเฉินกระแอม “ผมรู้สึกแปลกใจมากว่าพวกคุณกำลังคุยอะไรกัน ? มีใครจะช่วยบอกผมหน่อยไหม ?”
ทันทีที่เสียงของเขาดังออกมา ทุกคนก็หยุดลง แต่กลับไม่มีใครลุกขึ้นมาตอบ
จุดประสงค์ของเย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่มาฟังพวกเขา ดังนั้น เขาจึงหยุดลงชั่วขณะและพูดต่อว่า “พวกคุณพูดไม่ผิด งานแต่งงานนี้จะไม่ถูกดำเนินงานต่อไป”
“ว้าว…….”
เมื่อครู่สถานที่จัดงานยังคงเงียบสนิท ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินจำไม่ได้ว่าจะพูด จึงยืนเงียบๆบนเวที รอให้พวกเขาพูดคุยกัน
มู่เวยเวยเห็นว่าร่างกายของเขาเย็นเฉียบ จึงเดินขึ้นไปจับมือของเขา
อุณหภูมิบนฝ่ามือ ทำให้เย่ฉ่าวเฉินสงบสติ เขาหันหน้าไปมองมู่เวยเวย ในใจเขาก็รู้สึกสงบลงมาก
การสนทนาในที่จัดงานค่อยๆเงียบลง เย่ฉ่าวเฉินบีบมือของมู่เวยเวย “ไม่ว่าพวกคุณจะเดาว่าอะไร ก็ขอให้เก็บไว้ในใจ ถ้าหากว่าผมได้ยินคำพูดที่ไม่ดี…….”
เขามองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว และแสงไฟก็กระทบลงจุดที่พวกเขายืนอยู่พอดี ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว
มู่เวยเวยจับมือเขากลับ และส่ายหัวให้เขาเล็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่โล่งใจ และพูดต่อว่า “พวกคุณสามารถจะคาดเดาอะไรก็ได้ แต่อย่าให้ผมได้ยิน”